ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ตัณหาหรือความอยาก : กิเลสร้ายคุมได้ด้วยสันโดษ  (อ่าน 921 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0




ตัณหาหรือความอยาก : กิเลสร้ายคุมได้ด้วยสันโดษ

คำว่า ตัณหา หรือความอยาก ตามนัยแห่งคำสอนของศาสนาพุทธแบ่งออกเป็น 3 ประการคือ

1. กามตัณหา ได้แก่ ความทะยานอยากในกามคุณคือ สิ่งสนองความต้องการทางประสาททั้ง 5 หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ความอยากมีในสิ่งที่ตนเองต้องการ
2. ภวตัณหา ได้แก่ ความทะยานอยากเป็นในสิ่งที่ตนต้องการจะเป็น
3. วิภวตัณหา ได้แก่ ความไม่อยากเป็นในสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการจะเป็น

ตัณหาทั้ง 3 ประการนี้ เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ และทุกข์อันเกิดจากความอยากหรือเกิดขึ้นได้กับคนทุกคนที่ยังเป็นปุถุชนคือ คนที่ยังมีกิเลสประเภทนี้อยู่ เพียงแต่มากน้อยไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับการควบคุมจิตใจ โดยการปฏิบัติธรรมและธรรมที่จะนำมาปฏิบัติเพื่อควบคุมความอยาก 3 ประการนี้ก็คือ สันโดษ ซึ่งมีอยู่ 3 ประการคือ

   1. ยถาลาภสันโดษ ได้แก่ ความยินดีตามที่ตนหามาได้โดยความชอบธรรม ไม่ขวนขวายแสวงหาเกินไปกว่าที่ตนพึงมีพึงได้โดยความชอบธรรม
   2. ยถาพลสันโดษ ได้แก่ ยินดีตามที่หามาได้ตามกำลังกาย และความรู้ ความสามารถของตนไม่แสวงหาเกินกำลังกาย กำลังความรู้ กำลังความสามารถ และกำลังทรัพย์ของตน
   3. ยถาสารุปปสันโดษ ได้แก่ ยินดีตามที่เหมาะสมกับเพศภาวะ และสถานะทางสังคมของตน


@@@@@@@

ถึงแม้ประเทศไทยมีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ซึ่งล้วนเกี่ยวกับความอยากหรือตัณหา และแนวทางปฏิบัติเพื่อลด ละ และกำจัดความอยากให้หมดไป

แต่มีชาวพุทธจำนวนไม่น้อยที่วิ่งหาความอยาก และเป็นทุกข์ เนื่องจากไล่ไม่ทัน มีให้เห็นดาษดื่นในสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเมืองใหญ่เนื่องจากลัทธิบริโภคนิยมเข้าครอบงำ ทำให้คนแก่งแย่งกันแสวงหาความสุข อันเกิดจากการได้ครอบครองวัตถุตามที่ตนเองต้องการ ทั้งๆ ที่บางคนถ้าพิจารณาหลักสันโดษ 3 ประการ โดยเฉพาะข้อ 2 และข้อ 3 แล้ว บางคนไม่จำเป็นต้องมี

ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัด และสามารถนำมาเป็นกรณีศึกษาได้เป็นอย่างดีเกี่ยวกับการไม่นำคำสอนของพุทธศาสนาที่ว่าด้วยสันโดษ 3 ประการข้างต้น มาเป็นแนวทางการดำเนินชีวิต และกลายเป็นคนมีความทุกข์ อันเกิดจากความอยาก

ตัวอย่างที่ว่านี้ก็คือ พระนักเทศน์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังจากเทศนาด้วยลีลาตลกขบขันเป็นที่นิยมเยาวชนคนรุ่นใหม่ ซึ่งสนใจในความเจริญด้านวัตถุมากกว่าด้านจิตใจ แต่ครั้นลาสิกขาออกมาโลดแล่นในสังคมในรูปแบบคฤหัสถ์เต็มตัวไม่ทันไร ภาพลักษณ์ใหม่ก็ปรากฏในทางตรงกันข้ามคือ มีเสียงตำหนิตักเตือนไปจนกระทั่งนำเอาข้อมูลส่วนตัวในทางลบออกมาเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดีย จนคนที่เคยยกย่องนับถือ และศรัทธา เพียงเพราะขัดแย้งส่วนตัว

@@@@@@@

จากข้อมูลบางส่วนที่คู่กรณีนำมาเปิดเผย ถ้าเป็นจริงตามนั้นผู้ที่ตกเป็นเหยื่อแห่งความขัดแย้งตกเป็นทาสแห่งความอยาก จึงทำให้เกิดความขัดแย้ง ทั้งๆ ที่ไม่น่าขัดแย้ง ทั้งนี้ด้วยเหตุผลในเชิงตรรกะดังต่อไปนี้

1. ความอยากมี และความอยากเป็นตามข้อ 1 และข้อ 2 ได้รับการตอบสนองแล้วจากการให้ที่อยู่ฟรี ซื้อเสื้อผ้าราคาแพงให้สวมใส่ หางานให้ทำ ซึ่งมีผลตอบแทนทางด้านการเงินมากพอที่จะทำให้ความอยากมีเงิน และลักษณะงานที่ให้ทำก็ดีพอที่จะทำให้ความอยากเป็นพอใจ และยุติความอยากได้

2. แต่มีข้อมูลบางส่วนที่บ่งบอกว่า ทำให้ความอยากข้อ 1 คือ ไม่อยากเป็น ไม่ได้รับการตอบสนอง ส่วนว่าอะไรที่ผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนทะยานอยากได้ ไม่ต้องการนั้น เห็นทีจะต้องให้คู่กรณีออกมาบอกเองว่าคืออะไรที่เขาไม่อยากเป็น






Thank to : https://mgronline.com/daily/detail/9650000017567
เผยแพร่ : 21 ก.พ. 2565 15:25 ,ปรับปรุง : 21 ก.พ. 2565 15:25 ,โดย : สามารถ มังสัง
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ