ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: 'วัดสุทัศน์เทพวราราม' แกนกลางของจักรวาล  (อ่าน 827 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



'วัดสุทัศน์เทพวราราม' แกนกลางของจักรวาล

สัปดาห์นี้พาไปรู้จักความเป็นมา “วัดสุทัศน์เทพวราราม” แกนกลางของจักรวาล และความวิจิตรงดงามในพระอุโบสถ พร้อมกราบไหว้พระศรีศากยมุนี” พระพุทธรูปหล่อใหญ่สุดในไทย

วลีที่ติดปากคุ้นหูของคนที่รู้จัก “วัดสุทัศน์เทพวราราม” หรือ ต่อไปจะเรียกว่า วัดสุทัศน์ ก็คือ เรื่องของเปรตวัดสุทัศน์ ที่มักจะถูกกล่าวถึงและพ่วง กับประโยคที่ว่า แร้งวัดสระเกศ

ชื่อเต็มๆ ของวัดสุทัศน์ ก็คือ วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร

บานประตูพระวิหารของวัดสุทัศน์ จำหลักลายโดย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ในหลวงรัชกาลที่ 2 ในราชวงศ์จักรี



ในหลวงรัชกาลที่ 2 ไม่ได้ทรงมีพระปรีชาสามารถด้านบทกวีเท่านั้น พระปรีชาสามารถในด้านศิลปะ และ สถาปัตยกรรม ยังงดงามยิ่ง

พระประธานในวิหารที่วัดสุทัศน์ชื่อเดิมว่า “หลวงพ่อโต” รัชกาลที่ 4 พระราชทานนามใหม่ว่า “พระศรีศากยมุนี” เป็นพระพุทธรูปหล่อที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย

ความเก่าแก่ของพระศรีศากยมุนี สร้างสมัยราชวงศ์พระร่วง กรุงสุโขทัย ในยุคก่อน 25 พุทธศตวรรษอัญเชิญมาจากวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย ล่องแพมาตามน้ำเจ้าพระยา และมาขึ้นที่ท่าช้าง



วัดสุทัศน์ มีชื่อเดิม ว่า วัดมหาสุทธาวาส ตามพระราชประสงค์ของในหลวงรัชกาลที่ 1 แต่การก่อสร้างมาแล้วเสร็จในรัชกาลที่ 2 และพระราชทานนามวัดใหม่ว่า สุทัศน์เทพวราราม

พระอุโบสถของวัดสุทัศน์ มีความยาวที่สุดในประเทศไทยเมื่อเทียบกับวัดอื่นๆ พระพุทธตรีโลกเชษฐ์ คือ พระประธานที่ประดิษฐานในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย

คงจำกันได้ถึงการประกอบพิธีเสกน้ำศักดิ์สิทธิ์ เพื่อนำมาใช้งานพระราชพิธีราชาภิเษก เมื่อวันที่ 6 เมษายน ปีที่ผ่านมา ที่พระวิหารหลวง วัดสุทัศน์ เป็นที่ประกอบพิธีสำคัญนี้ โดยมีความเชื่อว่า สถานที่แห่งนี้ เป็นศูนย์กลางจักรวาลหรือ ศูนย์กลางพระนคร

พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ เป็นวิหารที่มีขนาดใหญ่ ขนาดความกว้าง23.84 เมตร ความยาว 26.25 เมตร ฐานรากของวัดถูกวางในสมัยรัชกาลที่ 1 แล้วเสร็จสมบูรณ์ทั้งวัดในสมัยรัชกาลที่ 3

ฝีมือช่างของวัดสุทัศน์ที่เป็นตัวอาคาร จึงเป็นฝีมือของช่างในรัชกาลที่ 2 และ รัชกาลที่ 3



งานฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ 2 ลักษณะอาคารแบบประเพณีนิยม มีเสาย่อมุมไม้สิบสอง เสามีบัวประดับหัวเสาฯลฯ ส่วนฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นงานนิยมอาคารแบบจีน ไม่มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ เสาก็นิยมทำเป็นแท่งเหลี่ยม ไม่มีการย่อมุม ไม่มีบัวประดับหัวเสา

ใครที่นึกภาพสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไม่ได้ ต้องมาวัดสุทัศน์ เพราะงานศิลปกรรมที่นี่จำลองภาพสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในจินตนาการออกมาได้งดงามยิ่งนัก

พระระเบียงคดรอบวิหารแทนสัญญลักษณ์ของกำแพงจักรวาลที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ พระวิหารหลวงจึงเปรียบได้กับเขาพระสุเมรุ ที่เป็นแกนกลางของจักรวาล ศาลาประจำมุมทั้งสี่ทิศเหมือนทวีปทั้งสี่ ภาพจิตรกรรมในพระวิหารหลวงเป็นเรื่องราวของไตรภูมิ คือ โลกสวรรค์ โลกมนุษย์ และ นรกภูมิ

ไปถึงวัดสุทัศน์ หลังกราบไหว้พระประธานแล้ว อย่าลืมไปกราบเทพอัปสรสุนทรีวาณี เทพนารีแห่งปัญญา ที่คนเชื่อและศรัทธาว่า ไหว้แล้วจะเกิดปัญญาหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง

เมื่อมีปัญญาหลุดพ้นแล้ว โชคลาภก็จะตามมา

อาทิตย์นี้ไปไหว้พระที่วัดสุทัศน์กันดีกว่า.



คอลัมน์ : ชำเลืองเมือง โดย “แรมทาง”
ขอบคุณภาพประกอบจาก : @WatSuthatBangkok
ขอบคุณที่มา : https://www.dailynews.co.th/article/754090
อังคารที่ 28 มกราคม 2563 เวลา 11.00 น.
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ