สุทธาวาสภูมิ มี ๕ ภูมิ
สุทธาวาส แปลว่า อาวาส คือที่อยู่ของผู้บริสุทธิ์ หรือ ที่อยู่อันบริสุทธิ์ หมายถึงภูมิอันเป็นที่อยู่ของท่านผู้บริสุทธิ์ กล่าวคือ เป็นที่อยู่ของพระอริยบุคคล ๒ จำพวก คือ พระอนาคามี และพระอรหันต์
และมีคุณสมบัติพิเศษอีก ๒ ประการคือ ต้องเป็นพระอนาคามีที่มีอินทรีย์อย่างใดอย่างหนึ่งแก่กล้าด้วยและเจริญสมถะจนได้ปัญจมฌานด้วย เมื่อสิ้นชีวิตจะไปเกิดอยู่ในชั้นสุทธาวาสภูมิ และจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ นิพพานในชั้นสุทธาวาสภูมินั้น ไม่กลับมาเกิดอีก สุทธาวาสภูมิ มี ๕ ภูมิ คือ อวิหาภูมิ อตัปปาภูมิ สุทัสสาภูมิ สุทัสสีภูมิ และอกนิฏฐาภูมิ ผู้ที่เกิดในสุทธาวาสภูมิ ภูมิใดภูมิหนึ่งแล้วจะไม่เกิดซ้ำภูมิ ถ้ายังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์ก็จะเกิดในภูมิที่สูงขึ้นไปตามลำดับ และจะต้องสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในอกนิฏฐาภูมิและนิพพานในอกนิฏฐาภูมินี้
๑. อวิหา แปลว่า ไม่ละฐานของตนโดยกาลอันน้อย หรือ ไม่เสื่อมจากสมบัติของตน ผู้ที่เกิดในภูมินี้ต้องเป็นพระอนาคามีที่มีสัทธินทรีย์แก่กล้า อินทรีย์มี ๕ คือ
๑.สัทธินทรีย์ ๒.วิริยินทรีย์ ๓.สตินทรีย์ ๔.สมาธินทรีย์ ๕.ปัญญินทรีย์
พรหมที่จะได้เกิดในภูมินี้ต้องสำเร็จพระอริยบุคคลขั้นพระอนาคามีผู้มีสัทธินทรีย์แก่กล้าและสำเร็จฌานขั้นปัญจมฌานด้วย เมื่อมาเกิดในชั้นอวิหาภูมิแล้ว ถ้าสำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็จะดำรงขันธ์อยู่จนสิ้นอายุขัยและนิพพานในภูมินี้ แต่ถ้ายังไม่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เมื่อสิ้นอายุขัยแล้วจะไปอุบัติขึ้นในสุทธาวาสภูมิชั้นที่สูงขึ้น ๒.
อตัปปา แปลว่า ไม่สะดุ้งกลัวอะไร หรือไม่เดือดร้อน พรหมในภูมินี้เป็นผู้ไม่มีความเดือดร้อน ย่อมจะเข้าฌานสมาบัติหรือผลสมาบัติอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้จิตเร่าร้อนจากนิวรณธรรม ผู้ที่จะเกิดในภูมินี้ต้องเป็นพระอริยบุคคลขั้นพระอนาคามีด้วยกำลังของวิริยินทรีย์อย่างแก่กล้า และสำเร็จฌานขั้นปัญจมฌานด้วย เมื่อสิ้นอายุขัยแล้วจะไปอุบัติขึ้นในสุทธาวาสภูมิชั้นที่สูงขึ้นไป หรือบำเพ็ญเพียรจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ และอยู่จนสิ้นอายุขัย ก็จะดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพาน ในภูมินี้
๓. สุทัสสา แปลว่า ดูงาม เป็นพรหมที่มีการเห็นชัดเจนแจ่มใสบริบูรณ์ด้วยประสาทจักขุ ทิพพจักขุ ธัมมจักขุ ผู้ที่จะเกิดในภูมินี้ต้องเป็นพระอริยบุคคลขั้นพระอนาคามีด้วยกำลังของสตินทรีย์อย่างแก่กล้า และสำเร็จฌานขั้นจตุตถฌานด้วยปัญญาจักขุ เมื่อสิ้นอายุขัยแล้วจะไปอุบัติขึ้นในสุทธาวาสภูมิชั้นสูงขึ้น หรือบำเพ็ญเพียรจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์และอยู่จนสิ้นอายุขัย จะดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานในภูมินี้ ๔.
สุทัสสี แปลว่า มีทัสนะคือความเห็นดีบริสุทธิ์ เป็นผู้ที่มีการเห็นชัดเจนแจ่มแจ้งกว่าพรหมสุทัสสา ด้วยประสาทจักขุ ทิพพจักขุ และปัญญาจักขุ ส่วนธัมมจักขุนั้นมีกำลังเสมอกันกับพรหมสุทัสสา ผู้ที่จะเกิดในภูมินี้ต้องเป็นพระอริยบุคคลขั้นพระอนาคามีด้วยกำลังของสมาธินทรีย์อย่างแก่กล้า และสำเร็จฌานขั้นปัญจมฌานด้วย เมื่อสิ้นอายุขัยแล้วจะไปอุบัติขึ้นในสุทธาวาสภูมิชั้นสูงขึ้น หรือบำเพ็ญเพียรจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ และอยู่จนสิ้นอายุขัย ก็จะดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพาน ในภูมินี้
๕. อกนิฏฐา แปลว่า ไม่มีเป็นรอง เพราะมีสมบัติอันอุกฤษฏ์ เสวยอริยผลจนกว่าจะสิ้นอายุขัย ผู้ที่จะเกิดในภูมินี้ต้องเป็นพระอริยบุคคลขั้นพระอนาคามีด้วยกำลังของปัญญินทรีย์แก่กล้ากว่าอินทรีย์อื่น อกนิฏฐาภูมิเป็นยอดภูมิของพระอริยบุคคล พระอริยบุคคลที่อยู่ในภูมินี้จะต้องสำร็จเป็นพระอรหันต์ในภูมินี้แล้วจึงเข้าสู่นิพพาน ที่ตั้งสุทธาวาสภูมิ ตั้งอยู่ในอากาศ ทั้ง ๕ ภูมิ จะไม่อยู่ในแนวระนาบเดียวกันเหมือนกับภูมิที่ผ่านมา แต่จะตั้งสูงขึ้นไป อวิหาภูมิจะตั้งห่างจากเวหัปผลาภูมิ และอสัญญสัตตาภูมิ ๕,๕๐๘,๐๐๐ โยชน์ อตัปปาภูมิ สุทัสสาภูมิ สุทัสสีภูมิ อกนิฏฐาภูมิ มีความสูงห่างจากกันระหว่างภูมิ ชั้นละ ๕,๕๐๘,๐๐๐ โยชน์ สิ่งสำคัญในอกนิฏฐาภูมิ ในอกนิฏฐาภูมิมีพระเจดีย์ชื่อ ทุสสเจดีย์ หรือพระเจดีย์ผ้าขาว ที่เจดีย์บรรจุเครื่องแต่งกายของพระโพธิสัตว์ในคราวที่ทรงออกผนวช(ก่อนตรัสรู้เรียกว่าพระโพธิสัตว์) โดยฆฏิการพรหมนำบริขาร ๘ จากพรหมโลกมาถวายพระโพธิสัตว์ และรับพระภูษาขึ้นไปบรรจุไว้ในทุสสเจดีย์ในพรหมโลก
และในคราวที่ปรินิพพาน พรหมก็ได้นำพระอุณหิส(พระบรมสารีริกธาตุส่วนหน้าผาก) ไปบรรจุไว้ที่ทุสสเจดีย์
ในคราวออกบวชพระอินทร์ได้พระจุฬา โมฬี ปิ่น และเครื่องรัดเกล้า ไปบรรจุไว้ที่จุฬามณีเจดีย์
พระพรหม คือ ฆฏิการพรหมได้ถวายบริขาร ๘ และนำพระภูษาคฤหัสถ์ขึ้นไปบรรจุไว้ในทุสสเจดีย์ เรื่องบาตรที่เป็นส่วนหนึ่งในบริขาร ๘ มีเรื่องพิเศษอีกว่า เมื่อนางสุชาดาน้อมถาดทองข้าวมธุปายาส เข้าไปถวายพระโพธิสัตว์ในเช้าวันที่จะตรัสรู้ บาตรดินที่ฆฏิการพรหมถวาย มีเหตุทำให้อันตรธานหายไป ไม่ทรงเห็นบาตรจึงทรงรับทั้งถาด
ครั้นตรัสรู้แล้ว เมื่อพาณิชสองพี่น้องชื่อ ตปุสสะ ภัลลิกะ ได้น้อมข้าวสัตตุก้อนสัตตุผงถวาย พระองค์ไม่มีบาตรที่จะทรงรับ ท้าวจตุโลกบาตรทั้งสี่จึงได้นำบาตรศิลาจากทิศทั้งสี่มาถวาย รวมเป็นสี่บาตร พระองค์ทรงรับแล้วอธิษฐานให้เป็นบาตรใบเดียวกัน แล้วทรงรับข้าวสัตตุจากพาณิชทั้งสองคน จากบทเรียนชุดที่ ๖.๒ เรื่อง ภพภูมิ ๓๑
หนังสืออ้างอิง
๑. ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ๒. ภูมิจตุกกะและปฏิสนธิจตุกกะ ปริจเฉทที่ ๕ เล่มที่ ๑ ; ปรมัตถโชติกะ มหาอภิธัมมมัตถสังคหฎีกา
; พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
อนาคามีผล ที่ได้ฌาน๕ จะสำเร็จอรหันตผลในยุคของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันได้ ในกรณีที่ยังดำรงขันธ์อยู่
แต่หากสิ้นขันธ์ไปแล้ว ก็ต้องไปสำเร็จที่สุทธาวาสอยู่ดี ซึ่งอาจจะเป็นยุคของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์ก็ได้
สิ่งที่ต้องเข้าใจก็คือ สำเร็จบนสุทธาวาส ไม่ใช้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ในยุคของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง
ตัวอย่างก็มี อย่างเช่น พระอาจารย์มั่น (ตอบในกระทู้พระธาตุของหมวยนีย์ไปแล้ว) ดูลิงค์นี้ครับhttp://www.madchima.org/forum/index.php?topic=2980.msg10436;topicseen#newถ้าจะถามว่า แล้วอนาคามีผลที่ไม่ได้ฌาน๕ จะเป็นอย่างไร ตอบว่า ไม่ทราบครับ
มีข้อสังเกตอย่างหนึ่ง ก็คือ คนสำเร็จอนาคามีแล้ว ไม่มีนิวรณ์ครับ ดังนั้น สมาธิจะดีมาก
เรื่องฌาน น่าจะเป็นของกล้วยๆ ขอคุยเท่านี้ครับ รู้ึสึกอึดอัดที่จะพูดต่อไป
เนื่องจากผมยังไม่ได้เป็นอนาคามี เอาไว้เป็นเมื่อไหร่ จะมาคุยอีกที
