ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: กฎกรรมกับกฎหมาย กฎไหนใหญ่กว่ากัน.?  (อ่าน 2399 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29390
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
กฎกรรมกับกฎหมาย กฎไหนใหญ่กว่ากัน.?
« เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2021, 07:07:42 am »
0


กฎกรรมกับกฎหมาย กฎไหนใหญ่กว่ากัน.?

มีพุทธภาษิตที่นิยมยกไปอ้างกันอยู่เสมอว่า “เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ” แปลว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม (นิพเพธิกสูตร ฉักนิบาต อังคุตรนิกาย พระไตรปิฎกเล่ม ๒๒ ข้อ ๓๓๔)

หมายความว่า ตั้งจิตเจตนาอย่างไร กรรมก็สำเร็จเป็นอย่างนั้น คือกรรมสำเร็จตามเจตนา หรือเจตนาเป็นตัวตัดสินว่ากรรมนั้นสำเร็จเป็นกรรมแล้ว กล่าวโดยนัยตรงกันข้าม ถ้าไม่มีเจตนาก็ไม่สำเร็จเป็นกรรม

มีคำถามชวนคิดว่า กฎกรรมกับกฎหมาย กฎไหนใหญ่กว่ากัน.? มีเรื่องตัวอย่างมาประกอบ ๒ เรื่อง

@@@@@@@

เรื่องแรก : สตรีใจบุญคนหนึ่งมีศรัทธาถวายที่ดินให้วัด ทางวัดประชุมสงฆ์ มีญาติโยมชาวบ้านมาร่วมเป็นพยาน สตรีใจบุญเอาโฉนดที่ดินแปลงนั้นใส่พานถวายประธานสงฆ์ พระสงฆ์ทั้งนั้นเจริญชัยมงคลคาถาแล้วอนุโมทนา เป็นที่ชื่นชมยินดีโดยทั่วกัน

กรรมคือเจตนาสำเร็จแล้ว ใช่หรือไม่.?
ที่ดินแปลงนั้นตกเป็นของสงฆ์ คือ ของวัดเรียบร้อยแล้วตามเจตนาอันเป็นตัวกรรม ใช่หรือไม่.?

ต่อมาสตรีผู้นั้นสิ้นชีวิตลง ลูกสาวเป็นผู้รับมรดกตามกฎหมาย มรดกก็รวมทั้งที่ดินแปลงที่ถวายวัดนั้นด้วย ทั้งนี้เพราะถวายโฉนดให้วัดก็จริง แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนโอนให้วัดตามกฎหมาย เพราะฉะนั้นตามกฎหมายที่นั้นแปลงนั้นยังคงเป็นของสตรีผู้เป็นแม่ เมื่อแม่ตาย มรดกตกแก่ลูกสาว ที่ดินแปลงนั้นก็จึงเป็นมรดกตกแก่ลูกสาว

ลูกสาวมาขอยืมโฉนดที่ดินแปลงนั้นจากวัดอ้างว่าจะขอเอาไปตรวจสอบอะไรบางอย่าง พระที่เก็บรักษาโฉนดก็ให้ไป ได้โฉนดไปแล้วก็ไม่คืนให้วัด ในที่สุดเกิดการฟ้องร้องอ้างสิทธิ์กัน

ศาลตัดสินว่า ที่ดินยังเป็นของสตรีผู้เป็นแม่เพราะยังไม่ได้จดทะเบียนโอน พิพากษาให้ที่ดินตกเป็นของลูกสาวในฐานะผู้รับมรดก สู้กัน ๓ ศาล ปรากฏว่าวัดแพ้ทั้ง ๓ ศาล

ตามกฎกรรม เจ้าของที่ดินถวายที่ดินให้วัดไปเรียบร้อยแล้ว ที่ดินเป็นของวัดแล้วตามเจตนาอันเป็นกฎกรรม แต่กฎหมายตัดสินว่าที่ดินยังคงเป็นของผู้ถวาย-ตามเกณฑ์ของกฎหมาย นี่คือกฎหมายใหญ่กว่ากฎกรรม

ถ้าใครจะวิจารณ์ว่า นี่ถ้าจดทะเบียนโอนให้วัดเสียตั้งแต่ตอนนั้นก็จะไม่มีปัญหา ก็เท่ากับยืนยันว่ากฎหมายใหญ่กว่ากฎกรรม (คือเจตนา) เพราะเกณฑ์ที่ว่าที่ดินจะเป็นของใครก็ต่อเมื่อจดทะเบียนนั้น เป็นเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดขึ้นโดยกฎหมายไม่ได้คำนึงถึงผลที่สำเร็จแล้วตามเจตนาแห่งการให้ นั่นคือ ถ้าอ้างอย่างนี้ก็คือ ยืนยันว่ากฎหมายใหญ่กว่าเจตนานั่นเอง

@@@@@@@

เรื่องที่สอง : ชายคนหนึ่งใช้อาวุธปืนยิงคนผู้หนึ่งถึงแก่ความตายโดยเจตนา เมื่อมีการฟ้องร้องในศาล เขาสามารถแสดงพยานหลักฐานให้ศาลเชื่อได้ว่า เขาไม่ได้ยิง เขาไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ ในที่สุดศาลตัดสินว่าเขาไม่มีความผิด พิพากษายกฟ้อง

ข้อเท็จจริงก็คือ ชายคนนี้มีเจตนาฆ่าคนจริง ตายจริง กรรมคือ การฆ่าสำเร็จเป็นความจริงไปเรียบร้อยแล้ว แต่กฎหมายตัดสินว่า เขาไม่มีความผิด

คำอธิบายที่นิยมพูดกันก็ว่า การฆ่าเป็นเรื่องจริง เป็นบาปตามหลักศาสนา เขาจะต้องได้รับผลบาป ก็เป็นเรื่องจริง ไม่ปฏิเสธ แต่ต้องแยกไว้ส่วนหนึ่ง ส่วนการมีความผิดที่จะต้องได้รับโทษตามกฎหมายนั้น ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน ศาลตัดสินตามพยานหลักฐาน ไม่ได้ตัดสินตามข้อเท็จจริง เพราะศาลไม่สามารถตามไปดูข้อเท็จจริงได้ทุกเรื่อง

เพราะฉะนั้น จะบอกว่ากฎไหนใหญ่กว่ากฎไหนไม่ได้ ต้องบอกว่าต่างกฎต่างใหญ่ไปคนละทาง อธิบายอย่างนี้ก็เลยมองได้ว่า กฎหมายก็มีเกณฑ์ของตัวเอง และเกณฑ์ของกฎหมายนั้นไม่แคร์กฎกรรม คือ พยานหลักฐาน หรือเกณฑ์ของกฎหมายสำคัญกว่ากรรมที่ทำสำเร็จแล้วจริงๆ

ตัวอย่างขำเครียดก็เช่น แม้ผู้พิพากษาจะเห็นมากับตาตัวเองในขณะที่จำเลยกำลังทำความผิด แต่ถ้าพยานหลักฐานที่จำเลยนำมาแสดง พิสูจน์ได้ว่าจำเลยไม่ได้เป็นผู้กระทำ ผู้พิพากษาคนนั้นแหละก็ต้องตัดสินว่า จำเลยไม่มีความผิด ต่างกฎต่างใหญ่ไปคนละทางก็จริง แต่กฎไหนล่ะที่ใหญ่กว่า

เรื่องที่เขียนมานี้เป็นเพียงชวนคิดดังๆ ญาติมิตรทั้งปวงอ่านแล้วโปรดเอาไปคิดเงียบๆ นะครับ อย่าคิดดัง

@@@@@@@

เจตนากรรม ๒ อย่าง

๑) เจตนาที่ประกอบกับจิตทุกดวง ๘๙ (สหชาตกัมมปัจจัย)
         – อกุศล (อกุศลกรรม ๑๒)
         – กุศล (โลกียกุศล ๑๗, โลกุตตรกุศล ๔)
         – วิบาก ๓๖
         – กริยา ๒๐

๒) เจตนาที่หมายเอาเฉพาะในอกุศล(อกุศลเจตนา ๑๒), โลกียกุศล๑๗ (โลกียกุศลเจตนา ๑๗) (นับว่าเป็นกรรม ตามพระดำรัสทีว่า “เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ”)

ความหมายของคำว่า “กฎแห่งกรรม” ตามหลักการของพุทธศาสนา

กฎของกรรม ตามความหมายในทางพุทธศาสนา คือ

     – อกุศลกรรม ให้ผลเป็นอกุศลวิบาก เป็นความทุกข์ เป็นความไม่น่าปรารถนา (อเหตุกวิปากจิต ๗, อกุศลกรรมชรูป ๒๐) แน่นอน เป็นอย่างอื่นไม่ได้
     – กุศลกรรม ให้ผลเป็นกุศลวิบาก เป็นความสุข เป็นความน่าปรารถนา (มหาวิปากจิต๘, อเหตุกกุศลวิปากจิต ๘, และ กุศลกรรมชรูป ๒๐) แน่นอน เป็นอย่างอื่นไม่ได้

กรรมทั้ง ๒ อย่าง “เป็นกฎแห่งกรรม” ตามอำนาจของ กัมมปัจจัย (นานักขณิกกัมมปัจจัย ตามคัมภีร์มหาปัฏฐาน) และผลของกรรมที่ว่านี้ จะมีลักษณะการให้ผล ๔ ลักษณะ คือ

     ๑. ทิฏฐธัมมเวทนียะ ให้ผลในปัจจุบันชาตินี้ (เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส สัมผัส รับธัมมารมณ์…ที่ดีและไม่ดี)
     ๒. อุปปัชชเวทนียะ ให้ผลในภพที่สองหลังจากสิ้นชีวิตลง (ถือกำเนิดใหม่ ทุคคติภูมิ,หรือสุคคติภูมิ)
     ๓. ให้ผลในภพต่อๆไป หลังจากเกิดแล้ว (อปราปรเวทนียะ) เป็นอุปัตถัมภกบ้าง, เป็นอุปปีฬกบ้าง
     ๔. หรือ ไม่ให้ผลเลย เป็น “อโหสิกรรม” ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่น สำเร็จเป็นพระอรหันต์ กรรมใดๆที่จะให้ผลไปสู่ทุคคติภูมิ หรือสุคติภูมิต่างๆ กรรมนั้นๆ ก็เป็นอโหสิกรรม คือไม่ให้ผลทั้งหมด


@@@@@@@

นอกจากนี้ กุศลกรรมและอกุศลกรรมที่กระทำแล้วนั้น ยังเป็นปกตูปนิสสปัจจัยได้อีก คือเป็นปัจจัยให้เกิดผลไปในลักษณะต่าง ๆ ทั้งดีและไม่ดี ทั้งสุขและทุกข์ เช่น

    – บางครั้ง กุศลกรรม ก่อให้เกิดผลที่เป็นความทุกข์ ก็ได้ (ปกตูปนิสสยปัจจัย) (เช่น อยากไปทำบุญที่วัด จัดเตรียมอาหาร สมณปัจจัยต่างๆ การกระทำนั้นเป็นกุศลกรรม ขณะขับรถไปวัด แต่เกิดอุบัติเหตุด้วยเหตุสุดวิสัยอย่างใดอย่างหนึ่ง ตนเองได้รับบาดเจ็บ, การได้รับบาดเจ็บต้องทุกข์กาย-ใจ นั่นเอง เป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระทำที่เป็นกุศลว่าจะไปวัดทำบุญถวายทานที่วัด ความคิดและการกระทำกิจต่างๆ นั้นนั่นแหละ “เป็นกุศลปกตูปนิสสย” อาศัยกุศลนั่นแหละ เป็นสาเหตุให้เกิดทุกข์กาย-ใจอย่างนี้ได้ นี่เป็น “กุศลปกตูปนิสสยปัจจัย”

     – ในทางตรงกันข้าม อกุศลกรรม ก็ก่อให้เกิดความสุขกาย สุขใจได้ และความสุขนั้น อาจจะเกิดจากอกุศลกรรมหรือกุศลกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ เช่น อยากไปเที่ยว แต่ไม่มีเงิน ก็เลยไปปล้นเขา พอได้เงินมาก็เอาไปกิน-ดื่ม-เที่ยวอย่างมีความสุข-โสมนัส, หรือเห็นพระมาบิณฑบาตร ก็เลยเอาเงินนั้นไปซื้อกับข้าวใส่บาตร หรือซื้ออาหารให้สุนัข เพราะเกิดความสงสาร ในขณะที่ทำจิตก็เกิดความสุขใจ

การปล้น เป็นอกุศลกรรม การได้เงินจากการปล้นและใช้เงินในลักษณะต่าง ๆ ก่อให้เกิดความสุขกาย-สุขใจได้  อกุศลกรรมนั้นจึงเป็น “อกุศลปกตูปนิสสยปัจจัย” ก่อให้เกิดสุขกาย-สุขใจได้

ปกตูปนิสสยปัจจัย จึงเป็นปัจจัยที่มีผลได้กว้างขวาง ไม่จัดเข้าในกฎแห่งกรรม ตามความหมายของกรรมตามพระดำรัสที่ว่า “เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ”

@@@@@@@

“ตามกฎกรรม เจ้าของที่ดินถวายที่ดินให้วัดไปเรียบร้อยแล้ว ที่ดินเป็นของวัดแล้วตามเจตนาอันเป็นกฎกรรม แต่กฎหมายตัดสินว่า ที่ดินยังคงเป็นของผู้ถวาย-ตามเกณฑ์ของกฎหมาย นี่คือกฎหมายใหญ่กว่ากฎกรรม”

บทบัญญัติในทางกฎหมาย เป็นเพียงสมมติบัญญัติ หากบทบัญญัติในทางกฎหมายบัญญัติว่า “ทรัพย์สินที่บุพพการี (มารดา-บิดา) ยกให้ หรือถวายให้แก่ผู้ใดผู้หนึ่ง, องค์กรใดองค์กรหนึ่งไปแล้ว ถือว่าเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของบุพพการีนั้น ทายาท (บุตร) ไม่สามารถฟ้องร้องเรียกคืนกรรมสิทธิ์ได้” อย่างนี้เป็นต้น ทรัพย์สินนั้น ก็ต้องตกเป็นของผู้รับเป็นสิทธิ์ที่เด็ดขาดไปแล้ว

อย่างที่กล่าว “กฎหมายในทางโลก เป็นบัญญัติ” มีความเป็นไปได้หลายนัยะ แล้วแต่จะบัญญัติกันขึ้นมา กฎหมายในประเทศหนึ่ง อาจไม่ถูกยอมรับในอีกประเทศหนึ่ง, อีกประเทศหนึ่ง บัญญัติเป็นอย่างอื่นก็ได้, หรือไม่มีในอีกประเทศหนึ่งก็ได้

แต่ “กฎแห่งกรรม” ไม่เป็นเช่นนั้น ไม่มีใคร ไปบัญญัติกฎแห่งกรรมตามความชอบใจ หรือตามความยินยอมของใครๆได้
     – เจตนา เป็นกุศล ก็เป็นกุศลกรรมแน่แท้ และผล ก็ต้องสืบเนื่องจากกุศลกรรมนั้นโดยตรง (มุขยผล) เป็นสภาวปรมัตถ์ธรรม ทั้งเจตนา และผลแห่งเจตนา
     – เจตนา เป็นอกุศล ก็เป็นอกุศลแน่แท้ และผล ก็ต้องสืบเนื่องจากอกุศลกรรมนั้นโดยตรง (มุขยผล) เป็นสภาวปรมัตถ์ธรรม ทั้งเจตนา และผลแห่งเจตนา (วิปากา ธมฺมา, อุปาทินฺนุปาทานิยา ธมฺมา… ในติกมาติกา)

กรรมและกฎแห่งกรรม ตามหลักพุทธศาสนา ท่านมุ่งหมายเอาสภาวปรมัตถ์
     – เจตนา ที่เป็นตัวกรรม ก็เป็นปรมัตถ์ธรรม
     – ผลกรรม ก็เป็น ปรมัตถ์ธรรม
     – กฎ คือ ดี (บุญ,กุศล) —> ดี(สุข,น่าปรารถนา), ไม่ดี (ชั่ว,บาป) —> ไม่ดี (ทุกข์, ไม่น่าปรารถนา)

ส่วน “กฎหมาย และการตัดสินในทางโลก ทั้งถูก และผิด” เป็นไปตามลักษณะของบัญญัติทางโลก ซึ่งไม่มีอะไรกฎแน่นอน ตายตัว ทั้งสิ่งที่เป็นเหตุ สิ่งที่เป็นผล ตัดสิน ผิดเป็นถูก หรือถูกเป็นผิด มากมายเยอะแยะ แม้ยุติได้ ก็ยุติแบบยอมๆกันไป แต่สิ่งที่ถูกผิดจริงๆ เป็นผลจริงๆ ต้องเป็นไปตากกฎแห่งกรรมที่เป็นปรมัตถ์ธรรมตามหลักพุทธศาสนาเท่านั้น





ขอบคุณ : dhamma.serichon.us/2021/05/21/กฎกรรมกับกฎหมาย/
บทความของ : ทองย้อย แสงสินชัย
21 พฤษภาคม 2021 ,By admin.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 22, 2021, 07:19:33 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ