ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สำเนียงคน “กรุงเทพฯ” (บางกอก) เคยถูกเหยียดว่า “บ้านนอก” สมัยนี้เหยียดสำเนียงอื่น  (อ่าน 894 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

ชาวสยามในบางกอกสมัยอดีต (ภาพจาก "กรุงเทพฯ มาจากไหน?, 2548)


สำเนียงคน “กรุงเทพฯ” (บางกอก) เคยถูกเหยียดว่า “บ้านนอก” สมัยนี้เหยียดสำเนียงอื่นแทน

สำเนียงภาษาเป็นอีกหนึ่งอัตลักษณ์ซึ่งสามารถบ่งบอกที่มาที่ไปของแต่ละบุคคลได้ แต่ต้องยอมรับว่าบางครั้งสำเนียงภาษาถิ่นก็มักถูก “คนจากศูนย์กลาง” ล้อเลียนหรือบางครั้งอาจถึงกับแฝงนัยยะเหยียดสำเนียงถิ่น อย่างเช่นกรณีของสำเนียงหลวงยุคกรุงศรีอยุธยาเคยเป็นราชธานีก่อนที่ย้ายพระนครมาที่ธนบุรีก็เคยเป็น “สำเนียงหลวง” มาก่อน และมองสำเนียง “บางกอก” ว่า “บ้านนอก”

ยุคกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เคยรับรู้กันว่าย่านบางกอกอยู่ห่างไกล ลักษณะทางประชากรของคนบางกอกสมัยนั้น สุจิตต์ วงษ์เทศ อธิบายไว้ในหนังสือ “กรุงเทพฯ มาจากไหน” ว่า คนบางกอกมีหลายชาติพันธุ์ อาทิ มอญ-เขมร, ชวา-มลายู, มาเลย์-จาม จนถึงลาว-ไทย

ด้วยความแตกต่างหลากหลายทางชาติพันธุ์ แน่นอนว่าสำเนียงในภาษาที่ใช้สื่อสารกันของแต่ละกลุ่มนั้นย่อมหลากหลายด้วย แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าการสื่อสารระหว่างชาติพันธุ์นั้นใช้สำเนียงภาษาอะไรสื่อสารระหว่างกัน จากความคิดเห็นของสุจิตต์ วงษ์เทศ มองว่า สำเนียงภาษากลางที่ใช้สื่อสารทั่วไประหว่างคนกลุ่มใหญ่เป็นภาษาไทยในตระกูลลาว-ไทย

@@@@@@@

สำหรับกรณีของ “บางกอก” อันเป็นชุมชนเก่าที่ขยับขยายจากชุมชนเดิมซึ่งเคยอยู่แถบย่านจอดเรือพักแรมมาก่อนและตั้งเรียงรายตามปากคลองสายเล็กบริเวณที่มีลำน้ำเชื่อมต่อไปออกแม่น้ำท่าจีนที่จังหวัดสมุทรสาคร มาอยู่ที่ปลายคลองลัดหลังจากการขุดคลองลัดเพื่อขจัดอุปสรรคการเดินทางในแม่น้ำเจ้าพระยาในสมัยอยุธยา แล้วมีชื่อภายหลังว่า “บางกอก” สุจิตต์ วงษ์เทศ ตั้งข้อสันนิษฐานว่า อาจเป็นชื่อเก่าก่อนขุดคลองลัดที่มีคลองสาขาเล็กๆ เรียกว่า “คลองมะกอก” เนื่องจากมีต้นมะกอก(น้ำ)ขึ้นอยู่มาก นานเข้าก็เสียงกร่อนเหลือ “บางกอก”

หลังจากขุดคลองลัดแล้ว เมื่อประกอบกับกระแสน้ำไหลลัดอย่างหลากและแรงทุกปี เวลาผ่านไปก็ขยายกว้างออกตามธรรมชาติกลายเป็นเส้นทางคมนาคมใหม่ระหว่างอ่าวไทยกับกรุงศรีอยุธยาที่สะดวก บริเวณบางกอกจึงกลายเป็นจุดที่มีความสำคัญ เป็นจุดพักเรือของนานาประเทศ ผู้คนตั้งหลักแหล่งแลกเปลี่ยนสินค้าจนกลายเป็นชุมชนเมือง ตั้งแต่นั้นก็เรียกกันต่อมาว่า “เมืองบางกอก”

บางกอกถูกยกฐานะเป็นเมืองในสมัยรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ (พ.ศ. 2091-2111) มีชื่อในทำเนียบหัวเมือง โดยเรียกกันหลากหลาย แต่มาเรียกตรงกันในยุคหลังว่า “ธนบุรี” และมีสร้อยต่อท้ายว่า “ธนบุรีศรีมหาสมุทร” สืบเนื่องมาจากอยู่ใกล้ทะเลอ่าวไทย


@@@@@@@

กลับมาที่เรื่องสำเนียงภาษาอีกครั้ง สมัยยุคกรุงศรีอยุธยา สำเนียงภาษาของคนบางกอกเป็นสำเนียงถิ่นย่อยๆ ของสำเนียงหลวงที่อยู่ในราชธานีกรุงศรีอยุธยา สุจิตต์ วงษ์เทศ อธิบายรายละเอียดของสำเนียงหลวงยุคกรุงศรีอยุธยาว่ามีร่องรอยอยู่กับเจรจาโขน ซึ่งคนทั่วไปในปัจจุบันเรียกกันว่า “เหน่อ” คล้ายสำเนียงสุพรรณบุรีกับหลวงพระบาง

สำเนียงบางกอกของคนสมัยนั้นถูกคนในพระนครศรีอยุธยาที่ใช้สำเนียงหลวง (ซึ่งคนปัจจุบันมองว่า “เหน่อ”) เรียกว่า “บ้านนอก” และ “เยื้อง” เนื่องจากสำเนียงบางกอกไม่ตรงกับสำเนียงหลวงในสมัยนั้น

หลังจากกรุงแตก พ.ศ. 2310 ราชธานีย้ายจากพระนครศรีอยุธยาลงมาอยู่ที่ย่านบางกอกที่เมืองธนบุรี สำเนียงบางกอกก็ถูกยกเป็นสำเนียงหลวงสืบเนื่องถึงกรุงเทพฯ ตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนสำเนียงหลวงแบบดั้งเดิมก็ถูกเหยียดว่า “เหน่อ” แทน


 

อ้างอิง : สุจิตต์ วงษ์เทศ. กรุงเทพฯ มาจากไหน. กรุงเทพฯ : มติชน, 2548
เผยแพร่ : วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ.2563
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2561
ขอบคุณ : https://www.silpa-mag.com/culture/article_24902
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ