'จิตขี้ขโมยก่อภพก่อชาติ' โอวาทธรรม 'หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี'
คนเรามันมักขี้ขโมยบ่อยๆ ยังไงก็ตามเถอะ ของรักของที่ขโมยเขาทานอร่อยนัก มันชอบเหลือเกินคนเรา ขอดีๆ ให้ดีๆ ไม่อยากได้ ถ้าขี้ขโมยเข้าแล้วนั่นของนิดหน่อยก็เอร็ดอร่อย ของไม่ดิบไม่ดีก็กลายเป็นของดีขึ้น มันเป็นนิสัยอย่างนี้
คนเราแต่ไหนแต่ไรมาที่อยู่ทั่วไปทั้งบ้านทั่วไปอันนั้น อันนี้มาทำความเพียรภาวนาเพื่อจะสำรวมใจมันก็ขี้ขโมยเรื่อย ออกไปนู่นออกไปนี่ ไปหารักหาจกหาขี้ขโมยใครต่อใครอะไรต่างๆ หลายเรื่องหลายอย่าง โดยเฉพาะนิสัยของเรา นิสัยเคยติดถิ่นติดฐานติดบ้านติดเรือน ติดลูกติดหลาน ติดการติดงาน มันไม่เป็นอยู่กับตัว ตั้งสติรักษาไว้เท่าไร๊เท่าไรมันก็ไม่อยากจะอยู่
ตัวสติเปรียบเหมือนกับตำรวจ คอยอยู่เวรอยู่ยามอยู่เรื่อย แต่ขี้ขโมยมันค่อยขโมยเรื่อยไป ของไม่เป็นเรื่องเป็นราว ต้องให้เป็นกิจการงานล่ะ ก็ขี้ขโมยเรื่อยไป ฟังนิดเดียวหรอก ไม่มีอะไรหรอก จิตคิดนิดเดียวเท่านั้นแหละเป็นเรื่องเป็นราวอันใหญ่โตโหฐาน เลยกลายเป็นภพเป็นชาติขึ้น
เหมือนที่ท่านพูดถึงเรื่อง “ภะวา ภะเว” “ภพน้อย ภพใหญ่” ใครตายแล้วเกิดๆ ก็ได้แก่ “จิต” ตัวนี้เอง ไอ้ขี้ขโมยตัวเดียวนี้แหละ มันไปหายึดนู่นยึดนี่ ไปหาขี้ขโมยไปหายึดสิ่งต่างๆ ตายจากนี้ไปเกิดภพโน้น คือตายจากยึดอันนี้แล้วไปยึดอันโน้น ตายจากอันโน้นแล้วไปยึดอันโน้นต่อๆ ไป โดยไม่มีที่หยุดที่ยั้ง อันนั้นเรียกว่า “ภพน้อย”
“ภพใหญ่” คือตัวของเราอยู่นี่เอง เมื่อยังไม่ตายตราบใดมันก็ยังยึดร่างกายหรือว่าตนว่าตัวอยู่ร่ำไป นี้เรียกว่า “ภพใหญ่” ถ้าเมื่อตายจากอัตภาพนี้เสียเมื่อไรมันถึงจะไปปฏิสนธิในที่ต่างๆ ในที่เรายึดมั่นในสิ่งใดในภพน้อยที่เราไปยึดน่ะมันมั่นคง มันไปยึดมั่นคงในสิ่งใด วัตถุอันใด บุคคลใด นั่นล่ะตายมันจากภพใหญ่แล้วไปเกิดในที่นั่นส่วนหนึ่งจาก : พระธรรมเทศนาหัวข้อ “ขี้ขโมย” โอวาทธรรมหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ขอบคุณลานธรรมจักร
ขอบคุณ :
https://www.naewna.com/likesara/564895วันพฤหัสบดี ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2564, 19.46 น.