ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: จริงหรือไม่.? สุโขทัย(สมัยพ่อขุน) ไม่มีลอยกระทง.?  (อ่าน 900 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



จริงหรือไม่.? สุโขทัย(สมัยพ่อขุน)ไม่มีลอยกระทง.?

หลักฐานเพียงอย่างเดียว นำมาใช้อ้างอิงว่า ประเพณีลอยกระทงเกิดขึ้นในสมัยสุโขทัย ก็คือ “ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์” หรือ “เรวดีนพมาศ” ที่เป็นบันทึกเรื่องราวของนางนพมาศ ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นสนมเอกของพระร่วง (เชื่อว่าคือพ่อขุนรามคำแหง) ตามคำบอกเล่านางเป็นผู้ประดิษฐ์ “โคมลอยรูปดอกกระมุท” หรือกระทง อย่างที่เรารู้จักกัน และนำไปถวายพระร่วงเจ้า เพื่อลอยในแม่น้ำ อุทิศสักการบูชาพระจุฬามณีเจดีย์ เนื่องในพระราชพิธีจองเปรียง

หากว่า หลักฐานที่ใช้อ้างอิง คือ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ได้รับการพิสูจน์ว่า แต่งขึ้นในสมัยสุโขทัยจริง แม้ว่าจะไม่อาจพิสูจน์ได้ว่า นางนพมาศมีตัวตนจริงหรือไม่ แต่ก็เชื่อได้ว่า มีประเพณีการลอยกระทงเกิดขึ้นแล้วในสมัยสุโขทัย แต่โชคไม่ดีนัก หลักฐานสำคัญที่จะพิสูจน์การมีอยู่จริงของประเพณีลอยกระทงในสมัยสุโขทัย ได้รับการตรวจสอบจากนักประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงหลายท่าน และทุกท่านก็เห็นพ้องต้องกันคือ “ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์” นี้ ถูกแต่งขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นนี้เอง

นักประวัติศาสตร์พระองค์แรกที่ออกมาถกเถียงประเด็นนี้คือ สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงวินิจฉัยจากเนื้อความที่ปรากฏอยู่ในตำรับฯ ว่า มีหลายตอนไม่สอดคล้องกับยุคสมัยสุโขทัย เช่น มีการกล่าวถึงชาติฝรั่งหลายชาติซึ่งยังไม่เข้ามาในสมัยสุโขทัย

ยิ่งไปกว่านั้นคือการกล่าวถึง “อเมริกัน” จะพบว่าสุโขทัยเก่าแก่ถึง 700 ปี ย้อนแย้งอย่างมากกับคำว่า “อเมริกัน” อันเป็นชื่อของทวีปที่เพิ่งถูกค้นพบโดยชาวตะวันตกราวปี ค.ศ. 1492 หรือ (พ.ศ. 2035) นอกจากนี้ยังกล่าวถึง “ปืนใหญ่” ที่ไม่มีปรากฏในสมัยสุโขทัยอย่างแน่นอน นั่นทำให้ทรงเชื่อว่าตำรับฯ ไม่น่าจะมีอายุเก่าแก่ไปกว่าสมัยรัชกาลที่ 2 อย่างแน่นอน

@@@@@@@

นักวิชาการรุ่นหลังที่มีโอกาสเข้าถึงหลักฐานทางประวัติศาสตร์อื่นๆ เพื่อนำมาตรวจสอบกับตำรับฯ นี้ อย่างนิธิ เอียวศรีวงศ์พบว่า ตำรับฯ น่าจะแต่งขึ้นในระหว่างปี พ.ศ. 2360-2378 เนื่องจากในตำรับฯ ได้กล่าวถึงพระราชพิธีวิสาขบูชา ซึ่งมีหลักฐานแน่ชัดว่าเริ่มจัดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 ประมาณปี 2369 และอ้างอิงจากฉบับนางนพมาศที่จัดเก็บอยู่ในหอสมุดแห่งชาติ ซึ่งระบุว่าเป็นฉบับที่จำลองขึ้นมาในปี พ.ศ. 2378

ดังนั้น ต้นฉบับจริงย่อมต้องแต่งก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่ควรเกินไปกว่าช่วงเวลาในการเริ่มจัดพิธีวิสาขบูชาอย่างแน่นอน และเมื่อพิจารณาจากสำนวนการแต่งตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์นี้ เทียบเคียงกับงานวรรณกรรมอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 ทำให้พอระบุได้ว่ามีบางส่วนในตำรับฯ นี้เป็นสำนวนพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3)

นอกเหนือจากการพิจารณาเนื้อความในตำรับฯ ที่มีข้อขัดแย้งกับความเป็นจริงที่จะแต่งขึ้นในสมัยสุโขทัยแล้ว นิธิยังแสดงให้เห็นถึงมิติที่ลึกลงไปกว่านั้น นั่นคือ การวิเคราะห์ความแตกต่างของโลกทัศน์ที่แฝงอยู่ในตำรับฯ ซึ่งสามารถสะท้อนบริบทแวดล้อมที่ผู้แต่งอาศัยอยู่ โดยเปรียบเทียบความแตกต่างจากโลกทัศน์ของงานที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า แต่งขึ้นในสมัยสุโขทัยอย่างแท้จริง คือ ไตรภูมิพระร่วงหรือไตรภูมิกถา เป็นงานพระราชนิพนธ์ของพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไท) เนื่องจากเป็นงานที่ทรงอิทธิพลอย่างมาก ในสมัยสุโขทัยเป็นต้นมา ทำให้เชื่อได้ว่าไตรภูมิพระร่วงนี้สะท้อนโลกทัศน์ของผู้คนสมัยสุโขทัยได้เป็นอย่างดี

เมื่อเปรียบเทียบกับตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์จะพบว่า โลกทัศน์ตามแบบไตรภูมิพระร่วงนั้นมีลักษณะที่ “เหนือธรรมชาติ” มีการกล่าวถึงเขาพระสุเมรุซึ่งเป็นศูนย์กลางของจักรวาลทัศน์แบบเดิม ทว่าตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์นับว่าเป็นวรรณกรรมชิ้นแรกที่สะท้อนโลกแห่งความเป็นจริง ลักษณะโลกทัศน์แบบในตำรับฯ นี้เป็นแบบของสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ที่เริ่มรับความคิดและเหตุผลตามอย่างโลกตะวันตก



แม้ว่ายังคงมีหลายท่านนำข้อความในศิลาจารึกหลักที่ 1 ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชที่มีคำว่า “เผาเทียน” และ “เล่นไฟ” ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มิใช่เป็นการละเล่นรื่นเริงมากล่าวอ้าง เพราะในปัจจุบันการเผาเทียนและเล่นไฟเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีลอยกระทง ทว่าสุจิตต์ วงษ์เทศ ได้หักล้างแนวคิดที่ว่าลอยกระทงมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย (หากละข้อถกเถียงประเด็นศิลาจารึกถูกสร้างในสมัยสุโขทัยจริงหรือไม่)

โดยใช้การวิเคราะห์จากสภาพภูมิศาสตร์ของสุโขทัยและข้อมูลจากศิลาจารึกหลักดังกล่าว เริ่มจากการพิจารณาสภาพภูมิศาสตร์ที่ตั้งกรุงสุโขทัย จะเห็นว่าสุโขทัยตั้งอยู่บริเวณที่ราบเชิงเขา ระยะทางห่างจากแม่น้ำเกินกว่า 10 กิโลเมตร ทำให้มีปัญหาขาดแคลนน้ำในหน้าแล้ง ทำให้ต้องมีการจัดการระบบชลประทานโดยการขุดตระพังและสร้างทำนบกั้นน้ำที่เรียกว่า “สรีดภงส”

ตามข้อความในจารึกว่า “กลางเมืองสุโขทัยนี้มีน้ำตระพังโพยสีใสกินดี...ดั่งกินน้ำโขงเมื่อแล้ง”
สุจิตต์จึงได้ข้อสรุปว่า ทั้งตระพังและสรีดภงสนั้น มีไว้เพื่อใช้บริโภคและทำการเกษตร สังคมที่น้ำขาดแคลนและน้ำมีความสำคัญมากเช่นนี้ จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะมีเทศกาลหรือประเพณีที่จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพของแหล่งน้ำอย่างการลอยกระทงได้

จากที่กล่าวข้างต้นน่าจะชัดเจนแล้วว่า “ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์” ไม่ได้ถูกแต่งขึ้นในสมัยสุโขทัย ดังนั้น จึงไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานเพื่ออ้างอิงการมีอยู่ของประเพณีลอยกระทงในสมัยสุโขทัยได้

แม้ว่าจะพิสูจน์ได้ดังนี้แล้ว ทว่าคำถามต่อไป คือ
“ทำไม ผู้แต่งตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์นี้ จึงเขียนอ้างอิงถึงช่วงเวลาในประวัติศาสตร์สุโขทัย”.??

@@@@@@@

ตามคำอธิบายของสุจิตต์เชื่อว่า ช่วงเวลาการแต่งตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ขึ้นนั้น ผู้แต่งคงยังไม่ได้มีแนวคิดเรื่องการสร้างความเก่าแก่ของชาติ โดยการสร้างประวัติศาสตร์ของประเพณีที่สืบเนื่องมาอย่างยาวนาน แต่ผู้แต่งอาจมีจุดประสงค์คล้ายคลึงกับนิยายอิงประวัติศาสตร์ ที่ใช้ช่วงเวลาในสมัยสุโขทัยเป็นโครงเรื่อง ทว่ารายละเอียดที่ปรากฏในเรื่องกับเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นร่วมสมัยกับผู้เขียนมากกว่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยสุโขทัย

อย่างไรก็ตาม แวดวงวิชาการประวัติศาสตร์รับรู้ถึงสถานะของตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ในฐานะการเป็นหลักฐานประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นที่มีคุณค่าในการศึกษาโลกทัศน์ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของราษฎร และพระราชพิธีต่างๆ ที่ปรากฏในตำรับฯ

สำหรับสุจิตต์แล้ว ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์เป็น “สารนิยายที่มีคุณค่าทางวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ความคิดของผู้คนในสมัยรัตนโกสินทร์ต่างหาก ไม่ใช่สมัยพระร่วงเจ้าแห่งแว่นแคว้นสุโขทัยศรีสัชนาลัยดังที่เคยใฝ่ฝันเป็นอุดมคติกันมานานนักหนา”

แม้ว่าจะมีความชัดเจนแล้วว่า “ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์” และ “ประเพณีลอยกระทง” ไม่ได้เกิดขึ้นในสมัยสุโขทัย ทว่าในปัจจุบันยังคงมีความเชื่อดังกล่าวอยู่และถูกผลิตซ้ำตลอดเวลา เห็นได้ชัดคือ ประเพณีลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟที่สุโขทัย ซึ่งเป็นความพยายามสร้างประวัติศาสตร์และความเก่าแก่ของวัฒนธรรมประเพณีของไทย เพื่อวัตถุประสงค์ในด้านการท่องเที่ยว

ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ธิดา สาระยากล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า

“...ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรตระหนักถึงความจริงทางประวัติศาสตร์ ที่เราต้องรับผิดชอบส่งต่อให้สาธารณชนว่า ประเพณีนี้ที่สุโขทัยเป็นของปรุงแต่งขึ้นในปัจจุบันนี้เท่านั้น ไม่เคยมีหลักฐานใดๆ ในประวัติศาสตร์สุโขทัยว่า การลอยกระทงเป็นประเพณีรื่นเริงของชุมชน ซึ่งตั้งหลักแหล่งอยู่ในที่แล้งน้ำโดยธรรมชาติ(อย่างเมืองสุโขทัย)...”






อ้างอิง :-
- กรมศิลปากร. 2545. “เรื่องนางนพมาศ หรือ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์: คำอธิบายเรื่องนางนพมาศ.” ใน ไม่มีนางนพมาศ ไม่มีลอยกระทง สมัยสุโขทัย, สุจิตต์ วงษ์เทศ, 15-100. กรุงเทพฯ : มติชน.
- นิธิ เอียวศรีวงศ์. 2545. “โลกของนางนพมาศ.” ใน ไม่มีนางนพมาศ ไม่มีลอยกระทง สมัยสุโขทัย, สุจิตต์ วงษ์ เทศ, 111-168. กรุงเทพฯ : มติชน.
- สุพจน์ แจ้งเร็ว. 2545. “นางนพมาศ: เรื่องจริงหรืออิงนิยาย?” ใน ไม่มีนางนพมาศ ไม่มีลอยกระทง สมัยสุโขทัย, สุจิตต์ วงษ์เทศ, 169-242. กรุงเทพฯ : มติชน.

ขอขอบคุณ :-
บทความ : จริงหรือไม่.? สุโขทัย(สมัยพ่อขุน) ไม่มีลอยกระทง.?
ผู้เขียน : คุณพรรณ์ทิพย์  เพ็ชรวิจิตร ต.วัดไทร อ.เมือง จ.นครสวรรค์
อีเมล์ : p.petchvichit@gmail.com (เนื้อหาและภาพประกอบเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียน)
website : https://www.stou.ac.th/study/sumrit/3-58(500)/page3-3-58(500).html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ