ยกทัพตีกรุงกัมพูชา แผนการปฏิวัติโค่นบัลลังก์ และรู้กับพระเจ้ากรุงญวน
ขณะที่ความขัดแย้งภายในกำลังรุ่มร้อนก็ให้เกิดเรื่องยุ่งยากจากภายนอกตามมาอีกเมื่อเกิดการกบฏขึ้นที่กรุงกัมพูชาโดยการสนับสนุนของญวน จำเป็นอย่างยิ่งที่กำลังของพระเจ้าแผ่นดินต้องยกออกไปปราบกบฏนอกพระนคร มีพระราชพงศาวดารกล่าวไว้ว่า “เดือนยี่ ปีฉลู พ.ศ. 2324 ดำรัสให้จัดทัพเป็น 6 ทัพ ให้เจ้าพระยาสุรศรีเป็นทัพหน้า พระเจ้ากษัตริย์ศึกเป็นจอมทัพหลวง กรมขุนอินทรพิทักษ์เป็นทัพหนุน พระยานครสวรรค์เป็นยกกระบัตร กรมขุนรามภูเบศร์เป็นทัพหลัง พระยาธรรมาเป็นกองลำเลียง ยกไปตีเมืองพุทธไธเพ็ชร์” (ประชุมพงศาวดาร ภาค 64, 2535 น. 69)
เมื่อการจัดทัพเป็นดังนี้กำลังที่เหลือไว้รักษาพระนครจึงมีเพียงการนำของ พระเจ้าหลานเธอ กรมขุนอนุรักษ์สงครามเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ล่อแหลมต่อราชบัลลังก์ยิ่งนัก
แล้วสิ่งที่ล่อแหลมนั้นก็เป็นจริงเมื่อ นายบุญนาค บ้านแม่ลา แขวงกรุงเก่า อาศัยกระแสที่พระเจ้าตากสินได้ทรงออกกฎหมายว่าด้วยการขุดค้นสมบัติเก่าที่ซุกซ่อนพม่าไว้สมัยกรุงแตกต้องแบ่งส่วนหนึ่งเป็นอากรภาคหลวง ซึ่งมีพระพิชิตณรงค์เป็นผู้ผูกขาดค่าภาคหลวงไว้จำนวนถึง 500 ชั่ง ทำให้ต้องเร่งขุดกันเป็นการใหญ่ (ปรามินทร์ เครือทอง. กบฏเจ้าฟ้าเหม็น. มติชน, 2547, น. 47) ด้วยเหตุนี้ทำให้นายบุญนาคซึ่งเป็นกำลังของเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก วางแผนฆ่าพระพิชิตณรงค์และยังวางแผนจับพระเจ้าตากสินสำเร็จโทษเสียแล้วยกราชสมบัติให้แก่เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก
แผนการของนายบุญนาคบรรลุผลสามารถจับพระพิชิตณรงค์ฆ่าได้สำเร็จ แต่ผู้รักษาเมืองกรุงเก่าพระยาอินทรอภัยสามารถหนีรอดไปได้ และได้เข้าเฝ้ากราบทูลเหตุการณ์ให้พระเจ้าตากสินทรงทราบ พระองค์จึงมีบัญชาให้ “พระยาสรรค์” ยกกำลังทหารขึ้นไปปราบพวกกบฏ เมื่อไปถึงกรุงเก่าพระยาสรรค์กลับแปรพักตร์ไปร่วมมือกับนายบุญนาค เพราะฝ่ายนายบุญนาคนั้นมีขุนแก้วน้องพระยาสรรค์ (จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี) อยู่ด้วย พระยาสรรค์รับเป็นแม่ทัพยกกลับมาตีกรุงธนบุรี เกิดศึกภายในกันเพียง 1 คืน กรุงธนบุรีก็พ่ายแก่พระยาสรรค์และกรมขุนอนุรักษ์สงครามถูกจองจำ
@@@@@@@
เหตุที่ว่าเป็นแผนการปฏิวัตินั้นเพราะกองกำลังของพระยาสรรค์นั้นมิใช่ไพร่พลธรรมดาแต่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ในสมัยนั้นคือปืนใหญ่มาใช้ในการนี้ด้วย ดังปรากฏหลักฐานว่า “ณ วันเสาร์เดือน 4 แรม 1 ค่ำเพลงตี 10 ทุ่ม ตั้งค่ายมั่นคลองรามัญ ยิงระดมลูกปืนตกในกำแพงเสียงสนั่นหวั่นไหว” (จดหมายเหตุความทรงจำ, ต้นฉบับ, 2546, น. 254) กำลังของพระยาสรรค์จะเอาปืนใหญ่มาจากไหนถ้าไม่ใช่จากทัพของเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกและเจ้าพระยาสุรสีห์ แม้จะมีขุนนางกลุ่มหนึ่งพยายามที่จะสู้ต่อ แต่พระเจ้าตากสินทรงเห็นว่าเพลี่ยงพล้ำเกินแก้แล้วจึงมีรับสั่งห้าม “ว่าสิ้นบุญพ่อแล้ว อย่าให้ยากแก่ไพร่เลย” “รุ่งขึ้น ณ วันอาทิตย์ เดือน 4 แรม 12 ค่ำ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็ทรงนิมนต์พระสังฆราช พระวันรัตน์และพระรัตนมุนีให้ออกไปเจรจาความเมืองขอผ่อนผัน ว่าอย่าเอาชีวิตเลย พระองค์จะเสด็จออกผนวชชำระพระเคราะห์เมืองเสีย 3 เดือน เวลา 3 ทุ่ม จึงเสด็จออกผนวชที่วัดอรุณราชวราราม” (ปรามินทร์ เครือทอง. กบฏเจ้าฟ้าเหม็น. มติชน, 2547, น. 49-50)
ถึงแม้ภายหลังเมื่อกรมขุนอนุรักษ์สงครามได้รับการปลดปล่อยจากการจองจำแล้วรีบกราบทูลเชิญนำทัพต่อสู้ข้าศึก แต่กลับมีพระราชดำรัสเตือนว่า สิ้นบุญเราแล้ว อย่าทำเลย แล้วยังมีดำรัสที่แสดงให้เห็นว่าทรงเข้าใจเหตุการณ์ทั้งปวงโดยตลอดแล้วว่า ต้นสายปลายเหตุของกบฏครั้งนี้คืออะไร จึงตรัสว่า คงไม่รอด “บ้านเมืองเป็นของสองพี่น้องเขานั่นแหละ ถ้าไม่ตายก็ฝากตัวเขาให้ดีเถิด” (ปรามินทร์ เครือทอง. กบฏเจ้าฟ้าเหม็น. มติชน, 2547, น. 51)
เหตุที่ว่านายบุญนาคเป็นคนของเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกนั้นมีหลักฐาน เอกสาร คำปฤกษาตั้งข้าราชการในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 1 ว่า “อนึ่งนายบุญนาค หลวงสุระ หลวงฉะนะ เป็นข้าใต้ละอองธุลีฯ มาแต่เดิม” นั่นก็แสดงว่าการที่นายบุญนาคได้รับแต่งตั้งให้รับราชการในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 1 ก็เพราะเหตุที่ร่วมกันโค่นบัลลังก์พระเจ้าตากสินนั่นเอง
@@@@@@@
และว่าที่รู้กันกับพระเจ้ากรุงญวนนั้นมีหลักฐานว่า ระหว่างสงครามกับกัมพูชาเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้เจรจาความตกลงกับฝ่ายเวียดนามเป็นการลับให้ยุติศึก แล้วให้ทัพกัมพูชาล้อมทัพของกรมขุนอินทรพิทักษ์ (ลูก) ไว้ โดยปิดเป็นความลับมิให้รู้เรื่องการจลาจลในพระนคร ส่วนพระเจ้าหลานเธอ กรมขุนรามภูเบศร์ (หลาน) ให้จองจำไว้ อันเป็นการตัดกำลังสำคัญที่จะกลับมากู้กรุงธนบุรีกลับคืนได้อย่างเบ็ดเสร็จ “การที่เจ้าพระยาจักรีเจรจาความตกลงกับฝ่ายกองทัพเวียดนามแล้วสั่งปิดล้อมทัพของกรมขุนอินทรพิทักษ์ไว้นี้ แสดงเจตนาชัดเจนแล้วว่าไม่ได้คิดตีโต้ยึดพระนครส่งคืนสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หากแต่เป็นการปฏิบัติตามแผนการปฏิวัติ” (ปรามินทร์ เครือทอง. กบฏเจ้าฟ้าเหม็น. มติชน, 2547, น. 52)
และยังมีหลักฐานเมื่อคราวกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทวังหน้าในรัชกาลที่ ๑ (เจ้าพระยาสุรสีห์) เสด็จทิวงคตในปี พ.ศ. 2346 ซึ่งครั้งนั้นพระเจ้ากรุงเวียดนามได้มีหนังสือมาเตือนพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ว่า “สมเด็จพระอนุชาธิราชซึ่งเป็นกรมพระราชาวังบวรฯ สวรรคตแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระชราลงทุกวันยังแต่พระเจ้าลูกเธอ พระเจ้าหลานเธอ มีกำลังมากเสมอกันอยู่ การข้างหน้ากลัวจะไม่เรียบร้อย ขอให้ยกสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ใหญ่ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรขึ้นดำรงที่กรมพระราชวังบวรฯ จะได้มีกำลังและพาหนะมากขึ้นบ้านเมืองจึงจะสงบเรียบร้อย” (พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา, คลังวิทยา, 2516, น. 608)
เมื่อไม่มีสัมพันธ์กันมาแต่หนหลังเมื่อครั้งปฏิวัติโค่นพระเจ้ากรุงธนบุรีไฉนเลยพระเจ้ากรุงเวียดนามจึงมีความปรารถนาดีกับรัชกาลที่ 1 ถึงเพียงนี้ ทั้งที่ในครั้งนั้นอยู่ในฐานะคู่สงครามกันเลยทีเดียว
@@@@@@@
พ่ายแพ้แก่เกมการเมือง ถูกประหารชีวิตโดยสิ้นสถานะกษัตริย์
เมื่ออำนาจทางการเมืองและการทหารตกอยู่ในมือของฝ่ายเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกและเจ้าพระยาสุรสีห์ ตลอดจนอาณาประชาราษฎร์ก็สิ้นศรัทธาพระองค์ในฐานะกษัตริย์ในสาเหตุที่มาจากพระองค์เองเนื่องมาจากทรงขัดแย้งกับคณะสงฆ์ซึ่งถือเป็นหลักชัยของสังคม ความจริงแล้วเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกและเจ้าพระยาสุรสีห์จะใช้กำลังอำนาจเสียเมื่อไรก็ได้ แต่ด้วยความจัดเจนทางการเมืองของเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกจึงสะกดใจรอจนทุกอย่างถึงจุดที่สุกงอมพอ และมีสาเหตุทั้งหลายทั้งปวงเพียงพอที่จะสร้างความชอบธรรมกับฝ่ายตนเอง เพื่ออาณาประชาราษฎร์จะให้มีการยอมรับอย่างเต็มใจและศรัทธามิมีผู้ใดคิดต่อต้านอย่างสิ้นเชิง ถึงขณะนี้พระเจ้าตากสินจึงทรงหมดสิ้นสถานะของกษัตริย์ลงอย่างสมบูรณ์
“เมื่อพระเจ้าแผ่นดินเป็นอาสัตย์อาธรรมดังนี้แล้ว ท่านทั้งปวงจะคิดอ่านประการใด มุขมนตรีทั้งหลายพร้อมกันกราบทูลว่า พระเจ้าแผ่นดินทุจริตธรรมเสียฉะนี้ ก็เห็นว่าเป็นเสื้ยนหนามหลักตออันใหญ่อยู่ในแผ่นดิน จะละไว้เสียมิได้ควรจะให้สำเร็จโทษเสีย จึงรับสั่งให้มีกระทู้ถามเจ้าตากสินเจ้าแผ่นดินผู้ทุจริตว่า ตัวเป็นเจ้าแผ่นดินใช้เราไปกระทำการสงครามได้ความลำบากกินเหงื่อต่างน้ำ เราก็อุตสาหะอาสากระทำศึกมิได้อาลัยแก่ชีวิต คิดแต่จะทำนุบำรุงแผ่นดินให้สิ้นเสี้ยนหนาม จะให้สมณพราหมณาจารย์และไพร่ฟ้าประชากรอยู่เย็นเป็นสุขสิ้นด้วยกัน ก็เหตุไฉนอยู่ภายหลังจึงเอาบุตรภรรยาเรามาจองจำทำโทษ แล้วโบยตีพระภิกษุสงฆ์ และลงโทษแก่ข้าราชการและอาณาประชาราษฎร์ เร่งเอาทรัพย์สินโดยพลการด้วยความผิดกระทำให้แผ่นดินเดือดร้อนทุกเส้นหญ้า ทั้งพระพุทธศาสนาก็เสื่อมทรุดเศร้าหมองดุจเมืองมิจฉาทิฐิฉะนี้ จึงมีรับสั่งให้เอาตัวไปประหารชีวิตสำเร็จโทษเสีย” (พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา, คลังวิทยา, 2516, น. 451)
@@@@@@@
เปรียบเทียบคดีกบฏวังหน้า กับคราวเปลี่ยนแผ่นดิน
ในปี พ.ศ. 2346 กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท วังหน้าในรัชกาลที่ 1 ได้เสด็จทิวงคต ก็ได้เกิดเหตุความไม่สงบขึ้นคือ “กบฏวังหน้า” ซึ่งคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อวังหน้าเสด็จทิวงคตโดยมีผู้ถูกกล่าวหาคือ พระองค์เจ้าลำดวน และพระองค์เจ้าอินทปัต พระราชโอรสในกรมพระราชวังบวรฯ โดยทั้งสองพระองค์ทรงถูกกล่าวหาว่าจะลอบปลงพระชนม์พระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 1) ในวันถวายพระเพลิงพระศพวังหน้า สุดท้ายทั้งสองพระองค์ก็ทรงถูกจับและถูกตัดสินสำเร็จโทษ (ปรามินทร์ เครือทอง. กบฏเจ้าฟ้าเหม็น. มติชน, 2547, น. 112-114)
จากคดีกบฏวังหน้า วิเคราะห์อย่างไรก็ไม่เห็นว่าพระองค์เจ้าลำดวนและพระองค์เจ้าอินทปัตจะมีกำลังและความสามารถตลอดจนบารมีเพียงพอถึงขนาดคิดลอบปลงพระชนม์รัชกาลที่ 1 ได้ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์ทางการเมืองเพื่อขจัดเสี้ยนหนามสายกรมพระราชวังบวรฯ มิให้มีบทบาทในอนาคตเท่านั้นเอง เป็นการตัดไฟแต่ต้นลม เพราะในอนาคตไม่มีความแน่นอนว่าทั้งสองพระองค์ที่ถูกกล่าวหาจะมิเป็นภัยต่อบัลลังก์ หรือกษัตริย์ทายาทของรัชกาลที่ 1 เพราะวัยและกำลังคนพอๆ กัน
ถ้าเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างรัชกาลที่ 1 กับพระโอรสทั้งสองของกรมพระราชวังบวรฯ แล้วก็คือลุงกับหลาน แต่ด้วยเหตุการณ์ทางการเมืองก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วจะเทียบอะไรได้กับเหตุการณ์คราวเปลี่ยนแผ่นดินจากพระเจ้ากรุงธนบุรีมาเป็นรัชกาลที่ 1 ความรุนแรงทางการเมืองมากกว่ากันอย่างเปรียบมิได้ มีหรือพระเจ้าตากสินจะทรงรอดชีวิตลงเรือสำเภาไปโผล่ที่นครศรีธรรมราช
@@@@@@@
ถ้าพระเจ้าตากสินทรงรู้กับเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ไฉนต้องลงทุนด้วยชีวิตลูกหลานถึง 4 พระองค์
เมื่อคราวปฏิวัติเปลี่ยนแผ่นดินมีพระญาติวงศ์ของพระเจ้าตากสินถูกสำเร็จโทษ 4 พระองค์ด้วยกัน เป็นพระเจ้าลูกเธอในพระอัครมเหสี 2 พระองค์ คือ กรมขุนอินทรพิทักษ์และสมเด็จเจ้าฟ้าน้อย และเป็นพระเจ้าหลานเธอ 2 พระองค์ คือ กรมขุนอนุรักษ์สงคราม และกรมขุนรามภูเบศร์ (ปรามินทร์ เครือทอง. กบฏเจ้าฟ้าเหม็น. มติชน, 2547, น. 53)
ถึงแม้พระเจ้าตากสินจะทรงไม่ประสงค์ในการยกราชสมบัติให้กับพระราชโอรสองค์ใด โดยประสงค์จะยกให้กับเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเท่านั้น หรือถึงแม้พระเจ้าตากสินจะทรงรักชาติเพียงใด ก็เป็นไปไม่ได้ที่แผนการแกล้งบ้าอันรู้กันกับเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกนั้น พระองค์จะต้องทรงลงทุนด้วยชีวิตของลูกในไส้ถึง 2 พระองค์ รวมหลานอีก 2 พระองค์ ดูจะผิดปกติมากไปหน่อย ฝั่งเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเอง ถ้ารู้กันกับพระเจ้าตากสินจริงจะใจดำถึงขนาดประหารชีวิตลูกหลานของพระเจ้าตากสินเชียวหรือ ในเมื่อปล่อยพระเจ้าตากสินไปนครศรีธรรมราชแล้วประโยชน์อันใดในการล้างญาติวงศ์ของพระเจ้าตากสินทั้ง 4 พระองค์ ความสมเหตุสมผลตรงนี้เป็นไปไม่ได้เลย
@@@@@@@
บทสรุป
ก่อนปี พ.ศ. 2475 พระมหากษัตริย์กับการเมืองเป็นเรื่องที่แยกกันไม่ออก การชิงไหวชิงพริบกันทางการเมือง จะเป็นระหว่างบรรดาโอรสของพระมหากษัตริย์ ถ้าแม้มีพระองค์ใดพระองค์หนึ่งโดดเด่นขึ้นมาก็ใช่จะก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ได้ง่ายๆ เพราะยังติดด่านสำคัญคือวังหน้าซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นองค์อนุชาของพระมหากษัตริย์ และแม้จะสิ้นวังหน้าแล้วก็ยังมีวังหลังซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอนุชาต่างมารดาของพระมหากษัตริย์อีก ซึ่งบรรดาเหล่าโอรสของพระมหากษัตริย์วังหน้า วังหลัง ตลอดจนขุนนางต่างๆ ก็เปรียบได้กับพรรคการเมืองในปัจจุบันนั่นเอง แต่การกำจัดกันทางการเมืองสมัยนั้น คือการฆ่าเพื่อขึ้นสู่บัลลังก์ เพราะไม่ซับซ้อนเหมือนการเมืองในปัจจุบัน เมื่อใครมีกำลังที่เหนือกว่าก็เป็นผู้ได้บัลลังก์และอำนาจไป ส่วนผู้อ่อนแอกว่าก็มักจะจบชีวิตลงในเส้นทางแห่งอำนาจ
การศึกษาประวัติศาสตร์เป็นการศึกษาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตใกล้บ้างไกลบ้าง การศึกษาประวัติศาสตร์มิใช่การนำเอาความคิดหรืออารมณ์ส่วนตัวเข้าไปร่วมในเหตุการณ์ เพราะมนุษย์เรายังมีความรัก ความชอบ ความเกลียดชัง อคติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญในการบิดเบือนประวัติศาสตร์ เช่น การที่มีนักประวัติศาสตร์จำนวนมากไม่ยอมรับการเป็นพระมหากษัตริย์ของสมเด็จพระวรวงศาธิราช เพราะนักประวัติศาสตร์กลุ่มนี้ได้นำเอาอารมณ์ ความรู้สึกส่วนตัวเข้าไปปะปนกับเหตุการณ์ อันนำมาซึ่งการบิดเบือนประวัติศาสตร์ที่สำคัญ บางครั้งการศึกษาประวัติศาสตร์ด้วยการนำเอาอารมณ์ ความรู้สึก ความชอบ ความเกลียดชัง มาปะปนด้วยนั้นมีส่วนในการบิดเบือนประวัติศาสตร์ได้มากกว่าหลักฐานที่มีอยู่เสียด้วยซ้ำ
การศึกษาประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์มิใช่ไปวิเคราะห์ว่าองค์ไหนดีไม่ดีอย่างไร แต่ต้องศึกษาว่าเหตุการณ์ต่างๆ นั้นเกิดขึ้นเมื่อใด เหตุการณ์อะไร ใครเกี่ยวข้องบ้าง หรือการวิเคราะห์หาเรื่องราวความจริงให้มากที่สุดนั่นเอง เหตุการณ์การสวรรคตของพระเจ้าตากสินมหาราชนั้นเป็นที่ถกเถียงกันมากในหมู่นักประวัติศาสตร์ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องเล่าและคิดกันไปเองไม่มีหลักฐานและการวิเคราะห์ที่เป็นระบบ ข้าพเจ้าร่ำเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์สอนให้เชื่อเรื่องที่พิสูจน์ได้ ก่อนจะได้คำตอบ หรือทฤษฏีต่างๆ จะต้องผ่านการตั้งสมมุติฐาน การทดลอง ดังนั้นเรื่องราวการสวรรคตของพระเจ้าตากสินมหาราชนั้น จากที่วิเคราะห์มานั้นเมื่อเปลี่ยนแผ่นดินก็สิ้นลมแน่นอน
ส่วนเหตุการณ์ที่นครศรีธรรมราช ถ้ำเขาขุนพนมนั้น เป็นเหตุการณ์หลังจากวันที่ 6 เมษายน 2325 ครับ
หมายเหตุ : เนื้อหานี้คัดจากบทความ ” ‘พระเจ้าตากสินล่องหน หลบท่อนจันทน์’ ประวัติศาสตร์ชาวบ้าน ประวัติศาสตร์แห่งจินตนิยาย” เผยแพร่ในนิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม ฉบับตุลาคม 2551
ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม ฉบับตุลาคม 2551
ผู้เขียน : รังสรรค์ นิลฉ่ำ
เผยแพร่ : วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ.2564
เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 2 ตุลาคม 2564
ขอบคุณ :
https://www.silpa-mag.com/history/article_75583