« เมื่อ: ตุลาคม 18, 2022, 07:05:36 am »
0
คืนวันไม่ผ่านไปเปล่า สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
คืนวันไม่ผ่านไปเปล่า สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) – รตฺโย อโมฆา คจฺฉนฺติ คืนวันไม่ผ่านไปเปล่า เราจะต้องทำให้วันปีใหม่ เป็นเพียง วันเริ่มต้นที่จะนำมาซึ่งความร่าเริงทั้ง 365 วัน
ปีใหม่คือเวลาใหม่ที่สดใสยังสะอาดบริสุทธิ์อยู่ จึงน่าชื่นชม น่าพึงพอใจ น่าทำจิตใจให้ร่าเริง เบิกบาน แต่การที่จะใหม่ จะสดใส ก็อยู่ที่เราทำมัน เพราะเวลานั้นเหมือนกันทุกวัน วันขึ้นปีใหม่ หรือวันท้ายปีเก่า ก็คือเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก อย่างเดิม โลกหมุนไปเรื่อยๆ เราจึงต้องทำให้ใหม่ คือ ทำจิตใจของเราให้ใหม่ อย่างน้อยให้ร่าเริงสดใส บริสุทธิ์
แต่การร่าเริงนั้นก็ต้องระวัง อย่าร่าเริงแบบโมหะ อย่าสนุกสนานแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง ให้คิด มองไปข้างหน้าว่าปีใหม่ไม่ใช่วันเดียวนะ เหลืออีกตั้ง 364 วัน จะต้องร่าเริงทั้งปี เราจะต้องทำให้วันปีใหม่ เป็นเพียงวันเริ่มต้นที่จะนำมาซึ่งความร่าเริงทั้ง 364 วัน
@@@@@@@
รู้จักใช้เวลาให้เป็นประโยชน์
ทำอย่างไรให้วันปีใหม่เป็นวันเริ่มต้นแห่งความร่าเริงตลอด 365 วัน ก็คือต้องมีจิตใจที่ประกอบด้วยความดีงาม ไม่ใช่มุ่งแต่จะสนุกสนานแบบโมหะ หลงมัวเมา เราจะต้องคิดดี ตั้งใจดี มีความเพียรพยายาม เราจะเดินหน้า เราจะสร้างสรรค์
ทำให้ชีวิตของเรามีความดีงาม ความสุขความเจริญ เราจะทำให้สังคมประเทศชาติของเรามีความดีงาม ความสุข ความเจริญ เมื่อตั้งจิตใจได้อย่างนี้ จิตใจก็ร่าเริงเบิกบาน เมื่อตั้งใจแล้ว ก็ใช้ปัญญาคิดหาทาง ปรับปรุงพัฒนาชีวิตให้เดินหน้า รู้จักใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ วันขึ้นปีใหม่เปรียบได้กับเป็นจุดท้าทายเราว่าเราจะใช้เวลาเป็นไหม เราจะสร้างความเจริญ งอกงามและความสุขได้สำเร็จหรือไม่ มงคลจะมีมาจริงหรือเปล่า
เวลาแต่ละวันอย่าให้ผ่านไปเปล่า ไม่มากก็น้อยต้องให้ได้อะไรบ้าง
ขอฝากคติที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า เวลาแต่ละวันอย่าให้ผ่านไปเปล่า ไม่มากก็น้อยก็ต้องให้ได้อะไรบ้าง คำว่าได้นั้นมีหลายแบบ บางคนก็นึกถึงการได้ทรัพย์สินเงินทอง ผลประโยชน์ บางคนก็หมายถึงได้งานได้การ บางคนก็ได้คุณธรรมพัฒนาจิตใจ บางคนก็หมายถึงได้การศึกษาเล่าเรียนพัฒนาสติปัญญาให้เจริญก้าวหน้า และถึงแม้บางคนจะไม่ได้อะไรทั้งวัน เวลาจะนอนก็ขอให้ได้จิตใจที่ผ่องใส นาทีสุดท้ายก่อนจะหลับ ขอให้หลับไปด้วยจิตใจสบายเบิกบาน ผ่องใส ปีใหม่ก็จะเป็นปีใหม่ที่ดีงาม แน่นอน
วันนี้เรายิ้มได้บ้าง หรือเปล่า.?
วันหนึ่งๆ ควรพิจารณาว่า วันนี้เรายิ้มได้บ้างหรือเปล่า ตลอดวันนี้เรามียิ้มได้บ้างไหม ถ้าพิจารณาตลอดวันแล้วยังไม่ได้ยิ้ม ต้องรีบไปยิ้มเสีย หาคนมารับยิ้มให้ได้สักครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะนอนหลับ สิ้นวันไปถ้าใจยังไม่เบิกบาน ปราโมทย์ ไม่ปลื้มปีติ สักครั้ง ต้องทำให้ได้
จงอยู่อย่างมีหลักยึดเหนี่ยวใจ อย่าเป็นคนไร้ที่พึ่ง
ความรู้สึกอ้างว้าง ว่างเปล่า เหงา เปล่าเปลี่ยว เดียวดาย อะไรต่างๆ นี่ครอบงำจิตใจของคนในสังคมปัจจุบันมาก เสร็จแล้วคนพวกนี้ก็วิ่งหนีตัวเอง ออกไปหาสิ่งภายนอกมาเติมให้กับตัวเอง สภาพอย่างนี้เรียกว่าเป็นสภาพของการที่ไม่สามารถอยู่คนเดียว หรือว่าไม่สามารถมีความสุขในการอยู่กับตนเอง
มีตนที่ฝึกดีแล้วนั่นแหละ คือได้ที่พึ่งที่หาได้ยาก
ทางพระพุทธศาสนาท่านเปลี่ยนมาใช้วิธีการแบบพลิกกลับ โดยเปลี่ยนความเหงาเปล่าเปลี่ยวในการอยู่คนเดียว ไปเป็นการมีความสุขในการอยู่คนเดียวอย่างที่เรียกว่าอยู่เป็นสุขในวิเวก หรือวิเวก สุข ซึ่งเป็นจุดที่เน้นย้ำในพระพุทธศาสนา พอทำให้คนอยู่เป็นสุขคนเดียวได้อยู่กับตัวเอง ได้มีความเต็มอยู่ในตัวแล้ว ก็ไม่ต้องวิ่งไปหาที่เติมข้างนอก เพราะข้างในเต็มดีอยู่แล้ว ไม่พร่อง ไม่ว่างเปล่า ไม่กลวง เมื่อเขาออกไปสู่สังคมก็มีความชื่นชม เบิกบานเป็นสุขในหมู่อีก
มองทุกข์ให้ถูก ทุกข์นั้นก็จะเป็นประโยชน์
เมื่อมีความทุกข์ อย่าตื่นเต้น แต่ต้องมองสถานการณ์ให้ถูก พอดีๆ ไม่ร้ายเกินไป หรือดีเกินไป อย่ามองแคบๆ ให้มองไปข้างหน้า ว่าเราสามารถผ่านสถานการณ์อันเลวร้ายครั้งนี้ไปด้วยดี เรื่องทุกข์สุขเป็นของธรรมดา คนเราก็อยากจะหนีทุกข์ประสบสุขเหมือนกันหมด แต่เมื่อเราอยู่ในโลกก็ต้องเจอกับมันทั้งสองอย่างเป็นเรื่องธรรมดา หมุนเวียน เปลี่ยนไปเป็นอนิจจัง แต่เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็ต้องไม่ปลงใจหรือ ปล่อยตัวมัวนอนสบาย ต้องมองเหตุผลค้นเหตุปัจจัย และหาทางแก้ไข อย่างน้อยสุขทุกข์ก็มีทั้งแง่ดีแง่ร้าย ความทุกข์ใช้ไม่เป็นก็จะเป็นการบีบคั้นตัวเอง ทุกอย่างรอบตัวแย่ไปหมดทั้งกายใจ แต่ถ้าใช้เป็น มองทุกข์ให้ถูก ทุกข์นั้นก็จะเป็นประโยชน์
จงใช้ทุกข์เป็นบททดสอบ เป็นบทเรียน และเป็นเวทีพัฒนาตนเอง
จงใช้ปัญญามองปัญหาที่ผ่านมา เหตุการณ์กรุงแตก สงครามโลก ยังแย่กว่านี้ตั้งมากมาย อย่าไปหมดหวัง เมื่อมีคนตกทุกข์อยู่สังคมเดียวกันก็ต้องช่วยเหลือกัน คนที่มีความทุกข์เองก็อย่าไปโดดเดี่ยวตัวเอง ต้องหาที่ปรึกษา หาแนวความคิดจากที่อื่นๆ ด้วย ให้มองทุกข์เป็นที่ทดสอบตัวเองว่า เราสบายมานาน พอเจอทุกข์แล้วจะไปรอดไหม หากผ่านได้ก็แสดงว่าเราเก่งพอสมควร จงใช้ทุกข์เป็นบททดสอบ เป็นบทเรียนและเป็นเวทีพัฒนาตนเอง เวลานี้เวทีพัฒนาตนเองมาถึงแล้ว ให้ใช้เวทีนี้ในการสู้ปัญหา พัฒนาปัญญาความสามารถ แล้วเราก็จะเกิดความภาคภูมิใจเมื่อประสบความสำเร็จ
คนฉลาดเปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา
คนฉลาดเปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา คนที่ปัญญางอกงามขึ้นมาได้ ก็พัฒนามาจากการคิดแก้ปัญหาทั้งนั้น เพราะฉะนั้นปัญหานี้แหละเป็นทางมาของปัญญา และทุกข์ก็สามารถผันให้เป็นฐานของความเจริญก้าวหน้า ปัญหานั้นเปลี่ยนพยัญชนะตัวเดียวก็กลายเป็นปัญญา
ชีวิตที่เป็นอยู่อย่างดีและมีความสุขที่สุด คือ ชีวิตที่กล้ารับรู้ต่อปัญหาทุกอย่าง
ชีวิตที่เป็นอยู่อย่างดีและมีความสุขที่สุด คือ ชีวิตที่กล้ารับรู้ต่อปัญหาทุกอย่าง ตั้งทัศนคติที่ถูกต้องต่อปัญหาเหล่านั้น และจัดการแก้ไขด้วยวิธีที่ถูกต้อง การหลีกเลี่ยงที่จะรับรู้ก็ดี เป็นการปิดตา หรือหลอกตนเอง ไม่ช่วยให้พ้นจากความทุกข์ ไม่เป็นการแก้ปัญหาและให้ได้พบความสุขอย่างแท้จริง
คนที่สู้ปัญหา สู้สิ่งยาก จะได้พัฒนาตัวเองตลอดเวลา
ถ้าใครไม่เคยประสบปัญหา ไม่เคยพยายามแก้ปัญหา ชีวิตจะเจริญพัฒนาได้อย่างไร คนที่คิดจะเอาแต่สบาย ไม่สู้ปัญหา ไม่สู้สิ่งที่ยาก ก็อยู่อย่างเดิมเท่านั้นแหละ อย่างคนที่ชอบทำแต่งานง่ายๆ เขาจะพัฒนาตัวเองได้อย่างไร เขาอยู่อย่างไรก็ได้แค่นั้น แต่คนที่สู้ปัญหา สู้สิ่งยาก จะได้พัฒนาตัวเองตลอดเวลา
เป้าหมายที่สำคัญอย่างหนึ่งในการพัฒนาคน อยู่ที่ว่าทำอย่างไรจะให้คนเรานี้ ทั้งที่สุขสบายก็ไม่ประมาท
เป้าหมายที่สำคัญอย่างหนึ่งในการพัฒนาคน จึงอยู่ที่ว่าทำอย่างไรจะให้คนเรานี้ ทั้งที่สุขสบายก็ไม่ประมาท เพราะว่าแท้จริงนั้นสภาพสุขสบายก็คือสภาพที่เอื้อโอกาส ตอนที่ทุกข์ยากจะทำอะไรก็ติด ก็ขัดข้องไปหมด เวลาทุกข์ก็คือเวลาที่ทำอะไรๆ ได้ยาก ทำได้ลำบาก จะทำอะไรก็ไม่คล่อง แต่ตอนที่ทุกข์นี่แหละคนจะลุกขึ้นต่อสู้ดิ้นรนขวนขวาย
เกิดความสังเวช ไม่ประมาท เร่งขวนขวายทำความ ดีงาม
ถ้าหากว่าเราประสบเรื่องความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นต้นแล้ว มีความรู้สึกที่จะไม่ประมาท เร่งขวนขวายทำความดีงามนั้น เรียกว่าเกิดความสังเวช
เวลาที่มีอยู่นี้เราจะต้องรีบใช้ให้เป็นประโยชน์
ที่ว่าเกิดสังเวชเกิดกำลัง ก็คือจะได้ไม่ประมาท เราเกิดกำลังใจขึ้นมาจากการกระตุ้นเตือนของความสำนึกเห็นความจริงว่า โอ้ความจริงเป็นอย่างนี้ ชีวิตของเราก็จะอยู่ตลอดไปไม่ได้ สิ่งทั้งหลายก็ไม่สามารถอยู่ไปตลอดกาล จะต้องมีความพลัดพรากจากกันเพราะฉะนั้นเวลาที่มีอยู่นี้เราจะต้องรีบใช้ให้เป็นประโยชน์ด้วยการกระตุ้นเตือนของความสำนึกนี้ เราก็เกิดกำลังใจที่จะรีบขวนขวายปฏิบัติธรรมโดยไม่นิ่งนอนใจ ไม่ละเลย ไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเปล่า ตอนนี้แหละเราจะได้เกิดความกระตือ รือร้น ความตั้งใจจริง
กาลเวลาย่อมกลืนกินสัตว์ทั้งหลาย พร้อมกันไปกับตัวมันเอง
กาลเวลาผ่านไป มันก็กลืนกินสรรพสัตว์ไปด้วย เมื่อมันกลืนกินเรา เพื่อให้ได้ประโยชน์คุ้มกันเราก็กลืนกินมันบ้าง นี่แหละคือการใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ หรือรู้จักบริโภคเวลา การใช้เวลาก็คือการบริโภคเวลา เพราะฉะนั้นเมื่อรู้จักใช้เวลาก็คือรู้จักบริโภคเวลา
เป็นคนทรามหรือเป็นคนประเสริฐ เพราะการกระทำ
คนมิใช่เป็นคนประเสริฐ หรือเป็นคนต่ำทรามเพราะชาติกำเนิด แต่เป็นคนทราม หรือเป็นคนประเสริฐเพราะการกระทำ สรุปว่าให้วินิจฉัยคนด้วยการกระทำของเขา คือ เจตนาที่ออกมาในการทำ-พูด-คิด จะตัดสินว่าเขาเป็นคนอย่างไร ไม่ใช่วัดกันด้วยชาติกำเนิด ทรัพย์สินเงินทอง จะยกย่องนับถือคนก็ให้เป็นไปตามหลักนี้
ชีวิตคือการแก้ปัญหา
การดำเนินชีวิตของคนเราคืออะไร มีคำพูดมาแต่เก่าก่อนว่า ชีวิตคือการต่อสู้ หมายความว่า การที่เราดำรงชีวิตอยู่นี้เราต้องประสบปัญหา ประสบสิ่งบีบคั้นต่างๆ เราจะต้องต่อสู้ดิ้นรน ซึ่งพูดสั้นๆ เป็นภาษาวิชาการก็คือการแก้ปัญหา ที่พูดว่าชีวิตคือการต่อสู้ ก็เท่ากับพูดว่าชีวิตคือการแก้ปัญหา คนใดที่แก้ปัญหาเก่ง แก้ปัญหาเป็น คนนั้นก็จะดำเนินชีวิตได้ดี จะต่อสู้ได้ชนะ
การแก้ปัญหาที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ก็คือแก้ปัญหาที่ตัวเอง ด้วยการปรับการดำเนินชีวิตเสียใหม่
ปุถุชนเมื่อถูกทุกข์บีบคั้นหรือภัยคุกคาม ก็จะลุกขึ้นดิ้นรนขวนขวาย ทำให้มีแรงขึ้น แล้วเพียรพยายามหาทางออก เราก็จะมีความเข้มแข็ง แต่ทั้งนี้ต้องมีสติมั่น ไม่วู่วามหวั่นไหว จากนั้นก็ใช้ปัญญาไตร่ตรองพิจารณา เมื่อเจอกับทุกข์อย่าไปหมดหวัง หรือเศร้าเสียใจเกินไป จงใช้ทุกข์เป็นพลังผลักดันในการเดินหน้า คนประสบความสำเร็จโดยมากก็เคยทุกข์มาก่อนทั้งนั้น ปัญหาที่เราประสบในปัจจุบันที่จะต้องแก้ไข ก็คือ ปัญหาจากการดำเนินชีวิตที่ผิดพลาด
เมื่อทราบว่าผิดพลาดก็แก้ไขด้วยการดำเนินชีวิตใหม่ให้ถูกต้อง แล้วชีวิตก็จะดีงาม การแก้ปัญหาที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดก็คือการแก้ปัญหาที่ตัวเอง ด้วยการปรับการดำเนินชีวิตเสียใหม่ โดยต้องเป็นนักผลิต นักสร้างสรรค์ ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่เห็นแก่จะบริโภคอย่างเดียว รู้จักใช้สิ่งที่น้อยที่สุดให้เป็นประโยชน์มากที่สุดThank to :-
website :
https://www.khaosod.co.th/newspaper-column/amulets/news_3267640คอลัมน์พระเครื่อง : คืนวันไม่ผ่านไปเปล่า โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
29 ธ.ค. 2562 - 11:35 น.