สมาธิเพื่อชีวิต สมาธิไม่ใช่การนั่งหลับตาเท่านั้น : หลวงพ่อพุธ ฐานิโย"สมาธิเพื่อชีวิต"... มอบธรรม นำพร ๒๕๓๔ พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา หนังสือ ฐานิยบูชา ๒๕๔๔ - ๘๐ ปี หลวงพ่อพุธ หน้า ๗-๒๔
สมาธิตามธรรมชาติ
คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นคำสอนของปัญญาชนไม่ใช่เป็นคำสอนของบุคคลผู้เชื่อในสิ่งที่ไม่มีเหตุผลด้วยความงมงายศาสนาพุทธสอนให้คนเรียนให้รู้ธรรมชาติและกฎของธรรมชาติถ้าใครจะถามว่าธรรมะคืออะไร ? ธรรมะ ก็คือ ธรรมชาติธรรมชาติคืออะไร ? ก็คือ กายกับใจของเรา
สมาธิแบบพระพุทธเจ้า การกำหนดรู้เรื่องชีวิตประจำวันนี่เป็นเหตุเป็นปัจจัยสำคัญ สำคัญยิ่งกว่าการนั่งหลับตาสมาธิสอนสมาธิต้องสอนสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุด ความรู้เห็นอะไรที่เขาอวดๆ กันนี่อย่าไปสนใจเลย ให้มันรู้เห็นจิตของเรานี่ รู้กายของเรารู้ว่าธรรมชาติของกายอย่างหยาบๆ มันต้องมีการเปลี่ยนอิริยาบถอยู่เสมอยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด อันนี้คือความจริงของกาย
สมาธิ.....เพื่ออะไร
ปัญหาสำคัญของการฝึกสมาธินี่บางทีเราอาจจะเข้าใจไขว้เขวไปจากหลักความจริงสมาธิอย่างหนึ่ง เราฝึกเพื่อให้จิตสงบนิ่งสมาธิอย่างหนึ่ง เราฝึกเพื่อให้มีสติสัมปชัญญะรู้ทันเหตุการณ์นั้นๆ ในขณะปัจจุบันสมาธิบางอย่าง เราปฏิบัติเพื่อให้เกิดความรู้ความเห็นภายในจิตเช่น รู้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ รู้เรื่องอดีต อนาคต
รู้อดีต หมายถึงรู้ชาติในอดีตว่าเราเกิดเป็นอะไรรู้อนาคต หมายถึงว่าเมื่อเราตายไปแล้วเราจะไปเป็นอะไรอันนี้เป็นการปฏิบัติเพื่อรู้อดีต เป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้วอนาคตก็เป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึงดังนั้น เราสนใจอยู่ในสิ่งที่เป็นปัจจุบันดีไหม
ที่ครูบาอาจารย์สอนว่า ทำกรรมฐานไปเห็นโน่นเห็นนี่นี่มันใช้ไม่ได้ ให้มันเห็นใจเราเองซิอย่าไปเข้าใจว่าทำสมาธิแล้วต้องเห็นนรกต้องเห็นสวรรค์ ต้องเห็นอะไรต่อมิอะไรสิ่งที่เราเห็นในสมาธิมันไม่ผิดกันกับที่เรานอนหลับแล้วฝันไปแต่สิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้ ต้องเห็นนี่ คือเห็นกายของเราเห็นใจของเรา
หลักสากลของการปฏิบัติสมาธิ
การบำเพ็ญสมาธิจิตเพื่อให้เกิดสมาธิ สติ ปัญญามีหลักที่ควรยึดถือว่าทำจิตให้มีอารมณ์สิ่งรู้ สติให้มีสิ่งระลึกจิตนึกรู้สิ่งใดให้มีสติสำทับเข้าไปที่ตรงนั้นยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิดเป็นอารมณ์จิต ฝึกสติให้รู้อยู่ตลอดเวลา
ไม่ว่าใครจะทำอะไร มีสติตัวเดียวเวลานอนลงไป จิตมันมีความคิดอย่างใดปล่อยให้มันคิดไปแต่ให้มีสติตามรู้ไปจนกว่าจะนอนหลับอันนี้เป็นวิธีการทำสมาธิตามหลักสากล
ถ้ามีใครมาถามว่า ทำสมาธินี่คือทำอย่างไร ? คำตอบมันก็ง่ายนิดเดียว การทำสมาธิคือการทำจิตให้มีสิ่งรู้ ทำสติให้มีสิ่งระลึกหมายความว่า เมื่อจิตของเรานึกถึงสิ่งใดให้มีสติสำทับไปที่ตรงนั้น เรื่องอะไรก็ได้ถ้าเอากันเสียอย่างนี้ เราจะรู้สึกว่าเราได้ทำสมาธิอยู่ตลอดเวลา
สมาธิ.....ไม่ใช่การนั่งหลับตาเท่านั้น
ถ้าหากไปถือว่าสมาธิคือการนั่งหลับตาอย่างเดียวมันก็ถูกกับความเห็นของคนทั้งหลายที่เขาแสดงออกแต่ถ้าเราจะคิดว่าอารมณ์ของสมาธิคือ การยืน เดิน นั่ง นอนรับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ไม่ว่าเราจะทำอะไรมีสติสัมปชัญญะรู้อยู่กับเรื่องปัจจุบัน คือเรื่องชีวิตประจำวันนี้เองเราจะเข้าใจหลักการทำสมาธิอย่างกว้างขวาง
และสมาธิที่เราทำอยู่นี่ จะรู้สึกว่านอกจากจะไปนั่งหลับตาภาวนา หรือเพ่งดวงจิตแล้วออกจากที่นั่งมา เรามีสติตามรู้ การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด แม้ว่าเราจะไม่นั่งสมาธิอย่างที่พระท่านสอนก็ได้เพราะว่าเราฝึกสติอยู่ตลอดเวลา เวลาเรานอนลงไปคนมีความรู้ คนทำงาน ย่อมมีความคิดในช่วงที่เรานอนนั่นแหละ เราปล่อยให้จิตเราคิดไปแต่เรามีสติตามรู้ความคิดจนกระทั่งนอนหลับ
ถ้าฝึกต่อเนื่องกันทุกวันๆ เราจะได้สมาธิอย่างประหลาดนี่ถ้าเราเข้าใจกันอย่างนี้ สมาธิจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานไม่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างสรรค์โลกให้เจริญแต่ถ้าหากจะเอาสมาธิมุ่งแต่ความสงบอย่างเดียวมันจะเกิดอุปสรรคขึ้นมาทันทีแม้การงานอะไรต่างๆ มองดูผู้คนนี่ขวางหูขวางตาไปหมดอันนั้นคือสมาธิแบบฤาษีทั้งหลาย
ทำสมาธิถูกทาง ไม่หนีโลก ไม่หนีปัญหา
ผู้ที่มีจิตเป็นสมาธิที่ถูกต้องนี่สมมุติว่ามีครอบครัวจะต้องรักครอบครัวของตัวเองมากขึ้นหนักเข้าความรักมันจะเปลี่ยน เปลี่ยนจากความรักอย่างสามัญธรรมดากลายเป็นความเมตตาปรานี ในเมื่อไปเผชิญหน้ากับงานที่ยุ่งๆเมื่อก่อนรู้สึกว่ายุ่ง แต่เมื่อปฏิบัติแล้ว ได้สมาธิแล้ว งานมันจะไม่ยุ่ง
พอประสบปัญหาเข้าปุ๊บจิตมันจะปฏิวัติตัวพิจารณาหาทางแก้ไขปัญหาต่างๆซึ่งมันจะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติทีนี้บางทีพอเราหยิบปัญหาอะไรขึ้นมาเรามีแบบแผนตำรายกขึ้นมาอ่าน พออ่านจบปั๊บจิตมันวูบวาบลงไปปัญหาที่เราข้องใจจะแก้ได้ทันทีอันนี้คือสมาธิที่สัมพันธ์กับชีวิตประจำวัน
แต่สมาธิอันใดที่ไม่สนใจกับเรื่องชีวิตประจำวันหนีไปอยู่ที่หนึ่งต่างหากของโลกแล้วสมาธิอันนี้ทำให้โลกเสื่อม และไม่เป็นไปเพื่อทางตรัสรู้ มรรค ผล นิพพานด้วย
ทุกคนเคยทำสมาธิมาแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างเราสำเร็จมาเพราะพลังของสมาธิ ไม่มีสมาธิ เรียนจบปริญญามาได้อย่างไร ไม่มีสมาธิ สอนลูกศิษย์ลูกหาได้อย่างไร ไม่มีสมาธิ ทำงานใหญ่โตสำเร็จได้อย่างไร ไม่มีสมาธิ ปกครองบ้านเมืองได้อย่างไร
พวกเราเริ่มฝึกสมาธิมาตั้งแต่พี่เลี้ยงนางนมพ่อแม่สอนให้เรารู้จักกิน รู้จักนอน รู้จักอ่านรู้จักคนโน้นคนนี้ จุดเริ่มต้นมันมาแต่โน่นทีนี้พอมาเข้าสู่สถาบันการศึกษาเราเริ่มเรียนสมาธิอย่างจริงจังขึ้นมาแล้ว
แต่เมื่อเรามาพบพระคุณเจ้า หลวงพ่อ หลวงพี่ทั้งหลายนี้ท่านจะถามว่า “เคยทำสมาธิไหม”จึงทำให้พวกเราทั้งหลายเข้าใจว่าเราไม่เคยทำสมาธิ ไม่เคยปฏิบัติสมาธิมาก่อนเพราะท่านไปขีดวงจำกัดการทำสมาธิเฉพาะเวลานั่งหลับตาอย่างเดียว
ไม่เป็นชาววัดก็ทำสมาธิได้
ใครที่ยังไม่มีโอกาสจะเข้าวัดเข้าวามานั่งสมาธิหลับตาอย่างที่พระท่านชักชวนการปฏิบัติสมาธิเอากันอย่างนี้ ยืน เดิน นั่ง นอนรับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ให้มีสติอยู่ตลอดเวลาทุกคนได้ฝึกสมาธิมาตามธรรมชาติแล้วตั้งแต่เริ่มรู้เดียงสามาทีนี้เรามาเริ่มฝึกใหม่ นี่เป็นการเสริมของเก่าที่มีอยู่แล้วเท่านั้นอย่าไปเข้าใจผิด
ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด เป็นอารมณ์ของจิตเราทำให้สิ่งเหล่านี้ให้มีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาเท่านั้นเวลานอนลงไป จิตมันคิดอะไร ให้มันคิดไปให้มีสติไล่ตามรู้มันไปจนกระทั่งนอนหลับปฏิบัติต่อเนื่องทุกวัน แล้วท่านจะได้สมใจอย่างไม่คาดฝัน
ในขณะทำงาน กำหนดสติรู้อยู่กับงานเวลาคิด ทำสติรู้อยู่กับการคิดโดยถือการทำงาน การคิด เป็นอารมณ์ของจิตโดยธรรมชาติของจิต ถ้ามีสิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก จิตย่อมสงบ มีปีติ สุข เอกัคคตาได้ ในโอกาสใดโอกาสหนึ่งจนได้ ถ้าผู้ปฏิบัติตั้งใจทำจริง
นักธุรกิจทำสมาธิกับการงาน
มีผู้หญิงมาหาหลวงพ่อแล้วมาบอกว่า“หลวงพ่อหนูอยากจะฝึกสมาธิ แต่หนูนั่งสมาธิไม่เป็น”หลวงพ่อก็บอกว่า “คุณนั่งไม่เป็นก็ไม่ต้องนั่ง ให้ฝึกสติให้มันรู้อยู่กับการยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด”
ทีนี้เมื่อสมาธิมันเกิดขึ้นเพราะการปฏิบัติอย่างนี้ ภายหลังมานี่ความรู้สึกมันก็รู้สึกว่า เราทำอะไร พูด คิดอะไร มันเป็นสมาธิทั้งนั้นมันก็ไปสอดคล้องกันเอง มองเห็นงานที่มันเคยยุ่งๆ ตั้งแต่ก่อนเมื่อมีสมาธิดีแล้ว ไปประสบความยุ่งเหยิงอย่างนั้นจิตมันรู้สึกว่ามันไม่ยุ่ง มันสามารถแก้ไขปัญหาของมันได้
อย่างบางทีพอติดปัญหาปั๊บ กำหนดจิตมันวูบวาบไปปัญญาที่จะแก้ไขปัญหานั้นมันก็เกิดขึ้นแม้แต่เกี่ยวกับเรื่องงานเรื่องการก็เหมือนกันอันนี้เราไปติดอยู่ตรงที่ว่า อย่าไปคิดเรื่องโลกให้คิดแต่เรื่องธรรม แต่ความจริงโลกน่ะเป็นอารมณ์ของจิต
ในเมื่อจิตตัวนี้รู้ความจริงของโลกแล้วมันจะปลีกตัวไปลอยเด่นอยู่เหนือโลกและมันอาศัยโลกนั่นแหละ เป็นบันไดเหยียบไปสู่จุดที่อยู่เหนือโลกโลกทั้งหลายนี่เป็นอารมณ์ของจิต กายและใจของเราก็เป็นโลก
สถานการณ์และสิ่งแวดล้อมทั้งหลายที่เราประสบอยู่เป็นเรื่องชีวิตประจำวันของโลก ในเมื่อเรามาฝึกสติให้รู้ทันโลกอันนี้แล้วจิตมันจะรู้แจ้งเห็นจริงในความเป็นจริงของโลก มันก็ปล่อยวางถึงแม้ว่ามันจะอยู่กับโลก มันก็แตะๆ แตะๆ มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างนี่เป็นแต่เพียงหน้าที่เท่านั้น แล้วมันจะจัดสรรตัวมันเองว่าเรามีหน้าที่อย่างไรควรจะรับผิดชอบอย่างไร มันจะปฏิบัติหน้าที่ไปตามหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา
(ติดตามอ่านตอนต่อไป)คัดลอกจากหนังสือ ฐานิยบูชา ๒๕๔๔ - ๘๐ ปี หลวงพ่อพุธ (พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา) หน้า ๗-๒๔
ขอบคุณ :
https://www.naewna.com/likesara/638490วันจันทร์ ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565, 19.06 น.
ทำสมาธิโดยการบริกรรมภาวนา 'พุทโธ'กับ'การตามรู้จิต'คือหลักเดียวกัน : หลวงพ่อพุธ ฐานิโย(ต่อจากตอนที่แล้ว) ขณะนี้นักเรียนทั้งหลายกำลังเรียน ปัญหาสำคัญอยู่ตรงที่ว่าทำอย่างไรเราจึงจะได้พลังของสมาธิ พลังของสติเพื่อสนับสนุนการศึกษาหลวงตาจะสอนวิธีทำสมาธิในห้องเรียน สมมุติว่าขณะนี้หลวงตาเป็นครูสอนพวกเธอทั้งหลาย ให้พวกเธอทั้งหลายเพ่งสายตามาที่หลวงตาส่งใจมาที่หลวงตาแล้วก็สังเกตดูให้ดีว่าหลวงตาทำอะไรบ้างหลวงตายกมือหนูก็รู้ เขียนหนังสือให้หนูรู้ พูดอะไรให้หนูตั้งใจฟัง
นักเรียน นักศึกษาทำสมาธิในการเรียน
ถ้าสังเกตจนกระทั่งกระพริบหูกระพริบตาได้ยิ่งดี เวลาเข้าห้องเรียนให้เพ่งสายตาไปที่ตัวครู ส่งใจไปที่ตัวครู อย่าเอาใจไปอื่น เพียงแค่นี้วิธีการทำสมาธิในห้องเรียน ถ้าพวกหนูๆ จำเอาไปแล้วปฏิบัติตามจะได้สมาธิตั้งแต่เป็นนักเรียนเล็กๆ ชั้นอนุบาล
ในตอนแรกนี่ การควบคุมสายตาและจิตไปไว้ที่ตัวครูนี่อาจจะลำบากหน่อย แต่ต้องพยายามฝึก ฝึกจนคล่องตัวชำนิชำนาญภายหลังแม้เราจะไม่ตั้งใจ พอเห็นใครเดินผ่านหน้ามันจะจ้องเอาๆพอมาเข้าห้องเรียนแล้วพอครูเดินเข้ามาในห้องสายตามันจะจ้องปั๊บ ใจมันก็จะจดจ่ออยู่ตรงนั้น หนูลองคิดดูซิว่าการที่มองที่ครู และเอาใจใส่ตัวครูนี่ เราเรียนหนังสือเราจะเข้าใจดีไหมลองคิดดู ทีนี้เมื่อฝึกจนคล่องตัวชำนิชำนาญแล้ว สายตามันยังจ้องอยู่ที่ตัวครู
แต่ใจจะมาอยู่ที่ตัวเราเอง มาตอนนี้ครูท่านสอนอะไรพอท่านพูดจบประโยคนั้น ใจของเรารู้ล่วงหน้าแล้วว่าต่อไปท่านพูดอะไรเวลาไปสอบ อ่านคำถามจบ ใจของเราจะวูบวาบแล้วคำตอบมันจะผุดขึ้นอันนี้เป็นสูตรทำสมาธิที่หลวงพ่อทำได้ผลมาแล้ว
หลวงพ่อทำสมาธิในการเรียนสมัยเป็นเณร
อาจารย์องค์นั้นชื่อ อาจารย์สุวรรณ สุจิณฺโณ ลูกศิษย์ต้นของหลวงปู่มั่น เห็นหลวงพ่อถือหนังสือเดินท่องไปท่องมาแบบเดินจงกรม ท่านก็ทักว่า “เณร ถ้าจะเรียนก็ตั้งใจเรียน จะปฏิบัติก็ตั้งใจปฏิบัติจับปลาสองมือมันไม่สำเร็จหรอก”
ที่นี้เราก็อุตริคิดขึ้นมาว่า“เอ๊ หลักของการเพ่งกสิณนี่ ปฐวีกสิณ เพ่งดิน อาโป เพ่งน้ำวาโย เพ่งลม เตโช เพ่งไฟ อากาศ เพ่งอากาศ วิญญาณ เพ่งวิญญาณในตัวครูนี่มีกสิณครบ ทั้งดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณเราจะเอาตัวครูเป็นเป้าหมายของจิต ของอารมณ์เอาตัวครูเป็นอารมณ์ของจิต เป็นที่ตั้งของสติ เอามันที่ตรงนี้แหละ
การเรียนคือการปฏิบัติธรรม
วิชาความรู้ที่นักศึกษาเรียนกันอยู่ในปัจจุบันนี่มันเป็นสิ่งที่เราสามารถรู้ด้วยจิตใจ สิ่งใดที่เราสามารถรู้ด้วยจิตใจสิ่งนั้นคือสภาวธรรม สภาวธรรมอันนี้มันทำให้เราดีใจเสียใจเพราะมันเราท่องหนังสือไม่ได้ เราเกิดเสียใจน้อยใจตัวเองหนังสือที่เราท่องนั่นคือสภาวธรรม เราจำไม่ได้นั่นคือสิ่งที่มันไม่เป็นไปตามความปรารถนา มันเข้าในหลักอนัตตา
บางทีอยู่ดีๆ เกิดเจ็บไข้ เราไปวิทยาลัยของเราไม่ได้มันก็ส่อถึงอนัตตา อนิจจัง ทุกขังนั่นเอง เพราะฉะนั้นเมื่อเรามาฝึกสติสัมปชัญญะของเรานี้ ให้มันรู้พร้อมอยู่กับปัจจุบันมันเป็นการปฏิบัติธรรม เดินเรารู้ ยืนเรารู้ นั่งเรารู้ นอนรับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด เรารู้ เอาตัวรู้คือสติตัวเดียวเท่านั้น
แม้ในขณะที่เราเรียนหนังสืออยู่เราตั้งใจจดจ่อต่อการเรียนในปัจจุบันนั้น นั่นก็เป็นการปฏิบัติสมาธิทีนี้ความรู้ ความเห็น ที่เราจะพึงทำความเข้าใจ มันอยู่ที่ตรงไหนมันอยู่ที่กายกับใจของเรานี่ ทำอย่างไรกายของเราจึงจะมีสุขภาพอนามัยเข้มแข็ง ทำอย่างไรจิตใจของเราจึงจะปลอดโปร่งเมี่อมีปัญหาขึ้นมา ทำอย่างไรเราจึงจะมีสติปัญญาแก้ไขปัญหาหัวใจของเราได้ นี่มันอยู่ที่ตรงนี้ที่เราจำเป็นต้องเรียนให้มันรู้
ทำสมาธิในการเรียนได้ผลอย่างไร
นักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย เป็นนักศึกษาในทุนที่หลวงพ่อส่งไปเรียนเอง ตอนแรกเขาไม่อยากจะไปเรียน เพราะเขาคิดว่ามันสมองของเขาไม่สามารถจะเรียนระดับมหาวิทยาลัยได้หลวงพ่อก็เคี่ยวเข็นให้เขาไป ในเมื่อเขารับปากว่าจะไปเรียนหลวงพ่อก็บอกว่า “หนูไปเรียนมหาวิทยาลัยต้องฝึกสมาธิด้วย”เขาก็เถียงว่า “จะให้ไปเรียนมหาวิทยาลัยแล้วต้องให้ทำสมาธิ จะเอาเวลาที่ไหนไปเรียน”
มันเกิดมีปัญหาขึ้นมาอย่างนี้ หลวงพ่อก็ให้คำแนะนำว่าการฝึกสมาธิแบบนี้ไม่ขัดต่อการศึกษา หลวงพ่อก็ให้คำแนะนำเบื้องต้นว่า “เมื่อเวลาหนูเข้าไปอยู่ในห้องเรียนให้กำหนดจิตให้มีสติรู้อยู่ที่จิตของตัวเอง ถ้าหากมีจุดใดจุดหนึ่งที่จะต้องเพ่งมองก็เพ่งมองไปที่จุดนั้น เช่น กระดานดำ เป็นต้นเมื่ออาจารย์เดินเข้ามาในห้องเรียน ให้เอาความรู้สึกและสายตาทั้งหมดไปรวมอยู่ที่ตัวอาจารย์ ให้มีสติรู้อยู่ที่ตัวอาจารย์เพียงอย่างเดียว อย่าส่งใจไปอื่น”
เขาใช้เวลาเรียนเพียง ๔ ปีก็จะจบแล้ว ทีแรกเขาคิดว่าเขาอาจจะเรียนถึง ๖ ปีกว่าจะเอาให้จบได้ แต่มันก็ผิดคาดทุกสิ่งทุกอย่างมันเปลี่ยน ความรู้สึกว่ามันสมองไม่ดีมันเปลี่ยนเป็นดีขึ้นมาหมดก็เป็นอันว่าเขาสามารถฝึกสมาธิ ให้จิตมีสมาธิ มีสติสัมปชัญญะเพื่อเป็นการสนับสนุนการศึกษาที่เขาเรียนอยู่ในปัจจุบันได้
ถ้านักศึกษาพยายามฝึกสมาธิแบบนี้ ผลพลอยได้จากการฝึกความเคารพ ความเอาใจใส่ ความกตัญญูกตเวทีความรู้สึกซึ้งในพระคุณของครูบาอาจารย์มันจะฝังลึกลงสู่จิตใจเราจะกลายเป็นคนกตัญญูกตเวที ไม่อาจลบหลู่ดูหมิ่นครูบาอาจารย์ได้เมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็มีแต่ความเคารพบูชาในครูบาอาจารย์ลูกศิษย์ที่มีความเคารพในครูบาอาจารย์การเรียนก็ทำให้เรียนได้ดีเกินกว่าที่เราคาดคิด
ช่างประดิษฐ์ทำสมาธิในการประดิษฐ์
เมื่อไม่นานมานี้ มีคฤหบดีท่านหนึ่งอุตส่าห์นั่งรถมาจากกรุงเทพฯพอมาถึงเขาก็มาบอกหลวงพ่อว่า “ผมจะมาขอขึ้นครูกรรมฐานกับท่านได้ทราบว่าท่านสอนกรรมฐานเก่ง”
หลวงพ่อก็ถามว่า “คุณมีอาชีพอะไร”เขาตอบว่า “ผมมีอาชีพในการประดิษฐ์สิ่งของขาย”
“ไหนคุณลองเล่าดูซิว่าขณะที่คุณประดิษฐ์สิ่งของขายนั่นน่ะคุณคิดประดิษฐ์ของคุณอยู่นั่น มันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง”
เขาก็เล่าให้ฟังโดยยกตัวอย่างว่า“สมมุติว่าผมจะสร้างตุ๊กตาสักตัวหนึ่งผมก็มาคิดว่าจะทำใบหน้าอย่างนั้น ทรงผมอย่างนี้รูปร่างลักษณะอย่างนั้นอย่างนี้ ผมก็คิดไปตามที่ผมจะคิดได้คิดไปคิดมามันมีอาการเคลิ้ม เหมือนกับจะง่วงนอนแล้วก็มีอาการหลับวูบลงไป รู้สึกหลับไปพักหนึ่งในขณะที่รู้สึกหลับไปพักหนึ่งนั่น จิตก็เกิดสว่างมองเห็นภาพตุ๊กตา ที่คิดจะสร้างลอยอยู่ข้างหน้าที่นี้จิตก็ดูของมันอยู่จนกระทั่งแน่ใจแล้วก็ถอนขึ้นมาตื่นขึ้นมาจากภวังค์”
ในช่วงที่จิตมันวูบนั่น นอนหลับไปแล้วเกิดฝันขึ้นมาฝันเห็นตุ๊กตาลอยอยู่ต่อหน้า เขาก็มาสร้างตุ๊กตาตามที่เขาฝันเห็นเมื่อสร้างเสร็จแล้ว ส่งออกขายในท้องตลาดก็เป็นที่นิยมแก่ลูกค้า
หลวงพ่อก็บอกว่า “คุณ คุณทำสมาธิเก่งแล้ว คุณไม่ต้องมาขึ้นครูกรรมฐานกับฉันก็ได้ ให้คุณทำสมาธิด้วยการประดิษฐ์ตุ๊กตาของคุณต่อไป นั่นแหละคือสมาธิที่คุณต้องการจะเรียนจากฉันถ้าคุณต้องการจะให้สมาธิของคุณดียิ่งขึ้น ให้คุณสมาทานศีล ๕ เสียแล้วสมาธิของคุณจะเป็นไป เพื่อการละความชั่วประพฤติความดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาดได้”
ทำสมาธิโดยการบริกรรมภาวนา
หมายถึงการท่องคำบริกรรมภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่งเช่น พุทโธ ยุบหนอพองหนอ สัมมาอรหัน เป็นต้นผู้ภาวนาท่องบริกรรมภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่งจนจิตสงบประกอบด้วยองค์ฌาณ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตาจิตสงบจนกระทั่งตัวหาย ทุกสิ่งทุกอย่างหายไป
เหลือแต่จิตที่สงบนิ่งสว่างอยู่ ความนึกคิดไม่มีเมื่อจิตถอนออกจากสมาธิ พอรู้สึกว่ามีกาย ความคิดเกิดขึ้นให้กำหนดสติตามรู้ทันที อย่ารีบออกจากที่นั่งสมาธิถ้าปฏิบัติอย่างนี้จะได้ปัญญาเร็วขึ้นในช่วงนี้ถ้าเราไม่รีบออกจากสมาธิ ออกจากที่นั่งเราก็ตรวจดูอารมณ์จิตของเราเรื่อยไป โดยไม่ต้องไปนึกอะไรเพียงแต่ปล่อยให้จิตมันคิดของมันเอง อย่าไปตั้งใจคิด
ที่นี้พอออกจากสมาธิมาแล้ว พอมันคิดอะไรขึ้นมาก็ทำใจดูมันให้ชัดเจน ถ้าจิตมันคิดไปเรื่อยๆ ก็ดูมันไปเรื่อยๆจะคิดไปถึงไหนช่างมัน ปล่อยให้มันคิดไปเลยเวลาคิดไป เราก็ดูไปๆๆๆ มันจะรู้สึกเคลิบเคลิ้มในความคิดแล้วจะเกิดกายเบา จิตเบา กายสงบ จิตสงบ , กายเบา กายสงบ ได้กายวิเวก จิตเบา จิตสงบ ได้จิตวิเวกทีนี้จิตสงบแล้ว จิตเป็นปกติได้ก็ได้อุปธิวิเวกในขณะนั้น
บริกรรมพุทโธกับการตามรู้จิตคือหลักเดียวกัน
ภาวนาพุทโธเอาไว้ พอจิตมันอยู่กับพุทโธก็ปล่อยให้มันอยู่ไปพอทิ้งพุทโธแล้วไปคิดอย่างอื่น ปล่อยให้มันคิดไปแต่ให้มีสติตามรู้.....พุทโธที่เรามาท่องเอาไว้
๑. เพื่อระลึกถึงพระบรมครู
๒. เพื่อกระตุ้นเตือนจิตให้เกิดความคิดเอง
ทีนี้เมื่อจิตทิ้งพุทโธปั๊บ มันไปคิดอย่างอื่นขึ้นมาได้แสดงว่าเขาสามารถหาเหยื่อมาป้อนให้ตัวเองได้แล้วเราก็ไม่ต้องกังวลที่จะหาอารมณ์มาป้อนให้เขาปล่อยให้เขาคิดไปตามธรรมชาติของเขาหน้าที่ของเรามีสติกำหนดตามรู้อย่างเดียวเท่านั้นนี่หลักการปฏิบัติเพื่อจะได้สมาธิสัมพันธ์กับชีวิตประจำวัน ต้องปฏิบัติอย่างนี้
อย่าข่มจิตถ้าจิตอยากคิด
ถ้าเราภาวนาพุทโธๆ แม้ว่าจิตสงบเป็นสมาธิถึงขั้นละเอียดถึงขั้นตัวหาย เมื่อสมาธินี้มันจะได้ผลไปตามแนวทางแห่งการปฏิบัติเพื่อมรรค ผล นิพพานภายหลังจิตที่เคยสงบนี้มันจะไม่ยอมเข้าไปสู่ความสงบมันจะมาป้วนเปี้ยนแต่การยืน เดิน นั่ง นอนรับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ซึ่งอันนี้ก็เป็นประสบการณ์ที่หลวงพ่อเองประสบมาแล้วพยายามจะให้มันเข้าไปสู่ความสงบอย่างเคย มันไม่ยอมสงบ
ยิ่งบังคับเท่าไรยิ่งดิ้นรน นอกจากมันจะดิ้นแล้วอิทธิฤทธิ์ของมันทำให้เราปวดหัวมวนเกล้าร้อนผ่าวไปทั้งตัว เพราะไปฝืนความเป็นจริงของมันทีนี้ภายหลังมาคิดว่า แกจะไปถึงไหน ปรุงไปถึงไหน เชิญเลยฉันจะตามดูแก ปล่อยให้มันคิดไป ปรุงไป ก็ตามเรื่อยไป
ทีนี้พอไปๆ มาๆ ตัวคิดมันก็คิดอยู่ไม่หยุด ตัวสติก็ตามไล่ตามรู้กันไม่หยุด พอคิดไปแล้ว มันรู้สึกเพลินๆในความคิดของตัวเอง มันคล้ายๆ กับ ว่ามันห่างไกลไกลไปๆๆ เกิดความวิเวกวังเวง กายเบาจิตเบา กายสงบ จิตสงบ และพร้อมๆ กันนั้นน่ะทั้งๆ ที่ความคิดมันยังคิดไวเร็วปรื๋อจนแทบจะตามไม่ทัน ปีติและความสุขมันบังเกิดขึ้นแล้วทีนี้มันก็มีความเป็นหนึ่ง คือ จิตกำหนดรู้อยู่ที่จิต
ความคิดอันใดเกิดขึ้นกับจิตสักแต่ว่าคิด คิดแล้วปล่อยวางไปๆ มันไม่ได้ยึดเอามาสร้างปัญหาให้ตัวเองเดือดร้อนแล้วในที่สุดเมื่อมันตัดกระแสแห่งความคิดแล้ว มันวูบวาบๆเข้าไปสู่ความสงบนิ่งจนตัวหายเหมือนอย่างเคย จึงได้ข้อมูลขึ้นมาว่า.....อ๋อ ธรรมชาติของมันเป็นอย่างนี้ ศีลอบรมสมาธิสมาธิอบรมปัญญา ปัญญาอบรมจิต
ความคิดอันใดที่สติรู้ทันทุกขณะจิต ความคิดอันนั้นคือปัญญาในสมาธิเป็นลักษณะของจิตเดินวิปัสสนา พร้อมๆ กันนั้นถ้าจะนับตามลำดับขององค์ฌาน ความคิด เป็นตัววิตก สติรู้พร้อมอยู่ที่ความคิด เป็นตัววิจารเมื่อจิตมีวิตก วิจาร ปีติ และสุขย่อมบังเกิดขึ้นไม่มีปัญหา
ทีนี้ปีติเกิดขึ้นแล้ว จิตมันก็อยู่ในสภาพปกติ กำหนดรู้ความคิดที่เกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลา ก็ได้ความเป็นหนึ่ง ถ้าจิตดำรงอยู่ในสภาวะเป็นอย่างนี้ ก็เรียกว่าจิตดำรงอยู่ในปฐมฌาน คือ ฌานที่ ๑ ประกอบด้วยองค์ ๕ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
ปล่อยจิตให้คิด เกิดความฟุ้งซ่านหรือเกิดปัญญา
ความคิดที่จิตมันคิดขึ้นมาเอง เป็นวิตก สติรู้พร้อม เป็นวิจารเมื่อจิตมีวิตก วิจาร ปีติ และความสุขย่อมเกิดขึ้นไม่มีปัญหาผลที่จะเกิดจากการตามรู้ความคิด ความคิดเป็นอารมณ์สิ่งรู้ของจิตเป็นสิ่งระลึกของสติ เมื่อสติสัมปชัญญะดีขึ้น เราจะรู้สึกว่าความคิด เป็นอาหารของจิต ความคิด เป็นการบริหารจิตความคิด เป็นการผ่อนคลายความตึงเครียด
ความคิด เป็นนิมิตหมายให้เรารู้ว่าอะไรเป็นเรื่องทุกข์ เป็นอนัตตาแล้วความคิดนี่แหละมันจะมายั่วยุให้เราเกิดอารมณ์ดี อารมณ์เสียเมื่อเรามองเห็นอารมณ์ดี อารมณ์เสีย มองเห็นอิฏฐารมณ์อนิฏฐารมณ์ ที่ก่อเป็นตัวกิเลส ทีนี้เมื่อจิตมีอิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์มันก็มีสุขบ้าง ทุกข์บ้างคละกันไป
ในที่สุดก็มองเห็นทุกข์อริยสัจ ถ้าจิตมันเกิดทุกข์ขึ้น ได้สติรู้พร้อมมองเห็นทุกข์อริยสัจ ถ้าจิตมีปัญญา รู้สึกมันจะบอกว่า อ้อ !นี่คือทุกข์อริยสัจที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ แล้วมันจะดูทุกข์กันต่อไปสุข ทุกข์ ทั้งสองอย่างเกิดขึ้นสลับกันไป อันนี้คือกฎอริยสัจแล้วในที่สุดจิตมีสติมีปัญญาดีขึ้น มันจะกำหนดหมายรู้ว่านอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ
แล้วจะมองเห็นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นดับไป เกิดขึ้นดับไปอยู่อย่างนั้นยังกิญจิ สมุทย ธัมมัง สัพพันตัง นิโรธ ธัมมันติท่านอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมว่าสิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา คือจุดนี้
เส้นทางตรัสรู้ธรรมของพระพุทธเจ้า
หลักการที่พระองค์ทรงยึดเป็นหลักปฏิบัติก็คือว่า ทำจิตให้มีสิ่งรู้ทำสติให้มีสิ่งระลึก พระองค์ทำลมอานาปานสติให้เป็นสิ่งรู้ของจิตแล้วเอาสติไปจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ พระองค์ทรงทำพระสติรู้อยู่ที่ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ทำให้พระองค์ต้องรู้ความหยาบความละเอียดของลมหายใจและรู้ความเปลี่ยนแปลงของลมหายใจ
ในขณะใดที่พระองค์ไม่ได้ดูลมหายใจ พระองค์ก็กำหนดดูอารมณ์ที่เกิดขึ้นภายในจิตของพระองค์ สิ่งใดเกิดขึ้นพระองค์ก็รู้รู้ด้วยวิธีการทำสติกำหนดจิต กำหนดคอยรู้ คอยจ้องดูอารมณ์ที่เกิดดับกับจิต ในเมื่อสติสัมปชัญญะของพระองค์มีความเข้มแข็งขึ้นสามารถที่จะประคับประคองจิตใจ ให้มีความรู้ซึ้งเห็นจริงในความเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ ในสภาวะที่เป็นไปตามธรรมชาติ
คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาเมื่อรู้ว่าอารมณ์ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาอารมณ์อันใด ที่จิตของพระองค์ยังยึดถืออยู่เมื่ออารมณ์สิ่งนั้นเกิดขึ้นก็มายุแหย่ให้จิตของพระองค์เกิดความยินดี เกิดความยินร้าย ความทุกข์ก็ปรากฏขึ้นภายในจิต
ทุกข์ที่ปรากฏขึ้นภายในจิตของพระองค์ พระองค์ก็กำหนดว่านี่คือทุกข์อริยสัจ เป็นทุกข์จริงๆ หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในเมื่อรู้ว่าเป็นทุกข์จริงๆ พระองค์ก็สาวหาสาเหตุ ทุกข์นี่มันเกิดมาจากเหตุอะไรทุกข์อันนี้เกิดมาจากตัณหา ตัณหาเกิดมาจากไหนเกิดมาจากความยินดี และความยินร้าย
ความยินดีเป็นกามตัณหา ความยินร้ายเป็นวิภวตัณหาความยึดมั่นถือมั่นในความยินดียินร้ายทั้ง ๒ อย่างเป็นภวตัณหาในเมื่อจิตมีภวตัณหา มันก็ย่อมมีความทุกข์เกิดขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงทำให้พระองค์รู้ซึ้งเห็นจริงในอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อันนี้เป็นภูมิธรรมที่พระองค์ค้นคว้าพบ และตรัสรู้เองโดยชอบ
คัดลอกจากหนังสือ ฐานิยบูชา ๒๕๔๔ - ๘๐ ปี หลวงพ่อพุธ (พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา) หน้า ๗-๒๔
ขอบคุณ :
https://www.naewna.com/likesara/638757วันอังคาร ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2565, 19.16 น.