เด็กนักเรียนกำลังหัดเขียนหนังสือบนกระดานชนวน
โรงเรียนสมัยคุณทวด สอน-สอบวิชาอะไร เครื่องแบบ-เครื่องเขียน ในกระเป๋านักเรียน เป็นอย่างไร
สมัยรัชกาลที่ 5 โปรดฯ ให้ตั้งโรงเรียนขึ้นในพระบรมมหาราชวัง เพื่อเป็นโรงเรียนตัวอย่างในปี 2414 โดยโปรดให้มีประกาศชักชวนพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการให้ส่งบุตรหลานมาเข้าเรียน ต่อมาในปี 2427 ก็ได้โปรดให้จัดตั้งเรียนหลวงให้แก่ราษฎร
ก่อนเรามาเปิด “กระเป๋านักเรียน” ดูว่าเครื่องเขียนต่างๆ มีอะไร หน้าตาเป็นอย่างไรบ้าง
เริ่มจากกระดานดำ ที่ทำจากไม้ไสจนเรียบ ก่อนจะทาเด้วยเขม่าก้นหม้อกับน้ำข้าวหรือข้าวสุก (บ้างใช้ขี้รักผสมสมุกทา) ดินสอรุ่นคุณทวดเรียกว่าดินสอหิน ทำจากดินสีขาวกับสีเหลืองจากเมืองกาญจนบุรี หรือดินสอพอง ที่เอาดินสอพองมาละลายน้ำพอหมาดปั้นเป็นแท่งขนาดเท่าหัวแม่มือ ส่วนยางลบไม่ต้องใช้ถ้าเขียนผิดก็ใช้มือเช็ดถู หรือใช้น้ำลูบๆ ก็เป็นอันเรียบร้อย
ส่วนชั้นสูงหรือเด็กโตหน่อย อาจมีสมุดไทยที่ทำจากกระดาษข่อย ส่วนปากกาก็เป็นเวอร์ชั่นรักษ์โลก ตั้งแต่ปากกาไม้ไผ่ หรือขนเม่น (ปลายด้านหนึ่งผ่าให้ง่ามประกัน ทำรางให้หมึกไหล) หรือจะเลือกใช้หางแมงดาทะเล, ขนนก, ขนไก่มาผ่าทำปากกาก็ได้ ส่วนหมึกใช้หมึกแท่งสีดำแบบเดียวกับหมึกจีน
@@@@@@@
ส่วน เครื่องแบบนักเรียน หรือชุดนักเรียนล่ะหน้าตากเป็นอย่างไร
ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) ที่เข้าเรียนชั้นประถมเมื่อปี 2477 ที่โรงเรียนปฐมมหาธาตุ [โรงเรียนที่สืบทอดจากโรงเรียนพระตำหนักสวนกุลาบ เพราะเมื่อโรงเรียนเลิกไป ก็มาสร้างโรงเรียนขึ้นที่วัดมหาธาตุ และรับนักเรียนที่ตกค้างมาเรียนต่อที่นี่] บันทึกเรื่อง เครื่องแบบนักเรียนไว้ว่า
“สมัยข้าพเจ้าเข้าโรงเรียนปฐมมหาธาตุ นักเรียนใส่รองเท้าหนังดำผูกเชือก ถุงเท้าขาว กางเกงขาสั้น เสื้อนอกระดุม 5 เม็ด มีขอที่คอ ใส่หมวกฟาง มีผ้าพันหมวกเป็นแถบโตราวหนึ่งนิ้วฟุตสีเลือดหมูมีขีดขวาอยู่ตรงกลางตลอดแถบ มีโบว์ข้างๆ ขีดขาวตรงกลางนี้…”
หนังสือที่ใช้อ่านมี 5 เล่ม คือ ประถม ก.กา , สุบินทกุมาร, ประถม มาลา, ประถมจินดามณี เล่ม 1 และประถมจินดามณี เล่ม 2 และมีหนังสืออ่านเล่น สำหรับฝึกหัดอีกหลายเล่ม เช่น เสือโค, จิรทรโครพ, สังข์ทอง, สวัสดิรักษา ฯลฯ
กลับมาที่โรงเรียนอีกครั้ง โรงเรียนหลวงแห่งแรกนี้ มีพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ตั้งแต่ครั้งยังเป็นหลวงสารประเสริฐ ปลัดกรมพระอาลักษณ์ เป็นอาจารย์ใหญ่ ภายหลังสถานที่คับแคบจึงโปรดฯ พระราชทานพระตำหนักเดิมที่สวนกุหลาบ ในพระบรมมหาราชวังเป็นที่ทำการใหม่ จัดตั้งเป็น “โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ”
โรงเรียนพระตำหนักสวนกุลหาบแรกเริ่มสอนด้วยหนังสือแบบเรียนหลวง 6 เล่ม ที่พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) เป็นผู้แต่ง มีหนังสือมูลบทบรรพกิจ, วาหนิตินิกร, อักษรประโยค, สังโยคพิธาน, ไวพจน์พิจารณ์ และพิศาลการันต์ ถ้าเรียนจบ 6 เล่มก็ถือว่าจบหลักสูตรชั้นต้น แต่ปรากฏว่านักเรียนรุ่นแรก เรียนไปได้เพียง 3 เล่ม ก็ออกจากโรงเรียนไปเป็นเสมียนตราตามกระทรวงต่างๆ เป็นส่วนมาก เพราะกำลังต้องการเสมียน
@@@@@@@
ปี 2427 โปรดฯ ให้มีการสอบไล่ประโยค 1 ขึ้น มีผู้สอบผ่านเพียง 3 คน คือ หม่อมราชวงศ์สำเริง, หม่อมราชวงศ์ฉอ้อน และหม่อมราชวงศ์ เปีย มาลากุล (เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี) ถึงปี 2428 เพิ่มการสอบประโยค 2 ขึ้น (สำหรับรับนักเรียนที่สอบได้ประโยค 1 เข้ารับราชการ ) มีวิชาที่สอบอยู่ 8 รายการคือ
1. เขียนลายมือหวัดและบรรจง
2. เขียนหนังสือใช้ตัว วางวรรคถูกตามใจความ โดยไม่ต้องดูแบบ
3. ทานหนังสือที่ผิดคัดจากลายมือหวัด
4. คัดสำเนาความและย่อความ
5. แต่งจดหมาย
6. แต่งแก้กระทู้ความร้อยแก้ว
7. วิชาเลข
8. ทำบัญชี
ในปี 2427 รัชกาลที่ 5 โปรดให้จัดตั้งโรงเรียนหลวงแห่งแรกสำหรับราษฎรขึ้นที่วัดมหรรณพาราม แต่ก็มีข่าวลือเข้าใจผิดว่า การที่พระองค์โปรดฯ ให้ตั้งโรงเรียนเพื่อจะเอาเด็กไปเป็นทหาร รัชกาลที่ 5 จึงทรงประกาศชี้แจ้ง ความตอนหนึ่งว่า
“…ที่พูดเล่าลืออย่างนี้เป็นการไม่จริง ห้ามอย่าให้ผู้ใดพลอยตื้นเต้น เชื่อฟังคำเล่าลือนี้อันขาด คนที่ควรจะชักเป็นทหารก็มีอยู่พวกหนึ่งต่างหาก ไม่ต้องตั้งโรงเรียนเกลี้ยกล่อมเด็กมาเป็นทหารเลย อนึ่งเด็กทั้งปวงก็แต่ล้วนเป็นบุตรหลานไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทั้งสิ้นด้วยกัน ถ้าจะเก็บเอามาเป็นทหารเสียตรงๆ นั้นจะไม่ได้หรือ จะต้องตั้งโรงเรียนเกลี้ยกล่อมให้ลำบาก และเปลืองพระราชทรัพย์ด้วยเหตุใด…”
ประกาศดังกล่าวทำให้ประชาชนหายตื่นตกใจ การจัดตั้งโรงเรียนขึ้นตามวัดต่างในกรุงเทพฯ และหัวเมืองต่างๆ จึงเกิดขึ้นตามมาอีกหลาย
ข้อมูลจาก :-
- ขุนวิจิตรมาตรา. “80 ปีในชีวิตข้าพเจ้า” ใน, อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ ขุนวิจรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม 9 ตุลาคม 2523
- เทพชู ทับทอง. กรุงเทพฯ ในอดีต, ห้างหุ้นส่วนอักษณบัณฑิต 2518
เผยแพร่ : วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ.2564
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 7 ธันวาคม 2563
ขอบคุณ :
https://www.silpa-mag.com/history/article_59290