ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: อสีติมหาสาวก คือ ใคร.?  (อ่าน 972 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
อสีติมหาสาวก คือ ใคร.?
« เมื่อ: ธันวาคม 30, 2022, 07:15:56 am »
0

พระพุทธรูปท่ามกลางพระอสีติมหาสาวก พระอุโบสถ วัดสุทัศนเทพวราราม
วันที่ถ่ายภาพ : 2016-06-15 , ผู้ถ่ายภาพ : พัสวีสิริ เปรมกุลนันท์


อสีติมหาสาวก

อสีติมหาสาวก คือ พระภิกษุสาวกผู้ใหญ่ ๘๐ รูป หรือ พระสาวกผู้ยิ่งใหญ่ ๘๐ รูป หรือ พระสาวกสำคัญ ๘๐ รูป ของพระพุทธเจ้า

ความหมายของคำว่า ‘อสีติมหาสาวก’ ตามรูปศัพท์ คำว่า ‘อสีติมหาสาวก’ เป็นคำสมาส ประกอบด้วยคำ ‘อสีติ’ และ ‘มหาสาวก’

    - คำว่า ‘อสีติ’ เป็นปกติสังขยา คือ จำนวนนับตามปกติ แปลว่า ‘๘๐’
    - ส่วน ‘มหาสาวก’ ประกอบด้วยคำว่า ‘มหา’ ซึ่งเป็นคุณศัพท์แปลว่า ใหญ่,มาก, สำคัญ และคำว่า ‘สาวก’ ซึ่งเป็น คำนามกิตก์ ประกอบรูปมาจากธาตุ ‘สุ’ (ในความหมายว่าฟัง) +ปัจจัย ณฺวุ มีรูปศัพท์ ว่า ‘สาวก’ แปลว่า ผู้ฟัง ในที่นี้หมายถึง ภิกษุผู้บรรลุธรรมชั้นสูงสุดคืออรหัตผล

ดังนั้นคำว่า ‘อสีติ’ และ ‘มหาสาวก’ เมื่อรวมเข้าด้วยกันเป็นคำสมาส เป็น ‘อสีติมหาสาวก’ จึงแปลว่า พระสาวกผู้ใหญ่ ๘๐ รูป หรือพระสาวกผู้ยิ่งใหญ่ ๘๐ รูป หรือ พระสาวกสำคัญ ๘๐ รูป

อสีติมหาสาวก มีมาในพระคัมภีร์ที่เป็นหลักฐานในที่ใดนั้น ยังไม่ปรากฏแน่ชัด บางฉบับอ้างว่า มาในเถรคาถาบ้าง อปทานบ้าง หนังสือที่เป็นหลักฐาน แต่เรื่องเอตทัคคะที่มีในคัมภีร์ เอกนิบาต อังคุตรนิกายนั้น มีจำนวนพระสาวกนับได้ ๔๑ องค์เท่านั้น หาครบ ๘๐ ไม่ ส่วนพระสาวก ๘๐ องค์นั้น เห็นมีในหนังสือสวดมนต์ ผูกเป็นคาถาบ้าง เป็นนามเรียกกันไปบ้าง

นอกจากนี้ ยังเห็นมีที่จารึกแผ่นศิลาติดอยู่ที่รูปพระอสีติมหาสาวก ที่พระอุโบสถวัดสุทัศนเทพวราราม และวัดเขมาภิรตาราม แต่ไม่ใคร่ตรงกัน มีต่าง ๆ นามกันไป สุดแต่ครบ ๘๐ องค์ เท่านั้น เว้นแต่องค์ที่สำคัญเป็นที่รู้จักกันดี จะมีอยู่เหมือนพ้องต้องกันหมดทุกแห่ง จำนวนพระสาวกที่มีในสวดมนต์แปล และในฉบับอื่นอีกนั้น ก็ผิดเพี้ยนกันไปอีกไม่น้อย

@@@@@@@

รายนามพระอสีติมหาสาวก

๑. พระอัญญาโกณฑัญญะ    ๒. พระมหาโมคคัลลานะ
๓. พระวัปปะ                   ๔. พระองคุลิมาลเถระ
๕. พระภัททิยะ                ๖. พระวักกลิเถระ
๗. พระมหานามะ              ๘. พระกาฬุทายีเถระ
๙. พระอัสสชิ                 ๑๐. พระมหาอุทายีเถระ
๑๑. พระนาลกะ               ๑๒. พระปิลินทวัจฉเถระ
๑๓. พระยสะ                 ๑๔. พระโสภิตเถระ
๑๕. พระวิมละ                ๑๖. พระกุมารกัสสปเถระ
๑๗. พระสุพาหุ               ๑๘. พระรัฏฐปาลเถระ
๑๙. พระปุณณชิ              ๒๐. พระวังคีสเถระ

๒๑. พระควัมปติ             ๒๒. พระสภิยเถระ
๒๓. พระอุรุเวลกัสสปะ      ๒๔. พระเสลเถระ
๒๕. พระนทีกัสสปะ         ๒๖. พระอุปวาณเถระ
๒๗. พระคยากัสสปะ        ๒๘. พระเมฆิยเถระ
๒๙. พระสารีบุตรเถระ       ๓๐. พระสาคตเถระ
๓๑. พระมหากัสสปะเถระ    ๓๒. พระนาคิตเถระ
๓๓. พระมหากัจจายนะ      ๓๔. พระลกุณฏกภัททิยเถระ
๓๕. พระมหาโกฏฐิตเถระ    ๓๖. พระปิณโฑลภารทวาชเถระ
๓๗. พระมหากัปปินเถระ     ๓๘. พระมหาปันถกเถระ
๓๙. พระมหาจุนทเถระ       ๔๐. พระจูฬปันถกเถระ

๔๑. พระอนุรุทธเถระ                 ๔๒. พระพากุลเถระ
๔๓. พระกังขาเรวตเถระ              ๔๔. พระโกณฑธานเถระ
๔๕. พระอานนทเถระ                 ๔๖. พระพาหิยทารุจิริยเถระ
๔๗. พระนันทกเถระ                  ๔๘. พระยโสชเถระ
๔๙. พระภคุเถระ                      ๕๐. พระอชิตเถระ
๕๑. พระนันทเถระ                     ๕๒. พระติสสเมตเตยยเถระ
๕๓. พระกิมพิลเถระ                   ๕๔. พระปุณณกเถระ
๕๕. พระภัททิยเถระ(กาฬิโคธาบุตร)  ๕๖. พระเมตตคูเถระ
๕๗. พระราหุลเถระ                    ๕๘. พระโธตกเถระ
๕๙. พระสีวลีเถระ                      ๖๐. พระอุปสีวเถระ

๖๑. พระอุบาลีเถระ                 ๖๒. พระนันทกเถระ
๖๓. พระทัพพมัลลบุตรเถระ        ๖๔. พระเหมกเถระ
๖๕. พระอุปเสนวังคันตบุตรเถระ    ๖๖. พระโตเทยยเถระ
๖๗. พระขทิรวนิยเรวตเถระ         ๖๘. พระกัปปเถระ
๖๙. พระปุณณมันตานีบุตรเถระ     ๗๐. พระชตุกัณณีเถระ
๗๑. พระปุณณสุนาปรันตเถระ       ๗๒. พระภัทราวุธเถระ
๗๓. พระโสณกุฏิกัณณเถระ        ๗๔. พระอุทยเถระ
๗๕. พระโสณโกฬิวิสเถระ          ๗๖. พระโปสาลเถระ
๗๗. พระราธเถระ                   ๗๘. พระโมฆราชเถระ
๗๙. พระสุภูติเถระ                  ๘๐. พระปิงคิยเถระ


@@@@@@@

รายนามของพระอสีติมหาสาวกที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ รายนามเบื้องซ้าย เป็นพระมหาเถระนั่งด้านพระปรัศว์ขวา(เบื้องขวา) ของพระพุทธเจ้า ส่วนรายนามเบื้องขวา เป็นพระมหาเถระนั่งด้านพระปรัศว์ซ้าย (เบื้องซ้าย) ของพระพุทธเจ้า

การที่พระสาวกนั่งด้านปรัศว์ทั้ง ๒ ข้าง ของพระพุทธเจ้า ถือเป็นธรรมเนียมครั้งพุทธกาล โดยมีหลักอยู่ว่าการปูลาดอาสนะ ในที่นิมนต์ ให้ปูลาดอาสนะของพระพุทธเจ้าไว้ตรงกลาง ปูลาดอาสนะ ของพระสารีบุตรไว้ด้านพระปรัศว์ขวา ปูลาดอาสนะของพระมหาโมคคัลลานะไว้ด้านพระปรัศว์ซ้าย แล้วจึงปูลาดอาสนะพระสาวกรูปอื่นๆ ต่อจากอาสนะของพระมหาสาวกทั้ง ๒ นั้น






ที่มา : หอมรดกไทย และ สารานุกรมวิกิพีเดีย
ขอบคุณ : หนังสือ มนุษย์..เกิดมาทำไม.? เล่ม ๑๗ , ตอน ประวัติอสีติมหาสาวก ๘๐ รูป , ผู้เรียบเรียง สุวัฒน์ สุวฑฺฒโน (พิทักษ์วงษ์)
ขอบคุณภาพจาก : https://db.sac.or.th/seaarts/artwork/330
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 30, 2022, 07:21:57 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: อสีติมหาสาวก คือ ใคร.?
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ธันวาคม 30, 2022, 07:36:12 am »
0



 :25: :25: :25:
พระอสีติมหาสาวก

พระอสีติมหาสาวก หมายถึง พระสาวกผู้ใหญ่ ๘๐ รูป หรือ พระสาวกผู้ยิ่งใหญ่ ๘๐ รูป หรือ พระสาวกสำคัญ ๘๐ รูป ในสมัยพุทธกาล ในการกำหนดพระมหาสาวกให้มีจำนวน ๘๐ รูปน่าจะมีเหตุผลแสดงถึงความยิ่งใหญ่ ความสวยงาม และความสำคัญอันเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับความเป็นพระพุทธเจ้า คือ

๑. พระพุทธเจ้าทรงมีพระชนมายุ ๘๐ พรรษา
๒. พระพุทธเจ้าทรงมีพระฉัพพรรณรังษีแผ่ซ่านออกจากพระวรกายวนเวียนรอบเนื้อที่ประมาณ ๘๐ ศอก
๓. พระวรกายของพระพุทธเจ้าสง่างาม ด้วยพระอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ


พระอสีติมหาสาวกผู้ได้รับยกย่องไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ

แม้ว่าพระมหาสาวกจะมีอยู่ถึง ๘๐ รูป ดังกล่าวมาแล้ว แต่ก็มีเพียง ๔๑ รูปเท่านั้นที่ได้รับการยกย่องไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะจากพระพุทธเจ้า เพราะตำแหน่งเอตทัคคะคือ ตำแหน่งที่พระพุทธเจ้าทรงประทานให้แก่พระสาวกผู้มีความสามารถเป็นเลิศเฉพาะด้านต่างๆ เพื่อเป็นการยกย่อง และพระอสีติมหาสาวก ๔๑ รูปนั้นได้รับยกย่องไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะก็ด้วยเหตุผล ๔ ประการ คือ

    1. ได้รับยกย่องตามเรื่องที่เกิด (อตฺถุปฺปตฺติโต) หมายความว่า พระอสีติมหาสาวกรูปนั้นๆ ได้แสดงความสามารถออก มาให้ปรากฏโดยสอดคล้องกับเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น
    2. ได้รับยกย่องตามที่สะสมบุญมาแต่อดีต (อาคมนโต) หมายความว่า พระอสีติมหาสาวกรูปนั้นๆ ได้สร้างบุญสะสมมาแต่ อดีตชาติ พร้อมทั้งตั้งจิตปรารถนาเพื่อบรรลุตำแหน่งเอตทัคคะนั้นด้วย
    3. ได้รับยกย่องตามความเชี่ยวชาญ (จิณฺณวสิโต) หมายความว่า พระอสีติมหาสาวกรูปนั้นๆ มีความเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง เป็นพิเศษ สมตามที่ตั้งจิตปรารถนามา
    4. ได้รับยกย่องตามที่มีความสามารถเหนือผู้อื่น (คุณาติเรกโต) หมายความว่า พระอสีติมหาสาวกรูปนั้นๆ มีความสามารถ ในเรื่องที่ทำให้ได้รับตำแหน่งเอตทัคคะเหนือกว่าพระสาวกรูปอื่นๆ ที่มีความสามารถอย่างเดียวกัน




คุณลักษณะสำคัญของพระอสีติมหาสาวก

พระอสีติมหาสาวก มีทั้งที่ได้รับยกย่องไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะและที่มิได้รับยกย่องไว้ในตำแหน่ง เอตทัคคะซึ่งเป็นไปตามความปรารถนา แต่ถึงอย่างไรพระอสีติมหาสาวก ๒ กลุ่มนี้ก็มีความสำคัญที่ควรกล่าวถึงไว้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา และความสำคัญของพระอสีติมหาสาวกนั้นแยกกล่าวได้เป็น 2 ประการ คือ

๑. คุณลักษณะสำคัญส่วนตน

ได้แก่ คุณลักษณะสำคัญที่เกิดจากความเป็นผู้ได้บำเพ็ญบารมีมามาก การได้บรรลุอภิญญา และความเป็นผู้มีเถรธรรม

ก. ความเป็นผู้ได้บำเพ็ญบารมีมามาก หมายถึง การได้บำเพ็ญบารมีมาเพื่อเป็นพระมหาสาวกไว้หลายต่อหลายชาติ ปรมัตถทีปนี กล่าวว่า “พระสาวกของพระพุทธเจ้าใช่ว่าจะเป็นพระมหาสาวกได้ทุกรูป ท่านที่บำเพ็ญบารมีมาเพื่อการนี้เท่านั้นจึงจะเป็นได้ และต้องบำเพ็ญบารมีสิ้นระยะเวลา ๑๐๐,๐๐๐ กัป”

อนึ่ง นอกจากบำเพ็ญบารมีสิ้นระยะเวลา ๑๐๐,๐๐๐ กัปแล้ว พระอสีติมหาสาวกยังต้องบำเพ็ญ ‘คตปัจจาคตวัตร’ อยู่ตลอดเวลาประกอบอีกด้วย ปรมัตถทีปนี กล่าวว่า “วัตรนี้ผู้ที่ปรารถนาเป็นพระมหาสาวกต้องบำเพ็ญ มิเช่นนั้นแล้วก็ไม่สามารถบรรลุถึงความเป็นพระมหาสาวกได้เลย”

ข. การได้บรรลุอภิญญา หมายถึง การได้บรรลุความรู้ชั้นสูง ความรู้ชั้นสูงเรียกว่า อภิญญา มี ๖ คือ

    (๑) อิทธิวิธี ความรู้ที่ทำให้สามารถแสดงฤทธิ์ได้
    (๒) ทิพพโสต ความรู้ที่ทำให้เกิดหูทิพย์
    (๓) เจโตปริยญาณ ความรู้ทำให้รู้ใจผู้อื่นได้
    (๔) ปุพเพนิวาสานุสติ ความรู้ทำให้ระลึกชาติได้
    (๕) ทิพพจักขุ ความรู้ทำให้เกิดตาทิพย์
    (๖) อาสวักขยญาณ ความรู้ทำอาสวะให้สิ้นไป

ค. ความเป็นผู้มีเถรธรรม หมายถึงความเป็นผู้มีธรรมที่ทำให้เป็นผู้มั่นคง ประกอบด้วย

    ๑. รัตตัญญู เป็นผู้รู้ราตรี หมายถึง บวชมานานและรู้เห็นกิจการทรงจำเรื่องราวต่างๆ ไว้ได้มาก
    ๒. สีลวา เป็นผู้มีศีล หมายถึง เคร่งครัดในสิกขาบททั้งหลายและสำรวมกายวาจาใจ
    ๓. พหุสสุตะ เป็นพหูสูต หมายถึง ทรงความรู้ไว้มาก
    ๔. สวาคตปาฏิโมกขะ เป็นผู้ทรงจำปาฏิโมกข์ได้ดี หมายถึง ทรงจำพระวินัยได้คล่องแคล่ว ชำนิชำนาญ สามารถวินิจฉัยได้ดี
    ๕. อธิกรณสมุปปาทวูปสมกุสละ เป็นผู้ฉลาดในการระงับอธิกรณ์ที่เกิดขึ้น หมายถึง เมื่อเกิดเรื่องราวไม่สงบขึ้นในสงฆ์ สามารถหาทางระงับปัญหานั้นได้
    ๖. ธัมมกามะ เป็นผู้ใคร่ในธรรม หมายถึง รักความรู้ รักความจริง ยินดีในการพิจารณาธรรม
    ๗. สันตุฏฐะ เป็นผู้ยินดีในของที่ตนมี หมายถึง ยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้
    ๘. ปาสาทิกะ เป็นผู้น่าเลื่อมใส หมายถึง เป็นผู้มีอิริยาบถ รวมทั้งกิริยาอาการเรียบร้อย ทำให้ผู้พบเห็นเกิดความเลื่อมใส
    ๙. ฌานลาภี เป็นผู้ได้ฌาน หมายถึง เป็นผู้บรรลุฌานและมีความคล่องแคล่วในฌาน ๔ อันเป็นเครื่องทำให้อยู่เป็นสุขในชีวิตประจำวัน
    ๑๐. อนาสวเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ เป็นผู้บรรลุเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ สิ้นอาสวะ หมายถึง ละราคะและอวิชชาได้จนทำให้กิเลสสิ้นไป

พระอสีติมหาสาวก แม้จะมีเถรธรรมไม่ครบหรือมีแตกต่างกัน แต่ที่ต้องมีเหมือนกันคือ ข้อ ๑๐ ซึ่งก็หมายความว่า พระอสีติมหาสาวกทุกรูปต้องเป็นพระอรหันต์ แม้ว่าบางรูปขณะที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ยังไม่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ แต่ก็สำเร็จได้ภายหลังพุทธปรินิพพาน

บรรดาพระอสีติมหาสาวก ล้วนเป็นผู้มีคุณวิเศษเหล่านี้เหมือนกัน คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ พอประมวลสรุปได้ ดังนี้

    ๑. ได้พบได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง
    ๒. ได้เห็นหรือได้ยินแบบอย่างนั้น จนเกิดความพอใจ แล้วตั้งความปราถนาในอนาคต
    ๓. บำเพ็ญกุศลกรรมทั้งหลาย มีการให้ทาน เป็นต้น
    ๔. ได้รับพุทธพยากรณ์ว่าจักสำเร็จในอนาคตกาล
    ๕. ได้บำเพ็ญกุศลบารมีทั้งหลายในทุกๆ ภพที่เกิดมาแล้ว
    ๖. กุศลบารมีทั้งหลายที่สั่งสมมาช้านานแก่กล้า จึงได้เกิดร่วมกับพระพุทธเจ้า
    ๗. ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าหรือพระสาวก จึงเกิดศรัทธาขอบวชในพระพุทธศาสนา




๒. คุณลักษณะสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม

คุณลักษณะข้อนี้เป็นผลมาจากความสามารถเฉพาะตัวของพระอสีติมหาสาวก และเกิดจากผลงานที่ส่งผลต่อ ความเจริญมั่นคงของพระพุทธศาสนา

ก. ความสามารถเฉพาะตัว พระอสีติมหาสาวกแต่ละรูปมีความสามารถเฉพาะตัวแตกต่างกันออกไป จนดูเหมือน ว่าจะเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าในด้านต่างๆ ได้ อาทิ

    - พระอัญญาโกณฑัญญะ เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าด้านรัตตัญญู
    - พระสารีบุตร เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าด้านมีปัญญามาก
    - พระมหาโมคคัลลานะ เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าด้านมีฤทธิ์มาก

เพราะเหตุที่มีความสามารถเฉพาะตัวนี้เอง พระอสีติมหาสาวกจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ตามเสด็จที่ดีเลิศ ตามปกติพระพุทธเจ้าเมื่อเสด็จไปในที่ใด ย่อมมีพระสาวกแวดล้อมตามเสด็จไปด้วยเป็นจำนวนมาก ในจำนวนนั้นมีพระอสีติมหาสาวกรวมอยู่ด้วย ดังปรากฏในอรรถกถาธรรมบทว่า

ข. ผลงาน พระอสีติมหาสาวกได้แสดงผลงานออกมา ด้วยการช่วยพระพุทธเจ้าประกาศพระพุทธศาสนาให้แพร่หลายและรักษาพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ การช่วยพระพุทธเจ้าประกาศพระพุทธศาสนาให้แพร่หลายนั้น ปรากฏให้เห็นเด่นชัดแต่แรกแล้วนั่นคือ หลังจากได้ บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระพุทธเจ้าได้ประกาศพระพุทธศาสนาตามลำพังพระองค์เดียวอยู่ระยะหนึ่ง กระทั่งได้พระสาวก ๖๐ รูป ต่อมาทรงเห็นว่าพระสาวกเหล่านั้นสามารถเป็นกำลังสำคัญ ของพระองค์ได้ จึงทรงส่งไปประกาศพระพุทธศาสนาในที่ต่างๆ วันที่ส่งพระสาวกออกไปประกาศพระพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า

“ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพ้นแล้วจากบ่วง ทั้งที่เป็นทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ ขอเธอทั้งหลายจงจาริกไป เพื่อประโยชน์และความสุขเกษมแก่ชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ทวยเทพและมวลมนุษย์ ขอเธอทั้งหลายอย่าได้ไปร่วมทางเดียวกัน ๒ รูป จงแสดงธรรมให้งามในเบื้องต้น ให้งามในท่ามกลาง และให้งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์ให้พรั่งพร้อมด้วยอรรถและพยัญชนะให้บริบูรณ์บริสุทธิ์ สัตว์ทั้งหลายจำพวกที่มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อยมีอยู่ เมื่อไม่ได้ฟังธรรมจักพากันเสื่อม ผู้รู้ทั่วถึงธรรมจักมี ภิกษุทั้งหลายแม้เราก็จักไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคมเพื่อแสดงธรรม”






ขอบคุณที่มา : https://kk.mcu.ac.th/Art-Culture/disciple.php
มจร. วิทยาเขตขอนแก่น
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ