ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: การเมือง : เรื่องของคน "อยากมีอยากเป็น"  (อ่าน 919 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



การเมือง : เรื่องของคน "อยากมีอยากเป็น"

ตามนัยแห่งจริยศาสตร์ มนุษย์เราทุกคนเกี่ยวข้องกับ 2 สิ่งคือ
    1. สิ่งที่เรามีหรือ What we have
    2. สิ่งที่เราเป็นหรือ What we are
ด้วยเหตุที่ทุกคนเกี่ยวข้องกับความมี และความเป็น จึงทำให้มนุษย์ทุกคนมีความอยากมี และอยากเป็น

แต่ตามนัยแห่งคำสอนของพุทธศาสนา พระพุทธองค์ได้ตรัสเกี่ยวกับความอยาก หรือตัณหาว่ามีอยู่ 3 ประการคือ
   1. กามตัณหา ความอยากมี
   2. ภวตัณหา ความอยากเป็น
   3. วิภวตัณหา ความไม่อยากมี ความไม่อยากเป็น
ความอยากทั้ง 3 ประการข้างต้น เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ แต่มิใช่ตัวทุกข์โดยตรง กล่าวคือ

เมื่อคนอยากมี แต่มีได้ก็เป็นทุกข์ และเมื่อคนอยากเป็นแล้วไม่ได้เป็นก็เป็นทุกข์ ตามนัยแห่งพุทธพจน์ที่ว่า ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ สิ่งนั้นเป็นทุกข์ หรือเมื่อมีแล้วเป็นแล้ว วันหนึ่งต่อมาสิ่งที่มี และสิ่งที่เป็นหายไปก็เป็นทุกข์ ตามนัยแห่งพุทธพจน์ที่ว่า การพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์

ส่วนความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น จะเป็นทุกข์เมื่อคนจำเป็นต้องมี หรือจำเป็นต้องเป็น ทั้งๆ ที่ตนเองไม่อยากมี ไม่อยากเป็นก็จะเป็นทุกข์ ตามนัยแห่งพุทธพจน์ที่ว่า การอยู่ร่วมกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์

โดยสรุปแล้ว ความอยากเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ตราบเท่าที่คนยังมีความอยาก และวิ่งไล่ความอยาก และยึดถือสิ่งที่ตนได้มาด้วยความอยากนั้น

@@@@@@@

แต่ถ้าจะป้องกันมิให้ความอยากเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ จะต้องควบคุมความอยากให้อยู่ในกรอบแห่งสันโดษ 3 ประการคือ
    1. ยินดีตามที่ตนเองหามาได้โดยความชอบธรรม หรือยถาลาภสันโดษ
    2. ยินดีตามที่ตนหามาได้ ตามกำลังของตนหรือยถาพลสันโดษ
    3. ยินดีในสิ่งที่สมควรหรือเหมาะแก่เพศภาวะและสถานะของตน หรือยถาสารุปปสันโดษ

วันนี้คนไทยซึ่งส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ กำลังเผชิญกับความทุกข์อันเกิดจากความอยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักการเมืองที่แสวงหาอำนาจรัฐ และยึดติดในอำนาจนั้น และที่เป็นเช่นนี้อนุมานได้ว่าเกิดจากเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้

    1. นักการเมืองส่วนใหญ่ทั้งในระบอบเผด็จการ และในระบอบประชาธิปไตยเข้าสู่วงการเมือง ล้วนแล้วแต่เพื่อแสวงหาความมี ความเป็น และเมื่อได้มีและได้เป็นแล้ว ก็ยึดติดในสิ่งที่ตนเองมี และสิ่งที่ตนเองเป็น
    2. โดยหลักการแห่งรัฐศาสตร์แล้ว นักการเมืองจะต้องเป็นผู้รับใช้ประชาชน ซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และเป็นเจ้านายของนักการเมือง


@@@@@@@

แต่ในความเป็นจริง นักการเมืองไทยมิได้เป็นไปตามหลักการที่ว่านี้ มีอยู่ไม่น้อยเมื่อได้รับตำแหน่งทางการเมือง ทำตัวเป็นนายของประชาชน จะเห็นได้จากพฤติกรรมที่แสดงออกทางกายและวาจาอย่างชัดเจน

จากการแสวงหาสิ่งที่ตนเองอยากมี อยากเป็นแล้วยึดติดสิ่งที่ได้มานี้เอง ทำให้นักการเมืองบางคนถึงกับหลงตนเอง ไม่ยอมปล่อยวาง ทั้งๆ ที่ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่า ควรจะพอและลงจากอำนาจได้แล้ว และนักการเมืองประเภทนี้เป็นทุกข์ เมื่อถึงเวลาที่ตนต้องลงจากตำแหน่ง ตามกฎแห่งอนิจจตาคือความไม่เที่ยง และเป็นไปตามหลักแห่งโลกธรรมคือ มียศเสื่อมยศ มีลาภเสื่อมลาภ นี่คือสัจธรรมอันเป็นอกาลิโกคือ จริงตลอดกาล






Thank to : https://mgronline.com/daily/detail/9650000085199
เผยแพร่ : 5 ก.ย. 2565 15:01 , ปรับปรุง : 5 ก.ย. 2565 15:01 ,โดย : สามารถ มังสัง
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ