ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: บริหารเชิงพุทธ ให้ใจอยู่ในสุข  (อ่าน 854 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
บริหารเชิงพุทธ ให้ใจอยู่ในสุข
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2022, 09:48:53 am »
0



บริหารเชิงพุทธ ให้ใจอยู่ในสุข - พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ

ในทางโลก มีการจัดการกับวิธีการบริหารใหม่ ๆ อยู่เสมอ ทั้งสถาบันด้านธุรกิจที่หมั่นคิดค้นวิจัยรูปแบบการบริหารให้เหมาะกับยุคสมัยและได้ผลดี รวมถึงสถาบันการศึกษา ครูอาจารย์ นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารธุรกิจ ก็ร่วมกันคิดค้นรูปแบบการบริหารที่ได้ผลและเข้ากับยุคสมัยอย่างต่อเนื่อง สิ่งแวดล้อมทางเทคโนโลยีก็มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นระยะ

แต่หลักการบริหารที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วไม่เคยเปลี่ยนตลอดระยะเวลา ๒,๕๐๐ กว่าปีเพราะสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้นั้นคือสัจธรรม เป็นความจริงที่อยู่คู่โลก มีหัวใจสำคัญอยู่ที่ “หลักธรรมาธิปไตย” คือ ยึดถือธรรมและความถูกต้องเป็นใหญ่

ผู้บริหารควรยึดถือตามหลักความจริง เพราะหากยึดถือเพียงประโยชน์ส่วนตนหรือหมู่คณะเป็นหลักการตัดสินใจก็จะผิดเพี้ยน นำพาองค์กรไปสู่ความล้มเหลวในที่สุด

@@@@@@@

สิ่งบั่นทอนที่จะทำให้เราไม่สามารถยึดถือธรรม หรือความถูกต้องเป็นหลักได้ ได้แก่ ตัณหา มานะและทิฏฐิ ทั้งหมดนี้รวมเรียกว่า “ปปัญจธรรม ๓” แปลว่า “ธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า” ซึ่งเป็นตัวถ่วงความเจริญ เหตุที่ทำให้ผู้บริหารไม่ยึดถือธรรมเป็นใหญ่เกิดจาก

“ตัณหา” คือ ความอยาก เช่น อยากได้ประโยชน์ส่วนตน เกิดผลประโยชน์แอบแฝง การตัดสินใจจึงเบี่ยงเบนเพื่อเอาประโยชน์เข้าตัวหรือหมู่คณะ

“มานะ” คือ ความถือตัว เรามักจะเรียกคู่กับคำว่า “ทิฏฐิ” แต่ตัวมานะจริง ๆ คือ ความถือตัว ยิ่งโตเป็นผู้ใหญ่ ความถือตัวก็จะยิ่งมีมากขึ้น พอมีอำนาจมาก ความถือตัวนี้จะยิ่งเกิดขึ้นมาก เกิดโอกาสผิดพลาดสูง ผู้นำที่ยังใช้ตาดูหูฟัง ยอมรับความคิดเห็นจากผู้คนรอบข้าง ถ้ามองในแง่ธุรกิจย่อมรอด

“ทิฏฐิ” คือ ความดื้อดึง ถึงจะรู้ว่าตนเองผิดพลาดแต่กลัวเสียหน้า ใครขัดไม่ได้ ดึงดัน ยืนกรานว่าตนเองถูกต้อง แล้วผลเสียก็เกิดตามมามากขึ้น

พระสัมมาสัมพุทธตรัสว่า “ทิฏฐิ” เป็นหนึ่งใน “ปปัญจธรรม” ที่ถ่วงความเจริญ ถ้าเราอยากให้องค์กรเจริญรุ่งเรือง ก็ต้องถือธรรมเป็นใหญ่ ระมัดระวังตัณหา มานะ ทิฏฐิ อย่าปล่อยให้ ๓ ตัวนี้กำเริบ


@@@@@@@

ผู้นำองค์กรยังมีกิเลส แม้แต่คณะสงฆ์ซึ่งไม่ใช่พระอรหันต์ทั้งหมดก็ยังไม่หมดกิเลส พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงตรัสไว้ว่า “ให้ตัดสินโดยหมู่คณะ” เกิดเรื่องใดแล้วให้ประชุมสงฆ์ ตั้งญัตติ แล้วลงมติ ๓ วาระ เหมือนกับระบอบประชาธิปไตย ที่ต้องมีการลงมติถึง ๓ วาระในรัฐสภาก่อนจึงจะผ่านการบวชพระที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้ ในปัจจุบัน เรียกว่า “ญัตติจตุตถกรรมวาจา”

คือ มีการตั้งญัตติ ๑ ครั้ง แล้วพระคู่สวดสวดถาม ๓ รอบว่าบุคคลผู้นี้จะขอบวชโดยมีพระอุปัชฌาย์ชื่อนี้สงฆ์เห็นควรประการใด เมื่อตรวจสอบคุณสมบัติพื้นฐานผ่านแล้วโดยไล่มาตามพระวินัย ถ้าคณะสงฆ์เห็นชอบ ก็ขอให้นิ่ง วาระที่ ๑ วาระที่ ๒ และวาระที่ ๓ ถ้าเห็นชอบเป็นเอกฉันท์จึงผ่าน ซึ่งระบบรัฐสภาทั่วโลกเลียนแบบมาจากหลักการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงวางไว้ ๒,๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว

เมื่อมนุษย์ยังไม่หมดกิเลส หากให้อำนาจอยู่กับบุคคลเดียว อาจจะเกิดความเสียหายได้ เพราะฉะนั้นดีที่สุดต้องให้โปร่งใสโดยตัดสินด้วยหมู่คณะ ใช้หลัก “โลกาธิปไตย” โดยหมู่คณะ เน้นเสียงส่วนใหญ่ยึดหลักประชาธิปไตยดีที่สุด

ถ้าบุคคลมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่สามารถตรวจสอบได้บุคคลนั้นย่อมมีแนวโน้มที่จะใช้อำนาจตามอำเภอใจ ใช้อำนาจอย่างไม่ระมัดระวัง อยากทำอะไรก็ทำ เพราะตัดสินทุกอย่างได้เอง คนอื่นตรวจสอบไม่ได้

แต่ถ้ามีการตรวจสอบได้ บุคคลนั้นก็จะระมัดระวังในการใช้อำนาจตัดสินใจมากขึ้น ธรรมชาติของมนุษย์ที่ยังไม่หมดกิเลสเป็นอย่างนี้เอง เพราะฉะนั้น ต้องยึดหลักการตัดสินด้วยหมู่คณะ แล้วทำทุกอย่างให้โปร่งใส ถ้าอย่างนี้ก็จะเป็นตัวช่วยให้ตัณหา มานะ ทิฏฐิอ่อนแรงลง ควบคุมอยู่ แล้วทำให้องค์กรเจริญก้าวหน้าต่อไปได้

         เจริญพร




Thank to ; https://today.line.me/th/v2/article/8nDL5mM
LINE TODAY SHOWCASE ,เผยแพร่ 01 ก.พ. เวลา 18.00 น. • พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ