ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: "กัมมัสสะกา" | อย่าน้อยใจว่ายากจน ทุกคนยังมีกรรมเป็นสมบัติติดตัว  (อ่าน 2716 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29390
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



กัมมัสสะกา “มีกรรมเป็นของตน” | อย่าน้อยใจว่ายากจน เพราะทุกคนยังมีกรรมเป็นสมบัติติดตัว

“กัมมัสสะกา” เขียนแบบบาลีเป็น “กมฺมสฺสกา” อ่านว่า กำ-มัด-สะ-กา
“กมฺมสฺสกา” รูปคำเดิมเป็น “กมฺมสฺสก” อ่านว่า กำ-มัด-สะ-กะ ประกอบด้วยคำว่า กมฺม + สก

@@@@@@@

(๑) “กัมม”

บาลีเขียน “กมฺม” (กำ-มะ) สันสกฤตเป็น “กรฺม” ไทยเขียนอิงสันสกฤตและนิยมพูดทับศัพท์ว่า “กรรม”
ในที่นี้เขียน “กัมม” ตามรูปบาลี

“กัมม” ในแง่ภาษา
1. รากศัพท์คือ กรฺ (ธาตุ = กระทำ) + รมฺม (รำ-มะ, ปัจจัย)
2. ลบ รฺ ที่ธาตุ : กรฺ = ก- และ ร ที่ปัจจัย : รมฺม = -มฺม
3. กร > ก + รมฺม > มฺม : ก + มฺม = กมฺม
4. แปลตามศัพท์ว่า “การกระทำ” “สิ่งที่ทำ”

“กัมม” ในแง่ความหมาย
1. การกระทำทั้งปวง เรียกว่า กรรม
2. การถูกทำ, สิ่งที่ถูกทำ, ผลของการกระทำ ก็เรียกว่า กรรม
3. การทำกิจการงาน, การประกอบอาชีพ ก็เรียกว่า กรรม
4. พิธีกรรม, พิธีการต่างๆ ก็เรียกว่า กรรม

“กัมม” ในแง่ความเข้าใจ
1. กฎแห่งกรรม คือ “ทำดี-ดี ทำชั่ว-ชั่ว ดุจปลูกพืชชนิดใด ต้องเกิดผลดอกใบของพืชชนิดนั้น”
2. กรรมมี 2 ส่วน คือส่วนที่เป็นผล คือสภาพทั้งปวงที่เรากำลังเผชิญหรือประสบอยู่ และส่วนที่เป็นเหตุ คือสิ่งที่เรากำลังกระทำอยู่ในบัดนี้ ซึ่งจะก่อให้เกิดส่วนที่เป็นผลในลำดับต่อไป (ผู้ที่ไม่เข้าใจ เมื่อมอง “กรรม” มักเห็นแต่ส่วนที่เป็นผล แต่ไม่เห็นส่วนที่เป็นเหตุ)
3. กรรม เป็นสัจธรรม ไม่ขึ้นกับความเชื่อหรือความเข้าใจของใคร ไม่ว่าใครจะเชื่ออย่างไรหรือไม่เชื่ออย่างไร กรรมก็เป็นจริงอย่างที่กรรมเป็น

@@@@@@@

(๒) “สก”

บาลีอ่านว่า สะ-กะ รากศัพท์มาจาก ส (สรรพนาม = ตนเอง) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ + ก ภาษาไวยากรณ์เรียกว่า “ก-สกรรถ” (กะ-สะ-กัด) คือลง ก ข้างท้าย แต่มีความหมายเท่าเดิม

ส + ณ = สณ + ก = สณก > สก แปลตามศัพท์ว่า “นี้ของตน” หมายถึง ของตน, เกี่ยวเนื่องด้วยตน (own)
กมฺม + สก, ซ้อน สฺ ระหว่างบทหน้าและบทหลัง

@@@@@@@

กมฺม + สฺ + สก = กมฺมสฺสก (กำ-มัด-สะ-กะ) แปลว่า “มีกรรมเป็นของตนเอง” (possessing one’s own kamma)

“กมฺมสฺสก” เป็นหนึ่งในสัทธา 4 อย่างของชาวพุทธ คือ
     (1) กัมมสัทธา
     (2) วิปากสัทธา
     (3) กัมมัสสกตาสัทธา
     (4) ตถาคตโพธิสัทธา

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ข้อ [181] บอกความหมายของ “กัมมัสสกตาสัทธา” ไว้ดังนี้  กัมมัสสกตาสัทธา : เชื่อความที่สัตว์มีกรรมเป็นของของตน, เชื่อว่าแต่ละคนเป็นเจ้าของ จะต้องรับผิดชอบเสวยวิบากเป็นไปตามกรรมของตน (Kammassakatā-saddhā: belief in the individual ownership of action)

“กมฺมสฺสก” เป็นคำที่ทำหน้าที่ขยายคำว่า “สตฺตา” (ในคำว่า “สพฺเพ สตฺตา”) จึงต้องประกอบลิงค์ วจนะ วิภัตติ ตามคำที่ตนขยาย “กมฺมสฺสก” จึงเปลี่ยนรูปเป็น “กมฺมสฺสกา”

“กมฺมสฺสกา” เขียนแบบคำอ่านเป็น “กัมมัสสะกา”


@@@@@@@

ขยายความ

“กัมมัสสะกา” เป็นคำที่ใช้ในคำแผ่พรหมวิหารภาวนาในส่วนที่เรียกว่า “แผ่อุเบกขา”

คำ “แผ่อุเบกขา” มีคำบาลีที่กำหนดไว้ดังนี้
สพฺเพ สตฺตา
กมฺมสฺสกา
กมฺมทายาทา
กมฺมโยนี
กมฺมพนฺธู
กมฺมปฏิสรณา
ยํ กมฺมํ กริสฺสนฺติ
กลฺยาณํ วา ปาปกํ วา
ตสฺส ทายาทา ภวิสฺสนฺติ.

เขียนแบบคำอ่านเป็นดังนี้
สัพเพ สัตตา
กัมมัสสะกา
กัมมะทายาทา
กัมมะโยนี
กัมมะพันธู
กัมมะปะฏิสะระณา
ยัง กัมมัง กะริสสันติ
กัล๎ยาณัง วา ปาปะกัง วา
ตัสสะ ทายาทา ภะวิสสันติ.

คำบาลีสลับคำแปลที่นิยมแปลกันเป็นดังนี้
สัพเพ สัตตา = สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น
กัมมัสสะกา = เป็นผู้มีกรรมเป็นของตน
กัมมะทายาทา = เป็นผู้รับผลของกรรม
กัมมะโยนี = เป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด
กัมมะพันธู = เป็นผู้มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
กัมมะปะฏิสะระณา = เป็นผู้มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
ยัง กัมมัง กะริสสันติ = จักทำกรรมอันใดไว้
กัล๎ยาณัง วา ปาปะกัง วา = ดีหรือชั่ว
ตัสสะ ทายาทา ภะวิสสันติ. = จักเป็นผู้รับผลของกรรมอันนั้น.

@@@@@@@

อภิปราย

เรานิยมบอกกล่าวแนะนำกันให้ “แผ่เมตตา” มีคำกล่าวแผ่เมตตาเป็นที่รู้กันทั่วไป แต่การแผ่มุทิตาเป็นเรื่องที่แทบจะไม่มีใครเอ่ยถึง ไม่มีใครนำมาเสนอแนะ ทั้งๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งในพรหมวิหารภาวนาเช่นเดียวกับแผ่เมตตานั่นเอง

     แผ่เมตตา ใช้เมื่อเพื่อนมนุษย์มีชีวิตอยู่เป็นปกติสุข
     แผ่กรุณา ใช้เมื่อเพื่อนมนุษย์ประสบปัญหา
     แผ่มุทิตา ใช้เมื่อเพื่อนมนุษย์ประสบความสำเร็จ
     แผ่อุเบกขา ใช้เมื่อไม่อยู่ในวิสัยที่จะแผ่เมตตา แผ่กรุณา หรือแผ่มุทิตาได้

ตัวอย่างเช่น เห็นนักโทษถูกตัดสินประหารชีวิต กรณีเช่นนี้จะแผ่เมตตาก็ไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้มีชีวิตอยู่เป็นปกติสุข แผ่กรุณาก็ไม่ได้ เพราะไม่อยู่ในวิสัยที่เราจะช่วยอะไรเขาได้ แผ่มุทิตาเป็นอันไม่ต้องพูดถึงเพราะไม่ใช่โอกาสอันควรจะยินดีกับเขา ถ้าไม่มีหลักหรือไม่มีวิธีคิดที่ถูกต้อง เราก็จะเป็นทุกข์ วุ่นวายใจไปด้วยประการต่างๆ กรณีเช่นนี้แหละที่ท่านแนะให้แผ่อุเบกขา

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต บอกความหมายของ “อุเบกขา” ไว้ดังนี้

(1) ความวางใจเป็นกลาง ไม่เอนเอียงด้วยชอบหรือชัง, ความวางใจเฉยได้ ไม่ยินดียินร้าย เมื่อใช้ปัญญาพิจารณาเห็นผลอันเกิดขึ้นโดยสมควรแก่เหตุ และรู้ว่าพึงปฏิบัติต่อไปตามธรรม หรือตามควรแก่เหตุนั้น, ความรู้จักวางใจเฉยดู เมื่อเห็นเขารับผิดชอบตนเองได้ หรือในเมื่อเขาควรต้องได้รับผลอันสมควรแก่ความรับผิดชอบของเขาเอง, ความวางทีเฉยคอยดูอยู่ในเมื่อคนนั้นๆ สิ่งนั้นๆ ดำรงอยู่หรือดำเนินไปตามควรของเขาตามควรของมัน ไม่เข้าข้างไม่ตกเป็นฝักฝ่าย ไม่สอดแส่ ไม่จู้จี้สาระแน ไม่ก้าวก่ายแทรกแซง (ข้อ 4 ในพรหมวิหาร 4)

(2) ความรู้สึกเฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ เรียกเต็มว่า อุเบกขาเวทนา ( = อทุกขมสุข); (ข้อ 3 ในเวทนา 3)


@@@@@@@

ถ้าเข้าใจได้อย่างนี้ แทนที่จะแผ่เมตตาอย่างเดียว หรือแนะนำสั่งสอนกันให้แผ่แต่เมตตา ก็ควรสนใจที่จะแผ่กรุณา แผ่มุทิตา และแผ่อุเบกขาให้แก่กันด้วย และช่วยกันทำให้มากขึ้น อย่างน้อยที่สุดก็อย่าให้น้อยไปกว่าที่แผ่เมตตา

ดูก่อนภราดา.! อย่าน้อยใจว่ายากจน เพราะทุกคนยังมีกรรมเป็นสมบัติติดตัว





ขอขอบคุณ :-
web : dhamma.serichon.us/2021/09/04/กัมมัสสะกา-มีกรรมเป็นข/
posted date : 4 กันยายน 2021, By admin.
บทความของ : ทองย้อย แสงสินชัย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 07, 2021, 07:13:09 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ