ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: จะต้องปฏิบัติเช่นไร.? จึงจะได้เกิดมาใน "ภพภูมิของพุทธศาสนา"  (อ่าน 972 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


จะต้องปฏิบัติเช่นไร.? จึงจะได้เกิดมาใน 'ภพภูมิของพุทธศาสนา' : หลวงปู่หล้า เขมปัตโต

ปุจฉา : หลวงปู่คะดิฉันจะต้องปฏิบัติเช่นไรคะ จึงจะได้เกิดมาในภพภูมิของศาสนาพุทธ เกิดมาในภพภูมิของมนุษย์อีกแต่ดิฉันก็คิดว่า การไม่ขอเกิดมาอีกนะดีเยี่ยมที่สุดนะเจ้าคะแต่บุญบารมีของดิฉันจะมีมากพอที่จะทำให้ดิฉันไม่ต้องมาเกิดอีกหรือไม่แต่ดิฉันจะเร่งเพียรพยายามเร่งสะสมบุญนะเจ้าคะ

เพราะถึงอย่างไรในภพนี้ดิฉันก็ได้เกิดมาในภพภูมิของมนุษย์แล้วก็อย่าได้เสียชาติเกิด ต้องเร่งสะสมบุญไปเรื่อยๆเร่งทำความเพียรเจริญสติตลอดเวลาเวลาที่ดิฉันต้องออกไปธุรกิจ หรือต้องขึ้นรถลงเรือ หรือไปไหนๆ

ดิฉันมักจะคิดว่า ถ้าดิฉันเกิดตายไปตอนนี้ดิฉันได้ทำอะไรไปบ้างแล้ว ดิฉันก็เลยเกิดความรู้สึกว่าเออ...นี่เรายังไม่ได้ทำอะไรกับเขาเท่าไหร่เลย ก็จะต้องมาตายซะแล้วเพราะความตายเกิดได้ทุกขณะ ดิฉันนึกถึงความตายอย่างนี้ตลอดเวลาจะเรียกว่าดิฉันได้เจริญมรณานุสติ ใช่ไหมเจ้าคะ

@@@@@@@

วิสัชนา : เมื่อหลานๆ เห็นภัยในวัฏสงสารอย่างเต็มที่แล้วมันก็เป็นผู้มีวาสนาอยู่ในตัว สามารถทำตนให้พ้นทุกข์ในปัจจุบันชาติได้โดยแท้เพราะคนเราเมื่อเห็นทุกข์เป็นหลักของหัวใจแล้วนั่นก็คือตัวศีล สมาธิ ปัญญานั่นเอง เมื่อเห็นอยู่เนืองๆ ติดต่ออยู่ไม่ขาดสายก็เรียกว่าภาวนาอยู่ไม่ขาดสาย เป็นข้อวัตรของจิตใจที่ชอบด้วยหนักเข้าก็เบื่อหน่ายคลายเมาในวัฎสงสารแบบเย็นๆ รอบคอบเรียกว่าปัญญาชอบในวิปัสสนา

อนึ่ง บุคคลผู้จะเกิดเป็นมนุษย์อีกติดกันในชาติต่อไปเป็นผู้ถึงไตรสรณคมน์เท่านั้นก็พอแล้วเพราะโหรเอกพระบรมศาสดาองค์ท่านทายไว้ว่าบุคคลผู้ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะแล้วมีคติเป็นสอง ไม่เป็นมนุษย์ก็ต้องเทวดา มันเป็นของไม่ยากของผู้ทรงศรัทธาแต่ก็ตรงกันข้ามกลายเป็นของยากของผู้ที่ไม่ศรัทธาความดีคนดีทำได้ง่าย

ความชั่วคนดีทำได้ยากความชั่วคนชั่วทำได้ง่าย ความดีคนชั่วทำได้ยากสิ่งเหล่านี้เป็นของจริงมาแต่ดึกดำบรรพ์ ไม่พูดอีกก็จริงอีกพูดอยู่ไม่หยุดก็จริงอยู่ไม่หยุด และก็การเกิดในศาสนาพุทธนั้นเมื่อเราถึงไตรสรณคมน์แล้ว มันก็มีพืชไว้แล้ว ถึงแม้มีภพมีชาติอีกมันก็ไปเกิดในมนุษย์พุทธศาสนานั่นเองไม่ต้องสงสัยเลยนา

@@@@@@@

การเกิดเป็นเทวดาเทวบุตรและพรหมมีทุกข์น้อยกว่ามนุษย์ก็จริงอยู่แล้วแต่เมื่อมันอยู่ใต้อำนาจแห่งความไม่เที่ยงแล้ว ก็จัดว่าเป็นทุกข์เสมอกันในด้านปรมัตถ์และก็มรรคผลนิพพานก็มีในชั้นเทวโลก และพรหมโลกเหมือนกันบางท่านก็ภาวนาติดต่ออยู่ในภพนั้นๆ สร้างบารมีอยู่ในภพนั้นๆ ก็เป็นพระอริยบุคคลได้เหมือนมนุษย์เรานี่เองมันก็ล่าช้าอยู่ แต่สัตว์เดรัจฉาน เปรตทุกจำพวก และสัตว์นรกทุกจำพวกเท่านั้น

"จะอย่างไรก็ตาม เราไม่ตีตนตายก่อนไข้เราจะไม่หวังภพต่อไปในอนาคตอีกเราจองขาดผูกขาดเพื่อพ้นทุกข์ทั้งปวงในปัจจุบันชาติเพื่อจะตัดปัญหาความมุ่งหวังหลายทาง ให้เหลือแต่ทางเดียวปัญหามันจะน้อยลง ความประสงค์ก็ไม่มีมากแม้เราจะภาวนาเห็นตัวกองทุกข์ขณะจิตเดียว หรือ พุทโธ คำเดียวก็มีคุณค่ามากกว่าที่ปรารถนาในภพต่อไป การปรารถนาในภพต่อๆ ไปตั้งล้านๆ ขณะจิตก็ไม่เท่าขณะจิตเดียวที่หวังพ้นทุกข์ในปัจจุบันชาติ”



การจองคิว การสมาทาน เจตนา ความประสงค์ความต้องการ และความอธิษฐาน ทั้งหลายเหล่านี้เรียกชื่อต่างกันแต่ก็มีความหมายอันเดียวกันแห่งรสชาติ ฉะนั้น ความต้องการพ้นทุกข์ในปัจจุบันชาติเป็นพระสติพระปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญาอีกด้วยมีพลังมากแต่เราบัญญัติไม่เป็น ก็กล่าวตู่ตนว่าศีลไม่มีในเจตนาที่แท้นั้น

เจตนาหัง ภิกขเว สีลัง วทามิ เจตนาไปทางดีนั่นเองเป็นตัวศีล สมาธิ ปัญญา กลมกลืนกันในขณะเดียวเหมือนเชือกสามเกลียวที่เราเรียกว่าปัจจุบันจิตปัจจุบันธรรมนั่นเอง ไม่ใช่อื่นไกลเลยจะบัญญัติหรือไม่บัญญัติก็ไม่เป็นปัญหา ขอให้ภาวนาติดต่ออยู่ไม่ขาดสายให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเป็นเป้าอันเดียวกันพร้อมกับลมหายใจออก-เข้า นิวรณ์ทั้งหลายมันตั้งอยู่ไม่ได้ดอก

“ผู้รักใคร่ภาวนาอยู่เป็นเนืองนิตย์ เรียกว่าผู้นั้นบารมีแก่กล้าแล้ว ท่านผู้ใดขี้เกียจก็ให้ทราบเถิดว่าบารมียังอ่อนเหลวไหลมากฉะนั้นจึงไม่ควรนั่งควรนอนให้บารมีแก่กล้า” คำว่านั่งนอน นอนทั้งกายทั้งใจด้วย นั่งก็เหมือนกันยืนเดินนั่งนอนเป็นการเปลี่ยนอิริยาบถเฉยๆ

แต่ด้านจิตใจและศรัทธาไม่เปลี่ยนออกจากพุทธ ธรรม สงฆ์ ไปไหนเลยจะทำท่าไม่ทำท่าก็ไม่เป็นปัญหาคล้ายกับเกลือจะอยู่ถ้วย หรืออยู่ชาม หรืออยู่ที่ไหนก็ตามก็รักษาความเค็มของตนอยู่ไว้อย่างนั้นจะอย่างไรก็ตาม ขอให้แบ่งเวลาภาวนาอย่าให้เสียวันเสียคืนจิตใจหากจะสูงขึ้นเองไม่ต้องบ่นหา จะชนะความหลงของตนแน่แท้





คัดมาจาก : หนังสือ หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต ตอบปัญหาธรรมะ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๒๐, เดือนกันยายน ๒๕๕๓ ขอบคุณ : เว็บลานธรรมจักร
ขอบคุณ : https://www.naewna.com/likesara/577534
วันพุธ ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2564, 19.26 น.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 04, 2021, 05:50:35 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ