ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: รูทเดินเท้าเที่ยว 3 วัด ตามหางานศิลปะจากศิลปินระดับโลกใน Bangkok Art Biennale 20  (อ่าน 983 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0




รูทเดินเท้าเที่ยว 3 วัด ตามหางานศิลปะจากศิลปินระดับโลกใน Bangkok Art Biennale 2022

Summary

     • เดินเที่ยวย่านพระนครด้วยสองเท้า ตะลุยเที่ยววัดโพธิ์-วัดอรุณฯ-วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ตามรูท Bangkok Art Biennale 2022 หรือเทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติที่จัดขึ้นทุกสองปีในกรุงเทพฯ และจะจัดแสดงผลงานศิลปะไปจนถึงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ในสถานที่สาธารณะอย่างวัด พิพิธภัณฑ์ แกลเลอรี ให้กรุงเทพฯ กลายเป็นศูนย์กลางที่ส่งเสริมศิลปะ ความคิดสร้างสรรค์ และวัฒนธรรม




ในวันที่กรุงเทพฯ มีลมหนาวพัดมา เราเลยถือโอกาสนี้ ออกไปใช้ชีวิตในเมือง เดินเที่ยวย่านพระนครด้วยสองเท้า ตะลุยเที่ยว 3 วัด ตามรูท Bangkok Art Biennale 2022 หรือเทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติที่จัดขึ้นทุกสองปีในกรุงเทพฯ และจะจัดแสดงผลงานศิลปะเป็นระยะเวลา 4 เดือน ในสถานที่สาธารณะอย่างวัด พิพิธภัณฑ์ แกลเลอรี ให้กรุงเทพฯ กลายเป็นศูนย์กลางที่ส่งเสริมศิลปะ ความคิดสร้างสรรค์ และวัฒนธรรม

รับประกันเลยว่าเป็นรูทที่เดินง่าย และไม่เหนื่อยเลยสักนิด ใครที่หยุดยาวนี้ยังไม่มีแพลนไปไหน ลองออกเดินทางตามกันมาได้นะ

การเดินทางวันนี้เราเริ่มต้นที่ MRT สนามไชย จริงๆ แผนที่คิดไว้คือจะแวะชมงานที่มิวเซียมสยามก่อน เพราะที่นี่เองก็เป็นหนึ่งในจุดแสดง Bangkok Art Biennale แล้วจากนั้นเราจะค่อยเดินไปยังวัดเชตุพนวิมลมังคลารามมหาวิหาร หรือวัดโพธิ์ แต่เผอิญว่าวันนั้นมีกิจกรรม Night At The Museum พอดี พิพิธภัณฑ์เลยยังไม่เปิด เราเลยตัดสินใจเดินไปที่วัดทันทีไม่แวะที่ไหน แค่ประมาณ 5 นาที ก็ถึงวัดโพธิ์แล้ว 




สารภาพตามตรงว่าเรากับวัดไม่ใช่ของคู่กัน แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าวัดหรือวังในย่านพระนครเป็นเสมือนจุดท่องเที่ยวที่ไม่ว่าใครๆ ก็ต้องมาเยือน แต่เราแทบจะเรียกได้ว่าเฉียดใกล้แค่ประตูรั้ว ไม่มีอยู่ในความทรงจำเลยสักนิดว่าเคยมาที่นี่หรือเปล่า

พอก้าวลอดซุ้มประตูมาทุกสิ่งเลยค่อนข้างแปลกใหม่ เพราะสถาปัตยกรรมตรงหน้าเรานั้นโอ่อ่า และสวยงามชนิดที่เราร้องคิดในใจว่า โห ประเทศไทยสวยจัง แทบทุกมุมที่เดินไป พลางคิดตกผลึกเข้าใจว่าทำไมนักท่องเที่ยวต่างชาติถึงชอบมาที่นี่กันนัก 

วัดโพธิ์ใหญ่กว่าที่เราคิด หลังจากเดินตามคนไปเรื่อยๆ ก็เจอจุดที่เป็นไฮไลต์คือ พระพุทธไสยาสน์ หรือพระนอนที่องค์พระยาวถึง 46 เมตร (ยาวเป็นอันดับ 3 ของไทย รองลงมาจากพระนอนจักรสีห์ และพระนอนวัดขุนอินทประมูล) โดยพระพุทธรูปองค์นี้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อครั้งที่ทรงปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามทั้งวัด 








พอออกมาได้สักพัก ระหว่างที่กำลังหามุมเหมาะๆ หลบคน เราก็เจอกับป้ายสีเหลืองบอกว่าบริเวณนี้มีงานศิลปะจาก Bangkok Art Biennale จัดแสดง

งานชิ้นแรกที่เราเจอ คือ ‘อโรคยศาลา’ ผลงานของ มณเฑียร บุญมา ศิลปินที่บุกเบิกงานศิลปะร่วมสมัยในไทย ด้วยการนำวัสดุพื้นบ้านมาสร้างสรรค์เป็นงานศิลปะที่ผสมคอนเซปชวลอาร์ตตะวันตกเข้ากับปรัชญาตะวันออกและพุทธศาสนา ซึ่งงานชิ้นนี้ถือเป็นต้นแบบของงานอโรคยาศาลา (ชิ้นงานที่เคยนำไปจัดแสดงที่ Korat Biennale ปี 2021 มีลักษณะเป็นกล่องโลหะที่มีรูปทรงเหมือนซี่โครงหรือสันหลัง ภายในมีสมุนไพรที่อัดแน่นเป็นรูปปอดอยู่ตรงกลาง อ้างอิงถึง อโรคยศาลา สถานพยาบาลในวัฒนธรรมอาณาจักรเขมรราวช่วงศตวรรษที่ 11 




รู้ตัวอีกทีก็เดินมาเจออีกหนึ่งไฮไลต์ของวัดโพธิ์ 

ว่ากันว่าที่นี่เป็นวัดที่มีพระเจดีย์มากที่สุดในประเทศไทย โดยมีจำนวนประมาณ 99 องค์ และพระเจดีย์ที่สำคัญคือ พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล 

ได้แก่ พระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชดาญาณ หรือพระมหาเจดีย์ประจำพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ที่สร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่นำมาจากอยุธยา สูง 16 เมตร องค์เจดีย์ประดับกระเบื้องเคลือบสีเขียวและกระเบื้องเครื่องถ้วยลวดลายต่างๆ เป็นสีวันพระบรมราชสมภพ ลักษณะเป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองแบบเพิ่มมุม ซึ่งเป็นทรงเจดีย์สมัยอยุธยาตอนปลาย มีฐานสิงห์และฐานบัวกว้าง 16 เมตร และสูง 42 เมตร รองรับองค์ระฆังคว่ำเหลี่ยม ปล้องไฉนทรงกรวย และปลียอดประดับลูกแก้ว



พระมหาเจดีย์ดิลกธรรมกรกนิธาน หรือพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 2 หรือพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระมหาเจดีย์ที่ว่านี้สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 มีลักษณะเหมือนเจดีย์พระศรีสรรเพชดาญาณ แต่ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลือง 

พระมหาเจดีย์มุนีบัตบริขาร คือพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 3 หรือพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สร้างขึ้นในระหว่างที่มีการบูรณปฏิสังขรณ์วัดโพธิ์ โดยพระมหาเจดีย์แห่งนี้ก็มีลักษณะเหมือนกันกับพระมหาเจดีย์ด้านบน และประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลืองเช่นเดียวกัน

สุดท้ายคือพระมหาเจดีย์ทรงพระศรีสุริโยทัย พระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 4 โดยพระมหาเจดีย์แห่งนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ถ่ายแบบมาจากพระเจดีย์ศรีสุริโยทัยจากวัดสวนหลวงสบสวรรค์ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยองค์พระมหาเจดีย์ มีลักษณะที่แตกต่างจากพระมหาเจดีย์ทั้ง 3 องค์ คือ มีซุ้มคูหาเข้าไปภายในองค์พระระฆังเหลี่ยม และเจดีย์ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีน้ำเงินเข้ม 




ชิ้นงานศิลปะที่สองและสามของ Bangkok Art Biennale ที่เราเจอคืองานประติมากรรมของ Antony Gormley ศิลปินที่ได้รับการยกย่องในวงกว้างจากผลงานประติมากรรมศิลปะจัดวาง และศิลปะในพื้นที่สาธารณะซึ่งสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายมนุษย์กับพื้นที่ 

งานสองชิ้นนี้ กอร์มลีย์ มองว่าเป็นเครื่องมือนำพาไปสู่ความมีสติ งานจึงแสดงถึงพื้นที่ของประสบการณ์มนุษย์ และความสัมพันธ์ที่เรามีต่อที่ว่าง มวลและพลังงานพุทธธรรมเรื่องอนิจจัง

หลังจากเดินหลงไปหลงมาและพยายามหายักษ์วัดโพธิ์แต่หาไม่เจอ (คาดว่าปิดปรับปรุง) ในที่สุดเราก็ตัดใจและเดินวนหางานศิลปะชิ้นสุดท้ายแทน 




Melting Void คือผลงานของ มณเฑียร บุญมา เช่นเคย ลักษณะของงานเป็นเศียรพระพุทธรูปอะลูมิเนียมขนาดใหญ่ ผู้ชมสามารถเข้าไปใต้เศียรพระพุทธรูปซึ่งเต็มไปด้วยสมุนไพรที่เป็นยา และสามารถมองเห็นแสงที่ลอดผ่านรูเล็กๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับดวงดาวทางโหราศาสตร์ได้ โดยงานชิ้นนี้จัดแสดงตรงข้ามกับพระพุทธปาลิไลย ซึ่งหล่อขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1

การตามหาชิ้นงานศิลปะในวัดโพธิ์สำหรับเรา ค่อนข้างเป็นไปอย่างยากลำบาก เนื่องจากไม่คุ้นชินเส้นทาง แต่ถึงอย่างนั้นการเดินหลงภายในบริเวณวัดแห่งนี้ก็สนุกไปอีกแบบ เพราะเปิดโอกาสให้เราได้เห็นและสังเกตสิ่งที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน บอกเลยว่าในกล้องนี่มีแต่ภาพกระเบื้องสีน่ารักๆ เต็มไปหมด






การเดินทางไปยังสถานที่ที่สองทำได้ด้วยการออกจากวัดโพธิ์ปุ๊บให้เดินย้อนไปทางซ้ายมือ เราจะไปลงเรือข้ามฟากเพื่อไปยังวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหารกัน

สิ่งแรกที่รอต้อนรับเราที่นั่นคือยักษ์ตัวใหญ่สองตัวที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้าประตู (ซึ่งหลังจากถกเถียงอยู่ในใจสักพักใหญ่ว่า วัดอรุณคือวัดแจ้งเหรอ เราก็ค้นพบความจริงว่า ใช่!)






ชิ้นงาน Bangkok Art Biennale ที่นี่หาง่ายเพราะมีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น อยู่ตรงสนามใกล้ๆ ทางจะเดินไปชมพระปรางค์ โดย Aleaf หรือผลงานของ นวิน หนูทอง ชิ้นนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากประวัติศาสตร์ไทยช่วงรัตนโกสินทร์ ซึ่งศิลปินจินตนาการถึงเรื่องราวปรัมปราและตำนานเมืองรูปแบบใหม่ขึ้นมาโดยใช้ตัวละครจากพงศาวดารสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ 

ไหนๆ มาแล้วเราเลยแวะไปชมความงามของพระปรางค์ที่ปกติเคยเห็นแค่เวลานั่งเรือด่วนเจ้าพระยาผ่านไปมาด้วยเลย

พระปรางค์วัดอรุณฯ เป็นสถาปัตยกรรมไทยขนาดใหญ่ ประกอบด้วยปรางค์ประธานและปรางค์รองอีก 4 ปรางค์ แต่ตัวพระปรางค์ปัจจุบันนี้ไม่ใช่พระปรางค์เดิม (ของเดิมสร้างขึ้นราวสมัยกรุงศรีอยุธยาและมีความสูงเพียง 16 เมตร) 




ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้บูรณะพระปรางค์ครั้งใหญ่ให้เป็นแบบที่เห็นในปัจจุบัน คือองค์พระปรางค์ก่ออิฐถือปูน ประดับด้วยชิ้นเปลือกหอย กระเบื้องเคลือบ จานชามเบญจรงค์เป็นลายดอกไม้ ใบไม้ นอกจากนี้ยังมีการประดับตกแต่งด้วยกินนร กินรี ยักษ์ เทวดา และพญาครุฑ ส่วนบนสุดติดตั้งยอดนภศูลปิดทอง และครอบด้วยพระมหามงกุฎ ซึ่งนำมาจากพระประธานวัดนางนอง 

บริเวณตัวพระปรางค์หนาแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวที่ใส่ชุดไทยมาถ่ายรูป เห็นแล้วเลยนึกเป็นมิชชันอยู่ในใจว่าวันหลังต้องชวนเพื่อนมาเที่ยวถ่ายรูปที่นี่บ้าง คงให้ความรู้สึกเหมือนการเช่าชุดฮันบกไปเที่ยวราชวังเคียงบก ที่ประเทศเกาหลีอยู่ไม่น้อย




นั่งพักจนหายเหนื่อย ดื่มด่ำกับความงามตรงหน้าเสร็จ เราก็ตัดสินใจนั่งเรือข้ามฟากกลับไปทางเดิม

จริงๆ การจะไปวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ซึ่งเป็นสถานที่ที่สามที่เราจะไปนั้น สามารถไปทางรถยนต์จากวัดอรุณฯ เลยก็ได้ แต่เพราะอยากใช้เวลาวันหยุดที่ไม่มีมานานให้สาสม การนั่งเรือและเดินเท้าไปอีกประมาณ 17 นาที ชมวิวสองข้างทางที่ค่อยๆ เปลี่ยนจากท่าเตียน เป็นวังจักรพงษ์ โรงเรียนราชินี และปากคลองตลาด จึงดูจะเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ แป๊บเดียวก็ถึงสะพานพุทธ และเห็นยอดเจดีย์วัดอยู่ไม่ไกล

วัดประยุรวงศาวาสฯ เป็นวัดชื่อไม่คุ้นสำหรับเรา แต่มีประวัติมาเนิ่นนานตั้งแต่ พ.ศ. 2371 โดยสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) ได้อุทิศสวนกาแฟและสร้างวัดถวายเป็นพระอารามหลวงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว




ที่นี่มีงานจัดแสดงอยู่ 6 ชิ้น ชิ้นแรกอยู่ในบริเวณ เขามอ ติดกับทางเข้าวัด เป็นผลงานของ Alicia Framis ชื่อ Leave Here Your Fears โดยงานประติมากรรมชิ้นนี้เปิดโอกาสให้ผู้ชมมีส่วนร่วมได้ ด้วยการเขียนอธิบายสิ่งที่กลัวลงในกระดาษแล้วใส่ลงไปในตัวงาน

บริเวณที่จัดแสดงงานเป็นส่วนที่เราชอบที่สุดในบริเวณวัด เพราะมีความร่มรื่น เหมาะกับการมานั่งพักผ่อนใจ ภายในสระน้ำที่ล้อมรอบภูเขาจำลองนี้เต็มไปด้วยเต่าและตะพาบน้ำ ซึ่งในวันที่เราไปก็มีคนหลากวัยเลยพร้อมใจกันมาให้อาหารอยู่




ชิ้นงานที่จัดแสดงอยู่ภายในศาลาการเปรียญของวัด คืองานของ Yee I-lann ศิลปินชาวมาเลเซีย มีทั้งวิดีโอจากกลุ่มนักเต้นชายอย่าง ตากัปส์กานส์เธียเตอร์ แสดงการเต้นรำของนักรบในรูปแบบร่วมสมัย โดยสวมหมวกซึ่งเป็นงานประติมากรรมของศิลปิน ข้างๆ กันมีเสื่อคาราโอเกะที่ผสมผสานเนื้อร้องของเพลงยอดนิยมทั้งไทยและอังกฤษเอาไว้ 





ชิ้นงานสุดท้ายคืองานในรูปแบบ interactive art ผลงานของ เถกิง พัฒโนภาษ จัดแสดงอยู่บริเวณผนังของพระระเบียงรอบพระบรมธาตุมหาเจดีย์ โดยงานชิ้นนี้สมมติความตายของศิลปินและคู่ชีวิตว่าหากทั้งคู่มีสิทธิแต่งงานกันได้ตามกฎหมายไทย ซึ่งปัจจุบันไม่อนุญาตให้ LGBTQ+ จดทะเบียนสมรส ไม่มีสิทธิลดหย่อนภาษี ไม่มีสิทธิดูแลกันในวาระสุดท้าย และไม่มีสิทธิในมรดกของกันและกัน หากทั้งคู่ลาโลกนี้กันไปแล้ว ชีวิตหลังความตายของพวกเขาจะเป็นอย่างไร

โดยงานชิ้นนี้ผู้เข้าชมจะต้องเปิดอินสตาแกรมขึ้นมาเปิดกล้องส่องไปยังประติมากรรมทั้ง 5 ชิ้น เพื่อดูและฟังแอนิเมชันที่ขึ้นมา






หลังเดินและชมงานกันมาทั้งวัน เรายังคงรับประกันว่าเส้นทางที่ว่ามานี้ เดินได้โดยไม่เหนื่อย แถมเส้นทางที่เดินมาก็ทำให้เราได้สัมผัสและเห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านในแต่ละละแวกด้วย 

รีบคว้าโอกาสที่กรุงเทพฯ ยังพอจะมีลมเย็นพัดมาบ้าง ออกมาสูดอากาศด้วยกันเถอะ Bangkok Art Biennale จะจัดแสดงไปจนถึงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ และนอกเหนือจาก 3 วัดที่เราแนะนำก็ยังมีอีกหลายจุดแสดง เช่น หอศิลป์ BACC เซ็นทรัลเวิลด์ JWD Art Space และสามย่าน มิตรทาวน์ เป็นต้น 

เข้าไปเช็กสถานที่จัดงาน และดูตัวอย่างงานได้ก่อนที่ www.bkkartbiennale.com นะ






thank to : https://plus.thairath.co.th/topic/everydaylife/102571#aWQ9NjI3ZTBiMzQ1OTMzOTcwMDEyOTMwM2NlJnBvcz0xJnJ1bGU9MA==
Thairath Plus › Everyday Life ,22 ธ.ค. 65
creator : ปวีณ์กานต์ อินสว่าง
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ