ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ตำนาน พระฤาษี 108  (อ่าน 1463 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ตำนาน พระฤาษี 108
« เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2020, 06:46:03 am »
0


   
ตำนาน พระฤาษี 108

พระฤาษี เป็นคำเรียกขานผู้ที่บำเพ็ญเพียรด้วยความอุตสาหะ เป็นความเชื่อของคนที่ต้องการหลุดพ้นจากความทุกข์ บ้างก็เพื่อสสร้างฤทธิ์ สร้างบารมี ที่จริงการปฏิบัติตนอย่างยวดยิ่งในการเป็นพระฤาษีนั้น ได้มีการปฏิบัติสืบเนื่องกันมานานหลายพันปีก่อนพุทธกาล แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง ผู้เป็นมหาศาสดาเอกของโลก ก็ยังเคยปฏิบัติเพื่อแสวงหาความหลุดพ้น ในแนวทางของพระฤาษี โดยมีอาจารย์เป็นพระฤาษีถึงสองตน ก่อนที่จะแยกตนออกไปแสวงหาความหลุดพ้นที่แท้จริงด้วยปัญญาญาณของพระองค์เอง

พระฤาษีเป็นผู้ปฏิบัติที่มั่นคงเด็ดเดี่ยว ในการฝึกจิตสมาถะ บางตนสร้างบารมีจนมีตะบะแข็งกล้า สามารถมีอายุเป็นร้อยๆ ปี บางตนเหาะเหินเดินอากาศ สำแดงฤทธิ์ได้มากมาย การบำเบ็ญเพียรของเหล่าพระฤาษีนั้น ก็เพื่อจะได้ไปจุติเป็นพระพรหมหรือเทพ ชั้นสูง เพราะเชื่อกันว่า นอกจากโลกมนุษย์ ยังมีสวรรค์ นรก และพรหมโลกที่อยู่สูงจากชั้นสวรรค์ธรรมดา

@@@@@@@

พระฤาษีจัดคัดแยกเอาไว้ ๔ ชั้น หรือ ๔ จำพวก

ชั้นที่ ๑. เรียกว่า ราชรรษี แปลว่า เจ้าฤษี พวกนี้หรือชั้นนี้จะมีฐานะความเป็นอยู่ตามพื้นธรรมชาติ คือมีความปรกติเป็นพื้นฐาน เพียงแต่มีความริเริ่มพยายามที่จะบำเพ็ญเพียรในเบื้องต้น และปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง

ชั้นที่ ๒. เรียกว่า พรหมรรษี แปลว่า พระพรหมฤษี เมื่อปฏิบัติเพียงพอกับความต้องการในเบื้องตนแล้ว จึงได้บังเกิดเป็นพระพรหม

ชั้นที่ ๓. เรียกว่า เทวรรษี แปลว่า เทพฤษี ผู้ที่ปฏิบัติอย่างมุ่งมันด้วยตะบะ จึงม่บารมีมาก พร้อมทั้งมีอิทธิฤทธิ์และอำนาจมหาศาล

ชั้นที่ ๔. เรียกว่า มหรรษี แปลว่า มหาฤษี ชั้นนี้นอกจากจะมีอิทธิฤทธิ์ที่เกิดจากบารมีแล้ว ยังมีภูมิปัญญามาก มีอาคมแก่กล้าที่สุด

เมื่อนำเอามาเปรียบเทียบกันแล้วจะเห็นได้ชัดว่าแต่ละชั้นมีความสามารถที่แตกต่างกัน แล้วแต่บารมี การเพียรปฏิบัติที่แตกต่างกันแต่ละตน ผู้ใดปฏิบัติมุ่งมั่นหมั่นเพียรเท่าใด ผลก็จะส่งไปตามบุญตามวาสนาถึงชั้นนั้นๆ

หลายท่านเคยได้ยินคำว่า ๑๐๘ ฤาษี ทำให้บางท่านเข้าในว่า ฤาษี มีเพียง ๑๐๘ ตน ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะแท้ที่จริงคำว่าร้อยแปดเป็นคำที่เรียกแทนสิ่งที่มีอยู่มากมาย จนไม่อาจนับเป็นจำนวนได้ เลยเรียกรวมกันโดยย่อว่า ๑๐๘ ฤาษี

@@@@@@@

ตามชั้นและฐานะของพระฤษีนั่น ก็ยังแยกระดับตามสรรพนามออกไปได้อีก ซึ่งสามารถอธิบาย จำแนกแจกแจง ออกไปได้ดังนี้

๑. พระสิธา
๒. พระโยคี
๓. พระมุนี
๔. พระดาบส
๕. ชฏิล
๖. นักสิทธิ์
๗. นักพรต
๘. พราหมณ์



ในบรรดาสรรพนามที่เรียกพระฤษีชื่อที่เรียกแตกต่างกันก็ยังมีความหมายที่แตกต่างกันดังที่จำแนกได้ดังนี้

๑. พระสิทธา แปลว่า พระฤาคี ประเภทที่มีคุณธรรมวิเศษ มีหลักฐานมั่นคง ที่สถิตสถาน มีวิมานอยู่ตามเทือกเขาและถ้ำ ตามแต่ว่าจะเห็นสมควรในความสดวกสบายอยู่ในระหว่างพระอาทิตย์ลงมาสู่พื้นแห่งโลกมนุษย์โดยกำหนด

๒. พระโยคี แปลว่า เป็นผู้มีความสำเร็จ หรือผู้ที่กำลังศึกษาสังโยค ในด้านหลักวิชา โยคกรรม มักจะเที่ยวทรมาณตนอยู่ตามเทือกเขาและป่า ตามความเหมาะสมในความสันโดษ ที่จะมีและเท่าที่เห็นว่าสมควร

๓. พระมุณี แปลว่า ในกลุ่มพราหมที่มีความพยายาม กระทำกิจพิธีบำเพ็ญด้วยความพากเพียร มุมานะพยายามจนกระทั่งพบความสำเร็จ จึงกลายเป็นผู้มีปัญญาความรู้ ความสามารถอยู่ในระดับสูง

๔. พระดาบส แปลว่า ผู้บำเพ็ญตนสร้างบารมี มุ่งมั่นในตะบะธรรมที่คิดว่าจะเผาผลาญกองกิเลสให้หมดสิ้นไป ใช้ความพากเพียร พยายามมุ่งแต่ในทางทรมาณร่างกายและจิตใจเพื่อมุ่งหวังในโลกุตรสุขที่เป็นผลแห่งบารมี

๕. ชฎิล แปลว่า นักพรตจำพวกหนึ่ง ที่ชอบเกล้ามุ่นมวยผมเป็นแบบชฎาเอาไว้ หนวดเครารุงรังราวกับคนบ้า ไม่ชอบรักสวยรักงาม ทำตนเป็นพราหมรอนแรมอยู่ตามป่าดงพงไพร

๖. นักสิทธิ์ แปลว่า ผู้ทรงศิลที่กึ่งมนุษย์กึ่งเทวดา พวกนี้มักจะรักสัจจะวาจา มีความเที่ยงธรรมเป็นที่ตั้ง ชอบช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนอยู่เสมอๆ มีที่อยู่อาศัยอยู่ในระหว่างกลางที่ว่างเปล่าและบริสุทธิ์ วัดระยะตั้งแต่ดวงอาทิตย์ลงมาจนถึงโลกมนุษย์ พวกนี้มีอยู่กันมากมายหลายแสนตน เที่ยวตระเวณไปในที่ต่างๆ เพื่อที่จะหาทางสอดส่องลงมาช่วยมนุษย์

๗. นักพรต แปลว่า ผู้ปฏิบัติดี เคร่งครัดในการปฏิบัติ ทรงศิลอันประเสริฐมียอมให้ศิลตกบกพร่องแต่ประการใด ตั้งใจบำเพ็ญพรต บำเพ็ญตะบะ ชอบสถิตตามป่าเขาลำเนาไพร และตามถ้ำหน้าผา มักไม่ยอมให้ผู้ใดพบเห็น เป็นผู้อยู่อย่างเรียบง่าย แต่มีฤทธิ์มาก

๘. พราหมณ์ แปลว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องกับฤษีเหมือนกัน แต่เป็นด้านการปฏิบัติบูชา บำเพ็ญตะบะสร้างบารมีอย่างมุ่งมั่น เป็นผู้สละความสุขทางโลก มุ่งมั่นว่าจะต้องปฏิบัติเพื่อช่วยเหลือมนุษย์และสรรพสัตว์โดยทั่วไป พราหมณ์มักจะชุมนุมรวมกลุ่มกันเป็นหมู่คณะ ตามเทวสถานต่างๆ เมื่อมีผู้ใดเชิญให้ช่วยกระทำพิธี ไม่ว่าจะเป็นพิธีใดที่เกี่ยวข้องกับ พระฤษีหรืองค์เทพต่างๆ พราหมณ์ก็จะออกไปทำพิธีให้โดยไม่เรียกร้อง ค่าตอบแทนใดๆทั้งสิ้น ไม่เห็นแก่ลาภและประโยชน์ส่วนตน เมือเสร็จสิ้นภารกิจ ก็จะกลับไปเข้าจำศิลภาวนาอย่างไม่รู้จักคำว่าพอ

@@@@@@@

นอกจากการจัดประเภทของฤษีตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ในคัมภีร์มหาภารตะยังได้แยกประเภทเป็นอีกอย่างหนึ่งที่เรียกโดยรวมว่า ทศฤษี คือ

๑. พระมรีจิ
๒. พระอัตริ
๓. พระอังคีรส
๔. พระปุลัสตยะ
๕. พระปุลหะ
๖. พระกรตุ
๗. พระวสิษฐ์
๘. พระประเจตัส หรือ พระทักษะประชาบดี
๙. พระภฤคุ
๑๐. พระนารท



ขอบคุณที่มา : https://sites.google.com/site/phiphat1234567/phra-vsi-108
ขอบคุณภาพจาก : https://www.mokkalana.com/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 23, 2020, 07:09:25 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ