ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สมณะ แปลว่า ผู้สงบบาปได้ราบคาบ | "การเห็นสมณะ" เป็นมงคลอันอุดม  (อ่าน 2257 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

ขอบคุณภาพจาก Youtube

 
สมณะ แปลว่า ผู้สงบบาปได้ราบคาบ | การเห็นสมณะเป็นมงคลอันอุดม
สูตรสำเร็จในชีวิต (39) : การเห็นสมณะ

มีคำศัพท์อยู่ 4 คำ ความหมายโดยพยัญชนะต่างกัน แต่โดยอรรถ หรือใจความ หมายเอาคนประเภทเดียวกัน คำศัพท์ที่ว่านี้คือ สมณะ บรรพชิต ภิกษุ พระ

สมณะ แปลว่า ผู้สงบ อย่างต่ำหมายถึง ผู้มีกาย วาจา ใจสงบ อย่างสูงหมายถึง ผู้สงบบาปได้ราบคาบ หรือผู้ละความชั่วได้โดยสิ้นเชิง (หมายถึงพระอรหันต์)

บรรพชิต แปลว่า ผู้ละเว้นจากความชั่ว อย่างต่ำหมายเอาผู้ถือเพศนักบวชในพระพุทธศาสนา อย่างสูงหมายเอาพระอรหันต์เช่นเดียวกัน

ภิกษุ แปลว่า ผู้ขอ หรือผู้ยังชีพด้วยภิกษาจาร หรือแปลว่าผู้เห็นภัยในสังสารวัฏ หมายถึง ผู้เห็นว่าการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏเป็นสิ่งน่ากลัว จึงปฏิบัติจนติดวงจรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้ ก็หมายถึงพระอรหันต์อีกนั่นแหละครับ

พระ เป็นคำไทย นัยว่ามาจากคำเดิมว่า วร แปลว่า ผู้ประเสริฐ

@@@@@@@

“การเห็น” มี 2 อย่าง คือ เห็นด้วยตาเปล่า กับเห็นด้วยญาณ คือการรู้แจ้งธรรม ในที่นี้ท่านมุ่งเอาการเห็นด้วยตาเปล่า

การเห็นสมณะหรือผู้สงบ พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็น “มงคล” ก็เพราะเป็นที่มาแห่งความเจริญก้าวหน้าในด้านต่างๆ ที่จะตามมาภายหลัง ดูการเห็นพระอัสสชิของอุปติสสมาณพกับการเห็นพระพุทธเจ้าของอุปกาชีวกเป็นตัวอย่าง

อุปติสสะ เป็นศิษย์สำนักปรัชญามีชื่อแห่งหนึ่งในเมืองราชคฤห์ วันหนึ่งขณะเดินอยู่ในเมือง เห็นสมณะนามว่าอัสสชิกำลังเดินบิณฑบาตอยู่ ประทับใจในอากัปกิริยาอันสงบเสงี่ยมของท่าน จึงไปถามธรรม

ท่านกล่าวบทธรรมสั้นๆ ว่า พระมหาสมณะศาสดาของท่านสอนเหตุและการดับเหตุ ทุกสิ่งล้วนมีสาเหตุ การจะดับ จะแก้สิ่งใดนั้น ต้องแก้ที่ต้นเหตุ มิใช่แก้ที่ปลายเหตุ

อุปติสสะได้ฟังแค่นั้นก็ “ดวงตาเห็นธรรม” ไปเล่าให้โกลิตะผู้สหายฟัง โกลิตะก็ดวงตาเห็นธรรมเช่นกัน ทั้งสองจึงไปบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า มีชื่อเป็นที่รู้กันต่อมาว่าพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ ตามลำดับ

อีกคนหนึ่งชื่ออุปกาชีวก เป็นนักบวชนอกพุทธศาสนา เดินสวนกับพระพุทธเจ้าประทับใจในพระอิริยาบถอันงามสง่าของพระองค์ เกิดความเลื่อมใส ทูลถามว่า พระองค์เป็นศิษย์อาจารย์ท่านใด เมื่อได้ฟังว่า พระองค์เป็นสัมมาสัมพุทธ (ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง) ก็เดินหลีกไป


@@@@@@@

ภาพประทับใจเขาครั้งนั้นยังคงตราตรึงอยู่ตลอดเวลา ต่อมาเมื่อเขาประสบปัญหา หาทางออกไม่ได้ ก็นึกถึงพระพุทธองค์ขึ้นมา แล้วตามไปบวชเป็นสาวกของพระองค์

ปัจจุบันนี้โอกาสจะพบพระอรหันต์ผู้สงบแท้จริงคงยาก เห็นมีแต่ “พระอรหันต์ตั้ง” (คือญาติโยมตั้งให้ท่านเป็น) แต่ก็ยังมีสมณะสมมุติ หรือสมมุติสงฆ์ให้พบเห็นอยู่ทั่วไป พบพระพบเจ้าแล้ว รู้จักปฏิบัติตนให้ถูกต้องเหมาะสม จึงจะชื่อว่าเป็นชาวพุทธแท้จริง

บางคนได้เป็นอาจารย์สอนพระบางวิชา สำคัญตนผิด ขู่ตะคอกพระยังกะหมูกะหมา ถึงจะพบเห็นพระอยู่บ่อยๆ ก็ไม่เป็นสิริมงคลแต่ประการใด อัปรีย์จัญไรจะกินกบาลเสียมากกว่า (ข้อความนี้ขอฝากไปถึงมหาวิทยาลัยทางโลกที่รับพระสงฆ์เข้าศึกษาระดับปริญญาโททุกแห่งครับ)



ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 พฤศจิกายน - 3 ธันวาคม 2563
คอลัมน์ : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
ผู้เขียน : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
เผยแพร่ : วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2563
ขอบคุณ : https://www.matichonweekly.com/column/article_377316
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ