ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ว่าด้วยเรื่อง ‘ประคำ’ ในวัฒนธรรมพุทธ-พราหมณ์  (อ่าน 2691 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29390
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


 

ว่าด้วยเรื่อง ‘ประคำ’ ในวัฒนธรรมพุทธ-พราหมณ์ (1)

เรามักเห็นคนทิเบตโดยเฉพาะผู้ปฏิบัติธรรมไม่ว่าชาวบ้านไปจนถึงครูบาอาจารย์ คล้องประคำไว้ที่ข้อมือซ้ายพกติดตัวกันอยู่เสมอ ว่างคราใดก็เอาออกมาใช้สวดมนต์ พึมๆ พำๆ ไม่ขาดปาก ใช่แต่กับคนฝั่งมหายานเขานะครับ ตอนผมไปเที่ยวเมียนมาซึ่งเป็นแดนชาวพุทธเถรวาทจัดๆ เมื่อหลายปีก่อน ไปวัดไหนตรงหน้าพระประธานหรือตามซุ้มพระเจดีย์ เขาจะมีราวเล็กๆ แขวนประคำไว้มากมาย ถามดูก็ได้ทราบว่า เอาไว้ให้คนที่มาวัดยืมไปสวดมนต์ภาวนาตรงนั้น คือนั่งตรงหน้าพระนั่นแหละ ใช้เสร็จก็แขวนคืนไว้ตามเดิม

ปรากฏว่าที่ระนองบ้านผมซึ่งเป็นจังหวัดชายแดน บางวัดที่มีโยมพม่าเขาไปสร้างถาวรวัตถุไว้ ก็มีราวแขวนประคำอย่างที่เคยเห็นปรากฏอยู่ เขามาวัดก็มาหยิบใช้กันจริงๆ จังๆ อย่างน่าสนใจ

บ้านเรานี่ ดูเหมือนประคำหรือลูกประคำในฐานะเครื่องมือในการสวดมนต์ภาวนาจะลดความสำคัญไปแล้ว กลายเป็นเพียง “วัตถุมงคล” ชนิดหนึ่งไป เว้นแต่ยังเห็นบ้างในกลุ่มพระล้านนาที่ท่านเห็นว่าเป็นจารีตของพระแต่เก่าก่อนจึงเอามาสวมใส่ และนอกจากนี้ ประคำยังกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของจอมขมังเวทย์หรืออะไรแบบนั้นเพราะการนำเสนอของละครและภาพยนตร์

สมัยไปเรียนเรื่องพราหมณ์กับครูชาวอินเดีย การใช้ประคำเป็นหัวข้อสำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องเรียนรู้ครับเพราะมีรายละเอียดมาก นอกจากนี้ เพื่อนชาวคริสต์และมุสลิมของผมต่างก็บอกว่าในศาสนาของเขาก็มีประคำใช้กันทั้งนั้น แม้จะมีรายละเอียดต่างกันบ้าง

ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า ประคำเป็นวัฒนธรรมทางศาสนาที่มีกันโดยทั่วไปแทบทุกศาสนาเลยครับ ซึ่งที่จริงแล้วมีผู้ให้ข้อมูลว่า มาจากความจำเป็นคือเป็นเครื่องมือ “นับจำนวน” การสวดภาวนาของชาวบ้านนั่นเอง

ในวิถีแห่งมนต์ จำนวนการสวดเป็นเรื่องของการฝึกฝนอบรม เพราะเป็นการทำงานกับการท่องบ่นคำซ้ำๆ ซึ่งก่อให้เกิดสภาวะบางอย่างในจิตใจ แต่ครั้นมีจำนวนรอบมากนับไปสวดไปก็ไม่ไหว จึงใช้เครื่องมือช่วยจะง่ายกว่า ชาวบ้านก็เอาเมล็ดพืชหรือหินมาร้อยเข้าด้วยกัน ใช้นับไประหว่างสวด จึงไม่ต้องมานั่งจำว่าสวดไปกี่รอบ

@@@@@@@

ผมจะขอกล่าวถึง การใช้ประคำในวิถีพุทธ-พราหมณ์โดยเฉพาะ เพราะเคยได้ชวนให้ผู้อ่านสวดมนต์ (ไปพร้อมกับด่าผู้บริหารประเทศ) ไปแล้ว จึงอยากจะแนะนำเครื่องมือสำหรับการสวดมนต์ด้วยครับ

ประคำเรียกในภาษาสันสกฤตว่า “มาลา” ที่จริงคำนี้หมายถึงอะไรก็ได้ที่มีลักษณะเป็นวงรอบ ใช้กับพวงมาลัยก็ได้ สร้อยต่างๆ ก็ได้ หรือบทกวีนิพนธ์ที่มีการร้อยเรียงกันก็ได้ คำนี้ใช้ตรงกันทั้งพุทธและพราหมณ์

อย่างที่ผมบอกไปแล้วครับว่า เดิมประคำหรือมาลาเป็นเครื่องมือในการนับจำนวนรอบการสวดของชาวบ้าน แต่ในอีกทางหนึ่ง มันก็ถูกใช้เป็นเครื่องประดับหรือเครื่องรางติดตัวไปด้วยเช่นกัน เพราะอะไรที่เกี่ยวกับมนต์คาถาก็ย่อมมีความศักดิ์สิทธิ์เป็นธรรมดา

ผมไม่ทราบว่าวัฒนธรรมมาลาของพุทธหรือพราหมณ์ อันใดเก่าแก่กว่ากัน แต่พวกนี้น่าจะมาจากวัฒนธรรมชาวบ้านมากกว่าวัฒนธรรมหลวง เพราะเทพเจ้าที่มักสวมมาลาของฮินดูมักเกี่ยวข้องกับชาวบ้านอย่างพระศิวะ หรือเทพที่มีลักษณะอย่างนักบวชถือพรต

พระศิวะถูกบรรยายไว้ว่าสวมมาลาอยู่สองชนิด อย่างแรกคือ “มุณฑมาลา” หมายถึงมาลาหัวกะโหลกศีรษะของมนุษย์ กับ “อักษะมาลา” คือเมล็ดของพืชชนิดหนึ่ง ที่เรียกกันว่า “รุทรากษะ” เมล็ดมีสีฟ้า เมล็ดในที่ใช้ทำประคำมีลักษณะตะปุ่มตะป่ำ คล้ายลูกพระเจ้าห้าองค์ ชาวฮินดูที่นับถือพระศิวะนิยมสวมใส่

การสวมกะโหลกศีรษะของพระศิวะ ทำให้มีการนำเอากระดูกมนุษย์หรือสัตว์มาแกะสลักเป็นรูปหัวกะโหลกเล็กๆ ใช้เป็นลูกประคำ แต่ประคำชนิดนี้มักใช้กันในกลุ่มนักบวชที่พยายามประพฤติตนอย่างพระศิวะ เช่น พวกอโฆรี กปาลิกะ ฯลฯ เพราะโดยปกติ สิ่งซึ่งมาจากซากศพถือกันว่าเป็นของอัปมงคลคฤหัสถ์ไม่ควรเกี่ยวข้อง

พราหมณ์-ฮินดูมีความเชื่อว่า วัสดุที่ใช้ทำลูกประคำมีคุณสมบัติต่างๆ กัน และใช้ภาวนากับมนต์สำหรับเทพเจ้าได้ไม่เหมือนกัน ประคำที่ทำจากต้นกะเพราแห้ง (ตุลสีมาลา) ใช้กับการภาวนาถึงพระวิษณุ พระราม พระกฤษณะ หรือเทพที่เกี่ยวกับพระวิษณุ เพราะพระองค์ทรงโปรดต้นกะเพรา และเชื่อกันว่ากะเพราชำระบาปมลทินโทษได้


@@@@@@@

นอกจากนี้ ยังมีประคำที่ทำจากเม็ดบัว เหง้าขมิ้นแห้ง ซึ่งใช้กับพระเทวีบางองค์ (พราหมณ์เคยเล่าให้ฟังว่า ประคำขมิ้นแห้ง ผู้ใช้ต้องสวมชุดเหลืองและไล้ทาจุณเจิมด้วยขมิ้น เป็นพรตพิธีพิเศษบางอย่าง แต่ผมเลือนไปเสียแล้วว่าเทวีองค์ใด) ยังมีวัสดุอื่นๆ อีก เช่น ปะการัง ไข่มุก ฯลฯ

แต่ที่นิยมมากๆ อีกอย่างคือ ควอตซ์ใส (จุยเจีย) ภาษาสันกฤตเรียกว่าสผาฏิกะ นิยมนับถือว่าเป็นมาลาของพระสุรัสวดี เป็นของสูงค่ามีราคา ใช้ภาวนามนต์พระเทวีและช่วยทำให้ปัญญาแจ่มใส มาลาชนิดนี้พราหมณ์สยามนิยมสวมใส่ เรียกว่า “ประคำแก้ว” มักสวมในพิธีกรรมต่างๆ บางครั้งก็มีการนำแก้วมาหลอมดูคล้ายควอตใสก็มี

พอพูดถึงพราหมณ์พื้นเมืองของเรา ยังมีพราหมณ์อีกพวกที่สวมมาลาไม่เหมือนในอินเดีย คือ พราหมณ์พัทลุง ถ้าผมจำไม่ผิด ท่านว่าประคำซึ่งได้รับตอนบวชเป็นประคำที่กลึงจากเขาวัว

วัสดุที่ชาวฮินดูถือว่าเป็นยอดประคำ คือ เมล็ดรุทรากษะ คำนี้แปลว่า ดวงตาพระศิวะ หรือมักเรียกกันว่า เมล็ดน้ำตาพระศิวะ (รุทระ เป็นอีกนามของพระศิวะ อักษะแปลว่าดวงตา) เป็นพืชยืนต้น เมล็ดในขรุขระคล้ายเม็ดบ๊วย ตามปกติจะมีห้าพู ซึ่งสะท้อนพักตร์ทั้งห้าของพระศิวะ แต่บางครั้งพืชชนิดนี้จะออกลูกผิดปกติ เช่น มีรูปร่างไม่กลม หรือมีจำนวนพูตั้งแต่หนึ่งไปจนถึงหลายพู คนถือกันว่าเป็นของ “ทนสิทธิ์” คือวิเศษอัศจรรย์ ให้คุณต่างๆ กัน ถึงกับมีตำราว่าด้วยเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ และเขาก็เล่นหากันนะครับ คนไทยเราก็เล่นกับเขาอยู่พักหนึ่ง ราคาตั้งแต่หลักสิบไปจนถึงหลักล้านก็มี

รุทรากษะนี้มีปลูกกันทั้งในอินเดีย เนปาล และอินโดนีเซีย ปลูกไว้ทำมาลาโดยเฉพาะ ถือเป็นของที่ต้องสวมหากนับถือพระศิวะ คู่กับการเจิม “ภัสมะ” หรือขี้เถ้าศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่ามาลาชนิดนี้จะใช้ภาวนามนต์พระศิวะเป็นหลัก แต่ครูเคยบอกว่า ที่จริงใช้ภาวนามนต์ได้กว้างขวาง ใช้กับมนต์ของเทพต่างๆ ได้เกือบทุกมนต์

นอกจากสวมที่คอแล้ว ในไศวะนิกาย มีการสวมรุทรากษะยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายด้วย หรือหากไม่มีเป็นมาลา ก็สามารถสวมเพียงเม็ดเดียวก็ได้ แต่นี่นิยมนับถือไปทางความศักดิ์สิทธิ์พอๆ กับการใช้สวด

@@@@@@@

มาลาของฮินดูมี 108 เม็ดเหมือนกับพุทธศาสนา เว้นแต่เป็นมาลาคล้องมือก็จะมีจำนวนลดลงไป ประกอบด้วยตัวเม็ดประคำขนาดเท่าๆ กัน และมีเม็ดยอดที่เรียกว่า “เมรุ” หรือ “คุรุ” เม็ดนี้เป็นตัวจบมาลา เพื่อให้เราทราบว่าสวดครบรอบแล้ว แต่ถือกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์เหมือนเป็นภูเขา (เมรุ) หรือครู (คุรุ) จึงมีกฎว่าห้ามนับข้ามเม็ดนี้ เมื่อวนถึงเม็ดยอดก็จะพลิกมือไล่กลับไปใหม่ย้อนทางที่มา สวดหลายรอบก็วนไปวนมาเช่นนี้

ชาวฮินดูใช้มือขวาเท่านั้นในการนับประคำ โดยไม่ใช้นิ้วชี้ในการจับ เพราะเป็นนิ้วที่มักโกรธ (คือชี้ด่าทอ) แต่ใช้นิ้วโป้ง ช่วยนับกับนิ้วกลางหรือบางคนก็ใช้นิ้วนาง นอกจากนี้ เมื่อจะภาวนาประคำจะต้องชำระประคำก่อน หากเป็นการใช้ครั้งแรกก็มักสระสรงด้วยเบญจคัพย์หรือของจากโคทั้งห้า มีเสกเป่าต่างๆ และทุกครั้งที่ใช้จะมีมนต์สำหรับบูชาประคำก่อนเสมอ

การใช้ประคำของชาวฮินดูจะมีถุงผ้าสวมมือไว้ในขณะภาวนา ซ่อนมือที่นับไว้ในถุงผ้านั้น หากไม่มีก็อาจใช้ผ้ามาคลุมหรือยกชายเสื้อขึ้นมาปิด ท่านว่าไม่ให้ผู้อื่นเห็น แต่อีกทางหนึ่งก็ช่วยปกป้องมิให้ลูกประคำหลุดหายหากขาด และใช้ถุงนั้นเก็บประคำไว้

การภาวนาประคำ ใช้กันเป็นประจำวัน หากเป็นพวกทวิชา (สามวรรณะแรก) จะใช้ในพิธีสันธยาหรือการภาวนาคายตรีมนต์ในสามเวลา โดยมีขั้นตอนต่างๆ มากมาย เช่น มีมุทราก่อนและหลังการภาวนา เป็นต้น

มักถือกันว่า หนึ่งรอบประคำเป็นจำนวนที่ควรภาวนาให้ถึง จะดีมากหากทำได้วันละสิบหรือสิบเอ็ดรอบประคำ แต่บางครั้งด้วยเวลาจำกัด ก็มีการภาวนาเพียงสิบเอ็ดหรือสิบสองจบก็มี และหากไม่มีประคำก็สามารถใช้ “กรมาลา” (มาลามือ) หรือการนับนิ้วตามวิธีเฉพาะแทนประคำได้

นี่ยังไม่ได้เล่าของฝั่งพุทธศาสนาเลยครับ โดยเฉพาะวัชรยานนั้นน่าสนใจมาก แต่เนื้อที่หมดเสียแล้ว คงต้องยกไปตอนหน้า รอติดตามนะครับ




ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 สิงหาคม 2564
คอลัมน์ : ผี-พราหมณ์-พุทธ
ผู้เขียน   : คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง
เผยแพร่ : วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ.2564
ขอบคุณ : https://www.matichonweekly.com/religion/article_453533
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29390
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ว่าด้วยเรื่อง ‘ประคำ’ ในวัฒนธรรมพุทธ-พราหมณ์
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2021, 07:20:35 am »
0



ว่าด้วยเรื่อง ‘ประคำ’ ในวัฒนธรรมพุทธ-พราหมณ์ (จบ)

คราวที่แล้วผมพูดถึงประคำในประเพณีพราหมณ์ไปพอสมควร วันนี้จึงจะพูดถึงประคำและคติความเชื่อในประเพณีพุทธศาสนาเท่าที่ทราบนะครับ ฉะนั้น หากใครมีข้อมูลมากกว่านี้ โปรดส่งมาบอกกันบ้างเถิด จักขอบพระคุณ

ที่จริงแม้ว่าพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทโดยเฉพาะในเมืองไทย เน้นการใช้ประคำที่เรียบง่าย คือมีร้อยแปดเม็ดและเม็ดยอดเท่านั้น อีกทั้งก็ไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องวัสดุแต่อย่างใด โดยมากประคำที่ใช้กันจึงมักกลึงจากไม้เท่าที่หาได้ เช่น ไม้เนื้อแข็งชนิดต่างๆ มีบ้างที่ใช้ไม้หอม เช่น ไม้จันทน์ แต่ก็เป็นของมีราคา

ดังที่ผมบอกไปแล้ว เราใช้ประคำทั้งในลักษณะที่เป็นเครื่องมือในการสวดภาวนาและเครื่องรางไปด้วย จึงมีเกจิอาจารย์ในบ้านเราทำประคำจากวัสดุที่เชื่อว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เช่น ยาจินดามณี ปรอทสำเร็จ (ปรอทที่ทำให้แข็ง) ลูกสวาทหรือเขี้ยวงา ซึ่งเน้นอิทธิคุณความศักดิ์สิทธิ์แก่ผู้สวมใส่มากกว่าจะใช้เป็นเครื่องมือในการภาวนาจริงๆ

ฝ่ายเถรวาทในประเทศอื่นๆ ก็คงมีการนับถือประคำในฐานะเครื่องรางเช่นเดียวกัน เช่น คงมีการนำไปให้เกจิอาจารย์ภาวนาปลุกเสก แต่ผมยังไม่เคยเห็นเขามีประคำที่ทำด้วยวัสดุแปลกๆ อย่างบ้านเรา

ส่วนฝ่ายมหายาน มีการใช้วัสดุที่หลากหลาย ซึ่งคงเป็นไปตามความนิยมในวัฒนธรรมของที่นั่น เช่นในจีนซึ่งมีความนิยมหยกหรือหินมีค่าอื่นๆ ก็มีการสร้างประคำหยกหรือประคำหินสำหรับสวมใส่ บางครั้งก็เน้นความสวยงามเช่นมีขนาดใหญ่ และใส่ในงานพิธี จึงดูเหมือนเครื่องยศกลายๆ สำหรับพระเถระ


@@@@@@@

ที่จริงในสมัยราชวงศ์ชิง พวกชิงเขาเป็นชาวพุทธวัชรยานมาก่อน จึงมีการพกพาประคำติดตัวสำหรับสวดภาวนา ทำให้ประคำได้กลายเป็นเครื่องยศของขุนนางในระดับต่างๆ ไปโดยปริยาย มีการแบ่งวัสดุว่าขุนนางระดับไหนสามารถสวมประคำแบบไหนได้

ที่จริงผมว่าอิทธิพลนี้อาจส่งมาถึงไทยเรามานาน เพราะเราก็เคยมี “ประคำทอง” สำหรับเป็นเครื่องยศของขุนนางตั้งแต่ระดับพระยา เจ้าพระยา และสมเด็จเจ้าพระยา ซึ่งมีมาจากครั้งกรุงเก่าจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

ประคำทองนี้อยู่รวมกับเครื่องยศอื่นๆ เช่น พานหมาก ขันน้ำพานรอง กาน้ำ ฯลฯ ถือเป็นเครื่องอุปโภคอย่างหนึ่ง ตามชั้นยศ

ผมทราบจากเพื่อนผู้ไปอยู่ที่ญี่ปุ่นมานานว่า ชาวพุทธญี่ปุ่นแต่ละนิกายต่างมีประคำที่แตกต่างกันเป็นเอกลักษณ์ และประคำเป็นของสิ่งหนึ่งที่ต้องพกไปงานศพด้วยเสมอ เป็นอุปกรณ์ที่แขกผู้เข้าร่วมงานศพจะต้องใช้เมื่อเคารพศพ เหมือนเป็นสัญลักษณ์ของการสวดภาวนาให้ผู้ตายไปสู่สุคติ

ร้านรวงตามวัดต่างๆ ในญี่ปุ่นจึงมักมีประคำวางขายหลากสีสันรูปแบบ ซึ่งมีราคาถูกๆ ไปจนถึงงานระดับช่างฝีมือที่มีราคาแพงระยับ แต่ใครๆ ก็ต้องมีประคำของตัวเองไว้สักเส้น จะสวดไม่สวดก็ต้องมีไว้ไปงานสังคม ว่างั้น

ชาวพุทธเถรวาทมีประคำจำนวนร้อยแปดเม็ดเป็นหลัก เราอธิบายว่า เป็นจำนวนพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ รวมกันได้ร้อยแปด บ้างก็ว่าเป็นพุทธคุณอิติปิโสร้อยแปดก็มี

ส่วนฝ่ายมหายานและวัชรยานเขาใช้ร้อยแปดเช่นเดียวกับเรา แต่ฝ่ายนั้นท่านมักอธิบายว่า ร้อยแปดหมายถึง กิเลสอาสวะต่างๆ ของมนุษย์ เมื่อรวมทั้งไตรทวาร คือกาย วาจา ใจก็จะได้จำนวนร้อยแปดพอดี

การสวดภาวนาประคำจึงเป็นการชำระกิเลสในไตรทวารให้ค่อยๆ บริสุทธิ์สะอาดไปเรื่อยๆ จนหมดไป

@@@@@@@

นอกจากจำนวนร้อยแปด เขายังมีการทำประคำในขนาดต่างๆ เพื่อสะดวกในการพกพา เป็น “ประคำมือ” ฝรั่งเรียก Hand Mala ที่สามารถคล้องมือไปได้ง่ายๆ เช่น มีจำนวนสิบแปดลูก ยี่สิบเจ็ดลูก ฯลฯ ที่เมื่อสวดวนๆ ไปก็จะครบร้อยแปดไปเอง

ฝ่ายวัชรยาน ดูเหมือนเรื่องประคำจะเป็นสิ่งที่ละเอียดและวิจิตรพิสดารที่สุด เพราะฝ่ายวัชรยานเน้นวิถีแห่งมนต์เป็นอุบายที่สำคัญ (มนตรยาน) การภาวนามนต์ของฝ่ายวัชรยาน มักมีการตั้งเป้าหมายทางจำนวนของการสวดภาวนาไว้ด้วย เพื่อให้ผู้ปฏิบัติสามารถปฏิบัติได้อย่างต่อเนื่อง

จำนวนรอบการสวดนั้นมีตั้งแต่แสนจบไปจนถึงเป็นสิบเป็นร้อยล้านจบ ครับ อ่านไม่ผิดหรอกครับ เขามักตั้งเป้าหมายสวดภาวนาบางมนต์ เช่น มนต์มณี (โอม มณี ปัทเม หุม) ไว้เป็นร้อยล้านจบหรืออย่างน้อยก็สักสามล้านจบ มีทั้งการใช้การเข้าเงียบเก็บตัวระยะยาว หรือการทำไปเรื่อยๆ ตลอดชีวิต

นอกจากนี้ ในวิถีวัชรยาน เพื่อจะเริ่มต้นปฏิบัติในวิถีตันตระ ต้องทำ “บุพกิจ” (ภาษาทิเบตเรียก เงินโดร) หรือกิจเบื้องต้นเพื่อขัดเกลาเสียก่อน อาทิ ถวายมณฑลจำนวนแสนครั้ง กราบอัษฎางคประดิษฐ์แสนครั้ง ฯลฯ จำนวนของการปฏิบัติรวมกันหลายแสนเช่นนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีเครื่องมือช่วยนับจำนวนคือประคำนี้เอง

ประคำแบบทิเบตจึงไม่ได้มีเพียงลูกกลมๆ ขนาดเท่าๆ กันเรียงไปร้อยแปดเม็ดเท่านั้น แต่มี “ตัวช่วยนับ” อื่นๆ ด้วย เช่น มักจะมีเม็ดคั่นในระหว่างเส้น เม็ดคั่นนี้จะมีขนาดใหญ่หรือเล็กกว่าเม็ดอื่นๆ เพื่อช่วยให้ผู้ปฏิบัติที่ไม่สามารถสวดครบร้อยแปดครั้งได้ทราบว่าตนเองสวดไปแล้วกี่จบ เช่น คั่นที่เม็ดที่เจ็ด คั่นที่เม็ดที่สิบเอ็ด หรือแบ่งคั่นเป็นสี่ส่วนเท่าๆ กัน


@@@@@@@

นอกจากนี้ ยังมีตัวช่วยนับอีกสองแบบ แบบแรกเป็นลูกปัดโลหะหรือทำจากวัสดุอื่นเส้นเล็กๆ ผูกเข้ากับตัวประคำ ลูกปัดในเส้นนี้มีจำนวนสิบเม็ด มีอยู่สองเส้นที่ทำสัญลักษณ์ที่ปลายต่างกัน อันหนึ่งเมื่อเราสวดครบหนึ่งรอบประคำก็จะชักไว้เม็ดหนึ่ง ให้รู้ว่าเราได้มาร้อยแปดจบแล้ว เมื่อสวดไปได้สิบรอบ ก็จะชักอีกเส้นหนึ่ง กล่าวคือ เส้นหนึ่งช่วยจำหลักร้อย อีกเส้นช่วยจำหลักพัน

นอกจากนี้ ยังมีตัวหนีบโลหะเล็กๆ ไว้หนีบช่วยจำหลักหมื่นอีก เมื่อตัวหนีบนี้หนีบไปได้ครบสิบเม็ดก็จะเท่ากับหลักแสน ครบร้อยเม็ดก็เป็นหลักล้าน ดังนั้น ประคำเส้นเดียวจึงช่วยทำให้เราสามารถจดจำจำนวนของการภาวนาได้ถึงหลักล้านนั่นเอง

ฝ่ายวัชรยานมีวัสดุที่ใช้ทำประคำหลากหลายมาก เช่น เปลือกหอย ไม้ ไข่มุก กระดูกคนหรือสัตว์ หินมีค่าต่างๆ ซึ่งนิยมกันว่าให้เลือกใช้หินสีที่มีความสอดคล้องกับสีกายของพระพุทธะหรือพระโพธิสัตว์ที่ตนเองภาวนาถึง เช่น พระอวโลกิเตศวรหรือพระตาราขาวมีพระวรกายขาว ก็ใช้หินขาวหรือบางครั้งก็ใช้แก้วควอตซ์ใส ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นหินชนิดเดียวกับที่พระอวโลกิเตศวรถือในพระหัตถ์

นอกจากนี้ การเลือกใช้ประคำยังขึ้นอยู่กับลักษณ์ของมนต์ที่ใช้ด้วย หากเป็นมนต์ของเทพพิโรธหรือกึ่งพิโรธ ก็ใช้แบบหนึ่ง หากเป็นเทพสันติก็ใช้แบบหนึ่ง ซึ่งครูบาอาจารย์จะเป็นผู้บอกว่าให้ใช้ประคำแบบใด

ชาวพุทธวัชรยานต้องสวดมนต์กันอยู่ตลอดเวลา จึงพกประคำติดตัวเสมอราวกับเป็นอีกอวัยวะหนึ่ง เมื่อไม่ใช้จะพันไว้ที่ข้อมือซ้าย พอจะใช้ก็ถอดออกมาภาวนา ที่สำคัญ ในฝ่ายวัชรยานไม่ได้ถืออย่างฮินดูที่จะต้องใช้มือขวาเท่านั้นในการชักประคำภาวนา ผมเห็นมักนิยมใช้มือซ้ายกันเสียด้วย อาจเพราะถือคติอย่างตันตระ คือ ไม่มีสิ่งใดบกพร่องหรือมีมลทิน มือซ้ายก็ใช้สวดภาวนาได้ แต่ก็ห้ามข้ามเม็ดเมรุหรือคุรุเช่นเดียวกัน

@@@@@@@

ประคำถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ประจำตัวตลอดชีวิตของคนคนนั้น ผู้ปฏิบัติมักมีประคำของตนเองสองแบบ แบบแรกคือพกติดตัวนำออกไปใช้ภายนอก กับอีกแบบเป็นประคำลับ ใช้สวดภาวนามนต์ลับภายในที่ภาวนา ไม่นำออกให้ผู้อื่นเห็น

ด้วยการภาวนาต่อเนื่องยาวนานกับประคำเส้นนั้นๆ ผู้คนจึงนับถือประคำของครูบาอาจารย์และนักปฏิบัติมาก ถือเป็นสมบัติล้ำค่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์พิเศษเพราะการปฏิบัติได้ซึมซาบอยู่ในประคำนั้นเอง

นี่คือสิ่งที่ผมอยากจะเน้นครับ ในทัศนะของวัชรยาน ประคำศักดิ์สิทธิ์ได้ เพราะการปฏิบัติอันยาวนานติดต่อกันโดยไม่ขาดสาย ไม่ใช่เพียงเพราะวัสดุหรือการปลุกเสกเท่านั้น

มีครูบาอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่ง คือพระอาจารย์ลาเซ่ ริมโปเช ท่านอาจารย์กฤษดาวรรณ เมธาวิกุลผู้เป็นศิษย์เคยเล่าไว้ว่า สมัยที่จีนเข้ามายึดครองทิเบตนั้น ท่านลาเซ่ถูกจองจำในคุกเพราะท่านเป็นครูบาอาจารย์คนสำคัญ ท่านถูกยึดประคำและของต่างๆ แต่ท่านก็แอบใช้เชือกมัดเป็นปมภาวนาแทนประคำอยู่ในคุกนั่นเอง เมื่อท่านล้มป่วย ด้วยอำนาจของการภาวนาอันยาวนาน ท่านก็ฟื้นตัวจากอาการป่วยได้ และมีชีวิตยืนยาวมาให้คำสอนต่ออีกหลายปี

ดังนั้น ผมจึงอยากสรุปว่า ในทัศนะแบบพุทธ ประคำไม่ได้ทำให้ผู้สวมใส่ดีวิเศษขึ้นมา แต่เพราะเราปฏิบัติต่างหากประคำนั้นจึงเป็นของมีค่าได้ ถ้าไม่ระลึกเช่นนี้ ประคำที่สวมใส่จะเป็นเพียงเครื่องประดับไว้อวดกัน ว่าฉันเป็นคนธัมมะธัมโมนะ

สุดท้ายก็เป็นแค่เอาเม็ดหินสวยๆ มาแขวนอวดเท่านั้นแล เจริญพร




ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 สิงหาคม 2564
คอลัมน์ : ผี-พราหมณ์-พุทธ
ผู้เขียน   : คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง
เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 19 สิงหาคม พ.ศ.2564
ขอบคุณ : https://www.matichonweekly.com/religion/article_456074
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ