ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ผัวเมียเป็นกันเมื่อใด จะรู้ได้ไงว่าเป็นผัวเมีย กฎหมายผัวๆ เมียๆ ในรัชกาลที่ 5-7  (อ่าน 905 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0




ผัวเมียเป็นกันเมื่อใด จะรู้ได้ไงว่า เป็นผัวเมีย.? กฎหมายผัวๆ เมียๆ ในรัชกาลที่ 5-7

หญิงกับชายจะมีสถานภาพเป็นผัวเมียกัันเมื่อใด กฎหมายลักษณะผัวเมีย (ผ.ม.) มิได้มีบทบัญญัติไว้โดยชัดเจนว่า หญิงชายจะต้องประพฤติกันอย่างใดจึงจะถือว่าเป็นผัวเมียกันตามกฎหมาย หากแต่เมื่อนำบทบัญญัติต่างๆ มาพิเคราะห์ดูตามที่นายเซี้ยงเนติบัณฑิต ได้เรียบเรียงกฎหมายผัวเมียไว้ กล่าวได้ว่า หญิงชายไม่ได้เป็นผัวเมียกันเพราะเหตุว่าได้ร่วมประเวณีกัน โดยในบางบทบัญญัติหญิงกับชายยังมิได้ได้เสียกัน กฎหมายก็ถือว่าหญิงกับชายก็ได้เป็นผัวเมียกัน ดังจะเห็นได้จาก (ผ.ม. ๑๑๙) ว่า

“ชายใดพึงใจลูกสาวหลานสาวท่าน ให้ผู้เถ้าผู้แก่ไปสู่ขอเปนคำนับแก่บิดามานดาหญิง บิดามานดาหญิงยกลูกสาวหลานสาวนั้นให้แก่ชายผู้สู่ขอ ทำการมงคงแล้วชายนั้นมีกิจราชการไป ยังมิได้มาอยู่ด้วยหญิง ถ้าชายกลับมาไซ้ ท่านให้ส่งตัวหญิงนั้นให้แก่ชาย”

ขณะที่บางครั้งหญิงกับชายได้เสียกัน กฎหมายก็ไม่ถือว่าหญิงกับชายเป็นผัวเมียกัน โดยเฉพาะเมื่อผู้ปกครองของหญิงมิได้ยินยอม การกระทำดังกล่าวจะถือเป็นการลักพา ซึ่งฝ่ายชายมีความผิดฐานละเมิดอำนาจอิศระของผู้ปกครอง ดังจะเห็นได้จาก (ผ.ม. ๘๑, ๘๒, ๑๒๖, ๑๓๕) ที่มีเนื้อความว่า

“เมื่อหญิงใดยังอยู่ใต้อำนาจอิศระของพ่อแม่ (ผู้ปกครอง) การที่ชายมาลอบทำชู้ด้วย หรือลักพาเอาไปนั้นเปนการเลมิดอำนาจพ่อแม่ เขาอาจฟ้องร้องเรียกสินไหมได้”

จากบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวจึงพอสรุปได้ว่า “การที่ชายกับหญิงจะเป็นผัวเมียกันเกณฑ์สำคัญก็คือ เมื่อฝายชายกับฝ่ายหญิง (หรือผู้ปกครองหญิง) ตกลงยินยอมเป็นผัวเมียกัน และทั้งสองฝ่ายได้รับรอง หรือแสดงต่อธาระกำนันว่าเขาทั้งสองเป็นผัวเมียกัน”


@@@@@@@

การรับรองหรือแสดงต่อสาธารกำนัลว่าหญิงกับชายเป็นผัวเมียกันเกิดได้จาก การกล่าวด้วยวาจาและการแสดงกิริยาหลายประการ ประการหนึ่งคือ “การมีพิธีแต่งงาน” ตามที่กล่าวใน (ผ.ม. ๑๑๙) ซึ่งการแต่งงานนี้กฎหมายไม่ได้กำหนดไว้ว่าต้องมีพิธีอย่างไร หากแต่ให้เพียงเป็นที่เข้าใจได้ว่าเป็นการแต่งงาน

อีกประการที่สำคัญคือ “การเลี้ยงดูอยู่กินอย่างผัวเมีย” ซึ่งในกฎหมายมีบทบัญญัติกล่าวถึงหลายบท อาทิ (ผ.ม. ๓๓) “หญิงข้าก็ดี ไทก็ดี มาขออาไศรยอยู่ด้วยชายก็ดี ชายรับประกันไว้ก็ดี…ถ้าชายไปมาหาสู่มัน เกิดลูกด้วยมัน มันนอกใจมีชู้ให้ไหมชายชู้ดูแลหญิงนั้นโดยฉันอณุภรรยา”

ซึ่งจากบทบัญญัติดังกล่าวนี้ ควรสังเกตว่า การที่หญิงกับชายจะเป็นผัวเมียข้อสำคัญคือ “เกิดลูกด้วยมัน” เพราะไม่ทำให้ผู้อื่นนึกว่าหญิงเป็นแต่ผู้อาศัย

และใน (ผ.ม. ๘๕) “ฝูงไพร่ฟ้าข้าคนทั้งหลาย หาขันหมากมิใครกันอยู่ด้วยกันเปล่า ๆ พ่อแม่แห่งหญิงรู้มิได้ร้องฟ้องว่ากล่าวแลมันปลูกเรือนบ้างต่างเรือนแฝงอยู่กินด้วยกันโดยฉันผัวเมีย หาบุตรมิได้ก็ดี หญิงสิทธิเปนเมียชาย ถ้าแลผู้ใดมิได้ปลูกเรือนอยู่มิได้ทำเลี้ยงกันโดยฉันผัวฉันเมีย ท่านว่ามิได้เปนเมียสิทธิแก่ชายเลย”

ซึ่งสังเกตได้ว่า การที่พ่อแม่รู้แล้วไม่ฟ้องร้องกล่าวว่า กฎหมายถือว่าพ่อแม่ได้ยินยอม และการปลูกเรือนอยู่ด้วยกันก็ย่อมทำให้ผู้อื่นรับรู้ว่าชายกับหญิงเป็นผัวเมียกัน ขณะเดียวกันในกรณีที่ชายกับหญิงเลี้ยงดูอยู่กินกันเป็นเวลา ๒-๓ ปี ชายกับหญิงก็ถือเป็นผัวเมียกัน

โดยคาดได้ว่าเวลาดังกล่าว น่าจะนานพอที่จะทำให้คนทั่วไปรับรู้ ดังใน (ผ.ม. ๑๐๒) ที่ว่า “ชายขอลูกท่านถึงหลบฝาก (หลบฝาก แปลว่าไม่ออกหน้า) ยังแต่จะทำงาน แลพ่อแม่หญิงให้ชายฝากบำเรอ แลทำกินอยู่ด้วยกันเปนเมียสิทธิแก่เจ้าผัวเสมือนเมียทำงาน…”




คัดลอกส่วนหนึ่งจากบทความ : “เรื่องผัวๆ เมียๆ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ถึง รัชกาลที่ ๗ ผ่านกฎหมาย คดีความและฎีกา” เขียนโดย ภาวิณี บุนนาค ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม มีนาคม ๒๕๕๔)
ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม ฉบับมีนาคม ๒๕๕๔
ผู้เขียน : ภาวิณี บุนนาค
เผยแพร่ : วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ.2563
ขอบคุณ : https://www.silpa-mag.com/history/article_19100
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ