อามิสทาน | วัตถุทานที่ให้ด้วย "เจตนาดีทั้ง ๓ กาล" จะมีอานิสงส์มากวัตถุที่ควรให้ ควรสละ ได้แก่ปัจจัย ๔ คือ จีวรรวมทั้งเครื่องนุ่งห่ม บิณฑบาตรวมทั้งอาหารเครื่องบริโภค เสนาสนะที่อยู่อาศัย และ คิลานเภสัชคือยารักษาโรค และวัตถุทานอีก ๑๐ อย่าง ได้แก่ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พักอาศัย และ เครื่องประทีป ให้ด้วยการบูชาคุณความดีคือถวายแก่สงฆ์ หรือให้ด้วยความเมตตา อนุเคราะห์แก่ผู้ยากไร้ด้วยเจตนาที่ดีทั้ง ๓ กาล คือ
1. บุพเจตนา ก่อนให้ ย่อมมีใจยินดีที่จะให้
2. มุญจนเจตนา ขณะที่กําลังให้ ย่อมมีจิตผ่องใส
3. อปราปรเจตนา ให้แล้วก็ยังมีความชื่นชมยินดีในการให้นั้น
วัตถุทานที่ให้ด้วยเจตนาที่ดีทั้ง ๓ กาลเช่นนี้ พระพุทธองค์ ตรัสว่าเป็นทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก พระองค์ทรงแสดงอานิสงส์ ของการให้ด้วยวัตถุสิ่งของเหล่านี้ไว้ว่า
- การให้ข้าว น้ำ เชื่อว่า ให้กําลังวังชา
- การให้เครื่องนุ่งห่ม เชื่อว่า ให้ผิวพรรณวรรณะ
- การให้ยานพาหนะ เชื่อว่า ให้ความสุข
- การให้ประทีปโคมไฟ เชื่อว่า ให้ดวงตา
- การให้ที่อยู่อาศัย เชื่อว่า ให้ทุกอย่างคือให้ทั้งกําลัง ผิวพรรณ ความสุข และดวงตา
1. การให้ข้าวน้ำ
การใส่บาตรแก่พระภิกษุสงฆ์ การเชื้อเชิญ แขกญาติมิตรให้มาบริโภคอาหาร หรือแม้การให้ทานแก่ผู้ยากไร้ ชื่อว่า ให้ข้าวน้ำ ธรรมบทแปล ภาค ๗ หน้า ๑-๘ กล่าวถึงการให้ที่เป็นเสบียงไปในภพหน้าว่า บุตรของช่างทองคนหนึ่งในกรุงสาวัตถี เป็นผู้มีศรัทธา เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้ามาก แต่บิดาของเขาไม่เคยทํากุศลใดเลย พวกบุตรจึงปรึกษากันว่า บิดาของพวกเราชราภาพมากแล้ว ควรจักได้ ถวายทานเพื่อประโยชน์แก่บิดา
วันรุ่งขึ้น พวกเขานิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ให้นั่งภายในเรือน อังคาสด้วยความเคารพ ในเวลาเสร็จภัตกิจ กราบทูล พระบรมศาสดาว่า พระเจ้าข้าพวกข้าพระองค์ขอถวายภัตรนี้ ให้เป็น ชีวภัตร (ภัตรเพื่อบุคคลผู้เป็นอยู่) เพื่อบิดา ขอพระองค์ทรงทําอนุโมทนาแก่ บิดาของพวกข้าพระองค์ด้วยเถิด
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกบิดาของพวกเขามาแล้ว ตรัสว่า อุบาสกท่านเป็นคนแก่ มีสรีระหง่อมเช่นกับใบไม้เหลือง เสบียงนำทางคือกุศล เพื่อจะนำไปยังปรโลกของท่านยังไม่มี ท่านจงทำที่พึ่งให้แก่ตนจงเป็นบัณฑิต อย่าเป็นพาล แล้วตรัสอีกว่า
บัดนี้ ท่านเป็นดุจใบไม้เหลือง ความตายปรากฏแก่ท่านแล้ว ท่านตั้งอยู่ใกล้ปากทางแห่งความเสื่อม แม้เสบียงนำทางของท่านก็ยังไม่มี ท่านจงทําที่พึ่งแก่ตน จงรีบพยายามเป็นบัณฑิต ท่านกำจัดมลทินได้แล้ว จักถึงอริยภูมิอันเป็นทิพย์
อธิบายว่า เมื่อมีความเพียรกําจัดมลทินคือราคะ โทสะ โมหะ ออกได้ จักถึงภูมิอันเป็นที่อยู่แห่งพระอริยบุคคล ในกาลจบเทศนา อุบาสกผู้บิดา และหมู่ชนที่ประชุมกันอยู่ ณ ที่นั้นได้บรรลุโสดาปัตติผล
วันรุ่งขึ้น บุตรทั้งหลายถวายข้าวน้ำให้เป็น ชีวภัตร แก่บิดาอีก หลังภัตกิจได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ชีวภัตรนี้ข้าพระองค์ถวาย เพื่อบิดาอีก ขอพระองค์ทรงอนุโมทนา
พระบรมศาสดาตรัสแก่บิดาว่า บัดนี้ท่านเป็นผู้มีวัยอันชรานำ ไปแล้วสู่สำนักพญายม ท่านจงรีบพยายามทําที่พึ่งให้แก่ตน ท่านจักไม่ถึงชาติชราอีก จบเทศนานี้อุบาสกผู้บิดาได้บรรลุถึงอนาคามิผล
เรื่องนี้เป็นตัวอย่างให้เห็นว่า ในครั้งพุทธกาล การได้ถวายข้าว น้ำแก่ภิกษุสงฆ์อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน เป็นทางนำให้พ้นจาก อบายได้ แม้อุบาสกนั้นจะไม่เคยได้กระทํากุศลอันจะเป็นเสบียง มีข้าว น้ำ เป็นต้นมาก่อนเลย ท่านกล่าวว่า ผู้ใดสามารถทํากุศลในเวลาที่ตนยังไม่ถึงปากทางแห่งความตาย ผู้นั้นชื่อว่าบัณฑิต จงรีบขวนขวาย รีบทําความเพียรเพื่อทําที่พึ่ง กล่าวคือกุศลให้แก่ตน เพราะคนที่จะเดินทาง ไปสู่ปรโลกไม่อาจที่จะต่อรองกับพญายมได้ว่าขอท่านจงรอ ๒-๓ วัน เพื่อข้าพเจ้าจะให้ทานก่อน หรือจะฟังธรรมก่อน เพราะเหตุว่าบุคคลเมื่อ เคลื่อนจากโลกนี้แล้ว ย่อมเกิดในปรโลกทันที
อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ทุติยชนสูตร หน้า ๒๑๖-๒๑ กล่าวถึงที่พึ่งในภพหน้าว่า พราหมณ์ ๒ คน ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระเจ้าเป็นพราหมณ์ แก่เฒ่า ล่วงปัจฉิมวัย อายุได้ ๑๒๐ ปีแล้ว ยังมิได้ทําความดี ยังมิได้สร้างกุศล ยังไม่ทำที่ป้องกันภัย ขอพระโคดมผู้เจริญทรงโอวาท ทรงพร่ำสอน อันจะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ข้าพระเจ้าด้วยเถิด
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พราหมณ์ เมื่อโลกนี้อันชราพยาธิ มรณะไหม้อยู่อย่างนี้ ความสำรวมทางกาย ทางวาจา ทางใจ จะเป็นที่ต้านทาน เป็นที่เร้นภัย เป็นที่อาศัย เป็นที่ไปในเบื้องหน้า ของบุคคลผู้ละจากโลกนี้ไปแล้ว พราหมณ์ เมื่อเรือนถูกไฟไหม้ เจ้าของขนของสิ่งใดออกได้ ของสิ่งนั้นก็เป็นประโยชน์แก่เจ้าของ ส่วนของที่ไม่ได้ขนออก ก็ถูกไฟไหม้อยู่ในนั้น ฉันเดียวกัน ครั้นเมื่อโลกอันชรามรณะไหม้อยู่อย่างนี้แล้ว ชาวโลกพึงขนออกด้วยการให้ทานเถิด สิ่งที่ให้เป็นทานไปแล้ว จัดว่าได้ ขนออกอย่างดีแล้ว บุคคลทําบุญใดไว้ บุญนั้นย่อมเป็นไปเพื่อความสุข แก่บุคคลนั้นผู้ละโลกไปแล้ว
2. การให้เครื่องนุ่งห่มเป็นทาน
ธรรมบทแปล ปาปวรรค วรรณนา หน้า ๑-๖ พราหมณ์ชื่อจูเฬกะ และนางพราหมณีอาศัยอยู่ในเมืองสาวัตถี สองสามีภรรยามีผ้านุ่งคนละผืน แต่มีผ้าห่มผืนเดียว เมื่อจะไปฟังธรรมจึงไม่อาจไปพร้อมกันได้ วันหนึ่งจูเฬกพราหมณ์ไปฟังธรรมในตอนกลางคืน ในเวลาปัจฉิมยาม เกิดปีติใคร่บูชาผ้าที่ตน แก่พระพุทธองค์ แต่คิดว่าถ้าเราถวายผ้านี้ ผ้าห่มของเราและของนางพราหมณีก็จักไม่มี จึงยับยั้งอยู่ เวลาล่วงไปถึงมัชฌิมยาม พราหมณ์ ก็ยังต่อสู้กับความตระหนี่จนถึงปัจฉิมยาม จูเฬกพราหมณ์จึงตัดสินใจ ถือผ้าผืนนั้นไปวางลงแทบบาทมูลของพระบรมศาสดา พลางเปล่งเสียงขึ้น ๓ ครั้งว่า ข้าพเจ้าชนะแล้ว ชนะแล้ว ชนะแล้ว
พระเจ้าปเสนทิโกศลกําลังสดับพระธรรมเทศนา ตรัสถามว่า พราหมณ์นั้นชนะอะไร ครั้นทราบความแล้ว ดําริว่า พราหมณ์นี้ทําในสิ่ง ที่ทําได้ยาก จึงรับสั่งให้พระราชทานสาฎกคู่หนึ่งแก่พราหมณ์
พราหมณ์ได้ถวายสาฎกคู่นั้นแก่พระบรมศาสดา พระราชาจึง รับสั่งให้พระราชทานมากขึ้นเป็น ๒ คู่ ๔ คู่ ๘ คู่ ๑๖ คู่ พราหมณ์ก็ ถวายทั้งหมด จนเมื่อพระราชารับสั่งให้ประทาน ๓๒ คู่ จูเฬกพราหมณ์ จึงถือเอาสาฎกนั้นไว้เพื่อตนและนางพราหมณีคนละคู่ อีก ๓๐ คู่นั้น ถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหมด
ในที่สุด พระราชารับสั่งให้นำผ้ากัมพล ๒ ผืนมีค่าแสนหนึ่งประทานให้ พราหมณ์คิดว่า ผ้าเหล่านี้ไม่สมควรแตะต้องที่สรีระของเรา ควรแก่พระบรมศาสดาเท่านั้น จึงขึงผ้ากัมพลผืนหนึ่งให้เป็นเพดานไว้ เบื้องบนที่บรรทมของพระบรมศาสดาในพระคันธกุฎี อีกผืนหนึ่งซึ่งทําให้เป็นเพดานในที่ทําภัตกิจของภิกษุ ผู้มาฉันเป็นนิตย์ในเรือนตน
ในเวลาเย็น พระราชาเสด็จไปเฝ้าพระบรมศาสดา ทรงจําผ้ากัมพลผืนนั้นได้ ทูลถามว่า ผ้าผืนนี้ผู้ใดทําการบูชา พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า พราหมณ์ชื่อจูเฬกะถวาย พระราชาจึงพระราชทานวัตถุร้อยอย่าง อย่างละ ๔ ได้แก่ ช้าง ๔ ม้า ๔ กหาปณะ ๔ พัน ทาสี ๔ บ้านส่วย ๔ ตําบล เป็นต้น แก่จูเฬกพราหมณ์
เหล่าภิกษุสนทนากันในโรงธรรมว่า กรรมของจูเฬกพราหมณ์ น่าอัศจรรย์ ชั่วครู่เดียวเท่านั้น ให้ผลในวันนี้ที่เดียว พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่ภิกษุว่า ถ้าพราหมณ์นี้ได้ถวายเราในเวลาปฐมยาม เขาจักได้วัตถุอย่างละ ๑๖ ถ้าได้ถวายในมัชฌิมยาม เขาจักได้วัตถุอย่างละ ๘ แต่เพราะถวายในเวลาใกล้รุ่ง เขาจึงได้วัตถุอย่างละ ๔ เพราะฉะนั้น บุคคลทั้งหลายเมื่อมีจิตเกิดขึ้นว่าจะให้ ควรทําในทันทีนั้นเอง กุศลที่บุคคลทําช้า ย่อมได้ผลน้อย ดังนี้
3. การให้ยานพาหนะ
คําว่ายานพาหนะ ในที่นี้หมายถึง รองเท้า ร่ม รถ เกวียน เป็นต้น คือสิ่งใดที่จะให้ความร่มเย็น สะดวก สบายในระหว่างที่เดินทาง แม้การที่ได้ถวายค่าพาหนะแก่ภิกษุ เพื่อให้ท่านเดินทางไปกระทํากิจของสงฆ์ หรือให้แก่ผู้ขัดสนเพื่อเดินทางกลับ ไปทํากิจจําเป็นอันควรแก่เหตุ ก็ชื่อว่า ให้ยานพาหนะ
ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ปานธิทายก เถราปทาน หน้า ๑๑๐-๑๑๓ กล่าวถึงผลแห่งการถวายรองเท้าว่า ทายกผู้หนึ่งสวมรองเท้าที่ทําอย่างดีออกเดินทาง เขาเห็นพระอโนมทัสสีพุทธเจ้าเสด็จ ดําเนินมาด้วยพระบาทเปล่าบังเกิดความเลื่อมใส ถอดรองเท้าออกวางแทบพระบาท กราบทูลว่า ข้าแต่พระสุคต ขอเชิญสวมรองเท้านี้เถิด ขอความปรารถนาของข้าพระองค์จงสําเร็จ ด้วยผลแห่งการได้ถวาย รองเท้านี้ พระอโนมทัสสีพุทธเจ้าทรงอนุโมทนา ตรัสพยากรณ์ว่าท่านนี้จักได้เป็นทายาทในธรรมของพระบรมศาสดาพระองค์นั้น เกิดในเทวโลกหรือมนุษยโลก จักเป็นผู้มีปัญญา จักได้ยานอันเปรียบด้วยยานของเทวดา แม้เมื่อได้ออกบวชก็ออกบวชด้วยรถในภพชาติอื่นจากนั้น ทายกนี้ไม่พานพบกับทุคติอีกเลย ด้วยผลแห่งการถวายรองเท้า และได้บรรลุพระอรหัตในเวลาปลงผม
อีกเรื่องหนึ่ง ขุททกนิกาย อปทานเล่ม ๙ เถราปทาน หน้า ๔๒-๔๔ เอกฉัตติ เดินกั้นร่มขาวไปตามทาง เห็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ เสด็จจงกรมอยู่ที่กลางแจ้ง เขาคิดว่าแผ่นดินนี้ร้อน ดังถ่านเพลิงความร้อนแห่งเปลวแดดย่อมทําให้พระพุทธองค์ลําบาก จึงนําร่มเข้าไปถวาย กราบทูลว่า ขอพระองค์ได้โปรดรับร่มนี้ อันเป็นเครื่องป้องกันลมและเปลวแดดเถิด ข้าพระองค์หวังว่า จักได้พบกับพระนิพพานบ้าง พระพุทธองค์ทรงรับไว้ในกาลนั้น ผลแห่งการถวายร่ม เอกฉัตติได้เสวยผลในเทวโลก ๓๐ กัป ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ครั้ง ภพชาติสุดท้ายได้บรรลุพระอรหัต
4. การให้ประทีป
อปทาน เล่ม ๙ หน้า ๕๑๘-๕๒๑ แสดง อานิสงส์แห่งการถวายประทีปไว้ใน ปัญจที่ปิกาเถรี ว่า
หญิงคนหนึ่งในพระนครฟังสวดี ต้องการกุศลได้เที่ยวไป จากอารามหนึ่งสู่อารามหนึ่ง พบโพธิ์ต้นหนึ่ง ได้นั่งลงที่โคนโพธิ์ประนมอัญชลีเหนือเศียรเกล้าด้วยจิตเลื่อมใส ตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าพระพุทธเจ้ามีพระคุณนับไม่ได้ ไม่มีบุคคลใดเปรียบเสมอแล้วไซร้ ก็ขอให้ทรงแสดงปาฏิหาริย์ ขอไม้โพธิ์ต้นนี้จงเปล่งรัศมีให้ประจักษ์ด้วยเถิด
ทันใดนั้น ต้นโพธิ์นั้นโพลงขึ้นด้วยรัศมีสีทอง รุ่งเรืองสว่างไปทั่วทิศ ด้วยจิตที่โสมนัส นางได้นั่งอยู่ที่โคนโพธิ์ ๗ วัน ๗ คืน ในวันที่ ๗ ทําการบูชาพระพุทธองค์ด้วยประทีป ณ โคนโพธิ์นั้น แสงของประทีป สว่างอยู่จนถึงเวลาพระอาทิตย์ขึ้น เพราะผลแห่งผลแห่งกรรมนั้น เมื่อละจากร่างมนุษย์แล้ว นางได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีวิมานชื่อว่าปัญจทีปวิมาน แวดล้อมด้วย ประทีปนับไม่ถ้วน ทั่วเทพพิภพโชติช่วงด้วยแสงประทีป ครั้นจุติจากเทวโลกแล้ว ไม่ว่ากําเนิดในภพใด ๆ จะมีประทีป ส่องแสงล้อมนางเช่นนั้น
จนในภพสุดท้ายนางถือกําเนิดในครรภ์มารดา ประทีปแสนดวงส่องสว่างในเรือน พออายุ ๗ ขวบได้อุปสมบทแล้ว ได้บรรลุพระอรหัต ไม่ว่านางจะเข้าฌานอยู่ในมณฑป โคนไม้ ปราสาท ถ้ำ หรือเรือนว่าง ประทีปจะส่องแสงสว่างอยู่เสมอ มีทิพยจักษุบริสุทธิ์ ฉลาดในสมาธิ ถึงความบริบูรณ์ในอภิญญา อยู่จบพรหมจรรย์ ทั้งปวง ไม่มีอาสวะ นี้คืออานิสงส์แห่งการถวายประทีป
5. การให้เสนาสนะ
ธรรมบทแปล เล่ม ๓ หน้า ๔๑ กล่าว ถึงอานิสงส์ของการถวายเสนาสนะ ในกรุงพาราณสี อุบาสกคนหนึ่งชื่อ นันทิยะ ฟังอานิสงส์ของการถวายอาวาสทานจากพระบรมศาสดาแล้ว ให้สร้างศาลาจตุรมุข ใกล้มหาวิหาร ในอิสิปตนะมฤคทายวัน ประกอบด้วยห้อง ๔ ห้อง พร้อมเตียงตั้ง และเครื่องใช้อันสมควรแก่สมณะ
ในวันที่จะมอบถวาย นันทิยะได้ถวายโภชนาทานแด่พระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน หลั่งน้ำลงที่พระหัตถ์พระบรมศาสดา กล่าว มอบถวายเสนาสนะ ขณะที่น้ำตกลงบนพระหัตถ์ของพระพุทธองค์ ปราสาททิพย์ประดับด้วยรัตนะ ๗ ประการพร้อมด้วยนางเทพอัปสร บังเกิดขึ้นในดาวดึงส์พิภพ
ครั้งหนึ่งพระมหาโมคคัลลานะ เที่ยวจาริกไปในเทวโลก เห็นปราสาทนั้นกลับมากราบทูลถามพระบรมศาสดา จึงทราบว่า ปราสาทหินเกิดขึ้นเพื่อคอยรับนันทิยอุบาสก พระมหาโมคคัลลานะทูลถามอีกว่าผล แห่งทานย่อมเกิดไว้คอยรอรับ แม้นันทิยะผู้ยังมีชีวิตอยู่หรือ พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า เป็นเช่นนั้น ครั้นเวลาสิ้นอายุนันทิยะ ได้บังเกิดในปราสาทนั้น
ขอบคุณที่มา :-
บทความจาก : หนังสือ ตามรอยพระธรรม ของ พระบรมศาสดา , ผู้เขียน สุรีย์ มีผลกิจ
web :
https://www.nirvanattain.com/สิ่งที่ควรทำ/สร้างบุญบารมี/ทาน-การให้-การแบ่งปัน-การเสียสละ.html posted date : 02 พฤษภาคม 2563
ขอบคุณภาพจาก : ไทยรัฐออนไลน์