ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ปัตติทาน : ให้ผู้อื่นได้มีส่วนแห่งบุญ | ขอความปรารถนาของท่านจงสําเร็จเถิด  (อ่าน 2225 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29335
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



ปัตติทาน : ให้ผู้อื่นได้มีส่วนแห่งบุญ | ขอความปรารถนาของท่านจงสําเร็จเถิด

ปัตติทาน คือ การแบ่งส่วนกุศลที่ตนได้กระทําแล้ว ให้แก่ผู้อื่น ให้ผู้อื่นได้มีส่วนแห่งบุญนั้นด้วย ก็นับว่าเป็นทาน ชื่อว่า ปัตติทาน การแบ่งส่วนบุญทําได้หลายประการเช่น

    - แบ่งส่วนบุญนั้นให้แก่ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่
    - อุทิศส่วนบุญนั้นให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
    - อุทิศส่วนบุญนั้นให้แก่เทวดา ชื่อว่า เทวตาพลี

@@@@@@@

1. การแบ่งส่วนบุญให้แก่ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่

ธรรมบทแปล เล่ม ๘ ภิกขวรรค หน้า ๑๒๗ เรื่องสุมนเศรษฐี กล่าวว่า นายอันนภาระ เป็นคนขนหญ้าของสุมนเศรษฐี อาศัยอยู่ในกรุงสาวัตถี ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระนามว่า อุปริฏฐะ ตั้งความปรารถนาว่า

    "ด้วยอานิสงส์ของทานนี้ ขอความเป็นผู้ขัดสนอย่าได้มีแก่ข้าพเจ้า คําว่าไม่มีขออย่าได้มีในภพน้อยภพใหญ่ที่ข้าพเจ้าบังเกิดเลย"

พระปัจเจกพุทธเจ้ากระทําอนุโมทนาว่า ขอความปรารถนาของท่านจงสําเร็จเถิด

เทวดาที่สถิตอยู่ที่ฉัตรในบ้านสุมนเศรษฐี กล่าวว่า น่าชื่นใจ ทานของอันนภาระตั้งไว้ดีแล้วในพระปัจเจกพุทธเจ้า ได้ให้สาธุการ ๓ ครั้ง สุมนเศรษฐีได้ยินดังนั้น จึงถามเทวดาว่า เราถวายทานมาเป็น เวลานานเท่านี้ เหตุไรท่านยังมิเคยให้สาธุการแก่เราเลย เทวดาตอบว่า เพราะความเลื่อมใสในบิณฑบาตที่อันนภาระถวายแล้ว

สุมนเศรษฐีเมื่อรู้เหตุนั้น จึงขอซื้อบุญนั้นกับอันนภาระด้วยทรัพย์ถึงพันกหาปณะ อันนภาระไม่ยอมขาย แต่ได้แบ่งบุญนั้นให้สุมนเศรษฐีอนุโมทนา เนื่องจากได้ฟังคําของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้นว่า ข้าวยาคูกระบวยหนึ่ง หรือภิกษาทัพพีหนึ่งก็ตามที่ถวายแล้ว ควรที่จะแบ่งส่วนบุญในทานนั้น ให้ผู้อื่นได้อนุโมทนาด้วย ยิ่งให้คนมากเท่าใด บุญเท่านั้นย่อมเจริญขึ้น เหมือนเมื่อแบ่งบุญนี้ให้เศรษฐี ก็เท่ากับว่าบุญเพิ่มเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นของท่าน อีกส่วนหนึ่งเป็นของเศรษฐี

เปรียบเหมือนประทีปที่จุดไว้ในเรือนหลังเดียว เมื่อมีผู้นําประทีปอื่นมา ขอต่อไฟนั้นอีกร้อยดวงพันดวงก็ตาม ประทีปดวงแรกในเรือนนั้นก็ยัง มีแสงสว่างอยู่ และประทีปอีกร้อยดวงพันดวงที่ต่อออกไป ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มแสงให้สว่างขึ้นอีกเป็นทวีคูณ ดุจบุญที่แม้จะแบ่งให้ใคร ๆ แล้ว บุญนั้นก็ยังมีอยู่มิได้หมดสิ้นไป ฉะนั้น


@@@@@@@

2. การอุทิศส่วนบุญให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว

อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต เล่ม ๕ ชาณุสโสณีสูตร หน้า ๔๓๕-๔๔๐ ชานุสโสณีพราหมณ์ เข้าไปทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับว่า ทานที่อุทิศให้แก่ญาติสาโลหิตผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ทานนั้นจะถึงแก่ญาติทั้งหลายหรือไม่

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ในบรรดาสัตว์ทั้งหลาย มีสัตว์ นรก สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา และเปรตทั้งหลาย มีเปรตจําพวกเดียวที่อยู่ในฐานะที่ได้รับส่วนบุญที่มีผู้อุทิศไปให้ เพราะวิสัยของเปรตย่อมยังชีพอยู่ ด้วยทานที่หมู่ญาติ หรือหมู่มิตรสหายให้ไปจากมนุษย์ โลกนี้เท่านั้น ส่วนสัตว์เหล่าอื่นที่ไม่ได้รับเพราะเหตุว่า

    - สัตว์นรก มีกรรมเป็นอาหาร มีกรรมเป็นผู้หล่อเลี้ยงอุปถัมภ์ให้สัตว์นรกนั้นมีชีวิตอยู่
    - สัตว์เดรัจฉาน มีชีวิตอยู่ด้วยข้าว น้ำ หญ้า และเนื้อสัตว์ เป็นต้น
    - มนุษย์ มีชีวิตอยู่ด้วยอาหารมีข้าวสุก และขนม เป็นต้น
    - เทวดา มีสุทธาโภชน์ คืออาหารทิพย์

ส่วน เปรต ไม่มีการทําไร่ไถนา ไม่มีการเลี้ยงโค ไม่มีการค้าขาย เปรตมีชีวิตอยู่ด้วยการให้จากผู้อื่นแต่เพียงอย่างเดียว เพราะฉะนั้น เปรตจึงอยู่ในฐานะที่จะได้รับส่วนบุญที่มีผู้อุทิศไปให้ชานุสโสณีพราหมณ์ทูลถามอีกว่า ก็ถ้าญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้วไม่เข้าถึงฐานะที่จะรับได้ ใครจะเป็นผู้บริโภคทานนั้น

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ทานที่ถวายแล้วนั้น แม้ว่ามุ่งหมาย สัตว์ใด จะอยู่ในฐานะที่รับได้หรือรับไม่ได้ก็ตามที ทานนั้นจักไม่ไร้ได้ผล ผู้ที่ให้ย่อมได้รับทายกผู้ให้นั้นแม้จักไปบังเกิดในกําเนิดช้าง ก็ย่อมได้ ตําแหน่งช้างมงคลหัตถี เป็นต้น

ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะติโรกุฑฑสูตร อรรถกถา ความตอนหนึ่งกล่าวว่า พระเจ้าพิมพิสารอุทิศส่วนบุญที่ได้ถวายทาน ให้แก่เปรตผู้เป็นญาติสาโลหิตทั้งหลาย ที่รอคอยมาเป็นเวลานาน

ขณะที่พระเจ้าพิมพิสารถวายข้าวยาคู ของเคี้ยว ของกิน แล้วทรงอุทิศว่า ขอทานนี้จงถึงแก่พวกญาติทั้งหลาย ทันใดนั้นข้าวยาคู ของเคี้ยว ของกินอันเป็นทิพย์ ก็บังเกิดแก่เปรตเหล่านั้นให้อิ่มหนำสําราญ มีอินทรีย์อิ่มเอิบ

ขณะที่พระราชาถวายผ้า และเสนาสนะเป็นต้น แล้วทรงอุทิศว่า ขอทานนี้จงถึงแก่พวกญาติทั้งหลาย ทันใดนั้นเอง ผ้าทิพย์ ยานทิพย์ ปราสาททิพย์ เครื่องปูลาดและที่นอนอันเป็นทิพย์ บังเกิดขึ้นแล้วแก่เปรตเหล่านั้น ได้สวมใส่ใช้สอย

ขณะที่พระราชาหลั่งทักษิโณทก (กรวดน้ำ) ทรงอุทิศว่า ขอทานเหล่านี้จงถึงแก่พวกญาติทั้งหลาย ขอญาติทั้งหลายจงมีความสุข ทันใดนั้นเอง สระโบกขรณีดารดาษด้วยปทุมก็บังเกิดแก่พวกเปรตเหล่านั้น ให้ได้อาบและดื่มกิน ระงับความกระหายกระวนกระวายได้ มีผิวพรรณดุจทอง พ้นจากความเป็นเปรตในทันทีนั้นเอง

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสให้เห็นประโยชน์ในการถวายทานแก่พระราชาว่า ทักษิณาวันนี้มหาบพิตรได้ถวายไว้ดีแล้วในสงฆ์ ทาน นั้นได้สัมฤทธิ์ผลเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่เปรตผู้เป็นญาติเหล่านั้น ให้ประสบทิพยสมบัติในขณะนั้นทันทีไม่นานเลย พระองค์ได้แล้วอย่างโอฬาร ทั้งภิกษุสงฆ์อันพระราชาถวายข้าวน้ำให้อิ่มหนำก็เป็นบุญไม่น้อย จบเทศนาการบรรลุธรรมมีแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายมากมาย ซึ่งสลดใจเพราะการพรรณาโทษแห่งการเกิดเป็นเปรต ในวันรุ่งขึ้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ติโรกุฑฑสูตรอีก การตรัสรู้ ธรรมได้มีแก่เทวดาและมนุษย์ถึง ๗ วัน

@@@@@@@

3. การอุทิศส่วนบุญให้แก่เทวดาเรียกว่าเทวตาพลี

ขุททกนิกาย อุทาน ปาฏลิคามิยสูตรหน้า ๗๕๕ แสดงว่า บุคคลเมื่อถวายปัจจัย ๔ แก่สงฆ์แล้ว พึงอุทิศส่วนบุญนั้นให้เทวดาอนุโทนาด้วย เพราะว่าคนที่อุทิศส่วนบุญให้แก่เทวดาแล้ว เทวดาย่อมคุ้มครองรักษาผู้นั้น เพราะเทวดาพากันคิดว่า คนเหล่านี้แม้จะมิได้เป็นญาติกับเราก็ยังให้ส่วนบุญแก่เราได้

ฉะนั้นเราควรอนุเคราะห์พวกเขาตามสมควร แต่พึงเข้าใจว่าเทวดาเมื่อท่านทราบแล้ว ท่านอนุโมทนากุศลนั้น ท่านก็เพียงเกิดกุศลจิตพลอยยินดีด้วยเท่านั้น แต่ท่านมิได้รับผลของทานที่มีผู้อุทิศไปให้โดยตรง เหมือนอย่างที่เปรตได้รับ





ขอบคุณข้อธรรมจาก : หนังสือตามรอยพระธรรม ของ พระบรมศาสดา, ผู้เขียน สุรีย์ มีผลกิจ
ขอบคุณ : https://www.nirvanattain.com/สิ่งที่ควรทำ/สร้างบุญบารมี/ทาน-การให้-การแบ่งปัน-การเสียสละ.html
02 พฤษภาคม 2563
ขอบคุณภาพจาก : pinterest
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ