ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ‘พระนางสามผิว’ และ ‘พระนางมะลิกา’ เรื่องจริง หรือ อิงนิยาย.?  (อ่าน 980 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0





‘พระนางสามผิว’ และ ‘พระนางมะลิกา’ เรื่องจริง หรือ อิงนิยาย.? (1)

มีผู้สอบถามดิฉันบ่อยครั้ง ว่าเรื่องราวของ “พระนางสามผิว” กับธิดานาม “พระนางมะลิกา” ที่ชาวบ้านเล่าสืบต่อกันมาเชิงนิทานมุขปาฐะในแถบเมืองฝาง-แม่อายนั้น เป็นเรื่องจริงหรืออิงนิยายกันแน่?

ในฐานะที่ดิฉันสนใจศึกษาเรื่อง “แม่ญิงล้านนา”

เป็นเหตุให้ดิฉันต้องลงพื้นที่เก็บข้อมูล สัมภาษณ์ผู้รู้ และสอบค้นหลักฐานด้านเอกสารถึงที่มาที่ไปของราชนารีทั้งสองนางว่า เรื่องที่เล่านั้นจริงเท็จอย่างไร

แน่นอนว่าทุกคำถามย่อมมีคำตอบออกมาสามแนวทาง

แนวทางแรก อย่าได้หลงเชื่อ เป็นแค่นิทาน เรื่องแต่งล้วนๆ

แนวทางที่สอง เรื่องจริงแท้แน่นอน อาจใส่สีตีไข่เพิ่มความพิสดารขึ้นอีกนิดหน่อยพอให้จดจำง่าย

แนวทางสุดท้าย มีเค้าโครงเรื่องจริงอยู่พอสมควร แต่เมื่อไม่ได้บันทึกเรื่องราวตั้งแต่ช่วงที่เกิดเหตุการณ์จริงแบบสดๆ ร้อนๆ ครั้นกาลเวลาล่วงผ่าน เหลือเพียงความทรงจำอันเลือนรางในยุคหลัง จึงมีการดึงเอาชื่อบุคคล ศักราช แบบผิดฝาผิดตัวมาปะติดปะต่อเรื่องราวจนคลาดเคลื่อนไปบ้าง ทั้งๆ ที่เมื่อตรวจสอบหลักฐานแล้ว บุคคลเหล่านี้ได้สร้างวีรกรรมขึ้นจริง มีประวัติศาสตร์รองรับจริง

ดูเหมือนว่าคำตอบเรื่องของพระนางสามผิว และพระนางมะลิกา น่าจะอยู่ในแนวทางสุดท้าย



อนุสาวรีย์พระเจ้าฝางอุดมสิน และพระนางสามผิว

“นางสามผิว” ผู้เลอโฉมไม่ได้มีแค่เมืองฝาง

พระนางสามผิวในตำนานที่ปรากฏว่าเป็นราชินีแห่งเมืองฝาง ไม่ได้มีการระบุนามจริง มีแค่ฉายาว่า “พระนางสามผิว” เท่านั้น ในขณะที่พระสวามีกับพระราชธิดากลับปรากฏนาม

ตำนานบอกแต่เพียงว่า พระนางสามผิวเป็นพระมเหสีของ พระเจ้าอุดมสิน กษัตริย์เมืองฝาง ซึ่งชื่อของพระเจ้าอุดมสิน ก็ไม่ปรากฏในเอกสารหลักเล่มอื่นใดอีกเช่นกัน ส่วนพระราชธิดานั้น มีพระนามว่า มะลิกา

เหตุที่ได้รับฉายาว่า “นางสามผิว” ก็เพราะเกิดมามีรูปสมบัติพิเศษที่หาได้ยากยิ่งในหญิงอื่น นั่นคือ สีของผิวกายจะเปลี่ยนแปรไปได้ทั้งสามช่วงเวลา

ในตอนเช้า ผิวพรรณของนางมีสีขาวบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นน้ำเป็นนวล

ยามเที่ยงวัน พระฉวีเริ่มแปรเป็นสีชมพูอ่อน

ครั้นยามเย็นค่ำ ผิวเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ ทำให้ชายใดได้ยลบังเกิดความลุ่มหลงยิ่งนัก

นำไปสู่สงคราม “ศึกชิงนาง” ระหว่าง พระเจ้าสุทโธธรรมราชา กษัตริย์เมืองอังวะของพม่า กับพระเจ้าอุดมสิน กษัตริย์เมืองฝาง ต้องสู้รบกันนานถึงสามปี

ในที่สุด พระนางสามผิวกับพระเจ้าอุดมสิน ตัดสินใจกระโดด “บ่อน้ำซาววา” ปลงพระชนม์ชีพลงพร้อมกัน เพื่อยุติสงคราม

มาถึงจุดนี้ เราได้เห็นตัวละครเพิ่มอีกหนึ่งตัวสำคัญคือ พระเจ้าสุทโธธรรมราชา ซึ่งเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่มีตัวตนจริง ยกทัพจากอังวะมาตีเมืองต่างๆ ในล้านนาจริง แต่จะมาเพื่อแย่งชิงตัวพระนางสามผิว เท่านั้นล่ะหรือ? เรื่องนี้ต้องค่อยๆ วิเคราะห์กันทีละเปลาะ

เบื้องแรกนี้อยากกล่าวถึงนิทานในทำนองเดียวกันนี้อีกเรื่องหนึ่ง ที่มีการกล่าวถึงความงามของสตรีผู้มีผิวกายงามสามสีสลับไปมา และถูกเรียกว่า “นางสามผิว” อีกอนงค์หนึ่ง

นั่นคือนิทานเรื่อง “นางแก้ว” แถวเวียงหวาย อ.บ้านโฮ่ง จ.ลำพูน ก็มีเรื่องราวที่กล่าวถึง สาวงามผู้มีผิวกายสามสี ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ระยับขับตา เป็นที่เสน่หาของผู้ได้ยล นำมาซึ่ง “ศึกชิงนาง” อันอีนุงตุงนัง อีกเช่นกัน

นิทานพื้นบ้านทั้งสองเรื่องนี้ สะท้อนให้เห็นว่า รสนิยมของบุรุษล้านนาต่อความงามของสตรีเพศนั้น หาได้ปลื้มผู้หญิงผิวขาวแบบ Whitening ตามที่ผู้หญิงยุคปัจจุบันให้คุณค่ากันไปเองโดยลอกเลียนแบบผิวกายของชาวตะวันตกไม่



น้ำบ่อซาววา จุดที่เล่ากันว่าสองกษัตริย์แห่งเมืองฝางได้กระโดดลงปลิดพระชนม์ชีพเพื่อยุติสงครามกับพม่า เป็นจุดที่ต่อมาได้สร้างอนุสาวรีย์

หากแต่ชอบผู้หญิงผิวเนื้อหลายสีผสมกัน ตำนานนางสามผิวเกิดขึ้นเมื่อไหร่ อย่างไร

เรามิอาจทราบได้ว่า ระหว่าง “นางแก้ว” กับ “นางสามผิว” นิทานเรื่องไหนเกิดขึ้นก่อน เรื่องใดลอกเลียนเรื่องใด หรือว่าต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างเขียน เพราะเป็นแนวคิดแบบสากลของคนในยุคสมัยก่อน

สมัยก่อนที่ว่านั้น เก่าแก่แค่ไหนกันเล่า?

อ.อินทร์ศวร แย้มแสง ปราชญ์เมืองฝาง (เพิ่งล่วงลับไปราว 3 ปีที่แล้ว) ท่านมีอายุร่วมสมัยกับปราชญ์ล้านนาคนสำคัญ อ.สงวน โชติสุขรัตน์ ทั้งสองเคยพากันไปสัมภาษณ์คนเฒ่าคนแก่ที่เปิดประเด็นเรื่องพระนางสามผิวแห่งเมืองฝางครั้งแรก เมื่อปี 2494

ผู้ที่เล่าเรื่องราวพระนางสามผิวให้สองปราชญ์ฟังมีนามว่า “พ่อเฒ่าโปธา” (ไม่ทราบนามสกุล) เป็นชาวอำเภอแม่ริม แต่ย้ายมาอยู่เมืองฝาง (ไม่ระบุว่าย้ายมาตั้งรกรากที่เมืองฝางตั้งแต่ปีไหน) ทราบแต่ว่าปี 2494 ช่วงที่ อ.สงวน และ อ.อินทร์ศวรไปสัมภาษณ์นั้น พ่อเฒ่าโปธามีสถานะเป็น “ผู้ใหญ่บ้าน” บ้านต้นหนุน หมู่ 5 ต.เวียง อ.เมืองฝาง

อ.สงวน โชติสุขรัตน์ ในฐานะนักเขียนสารคดีเชิงประวัติศาสตร์ เป็นคอลัมนิสต์ประจำหนังสือพิมพ์ที่ตัวท่านเองเป็นเจ้าของ ได้นำเรื่องราวตำนาน “พระนางสามผิว” มาตีพิมพ์เป็นตอนๆ ในบทความชื่อ “ตำนานไชยปราการ” จากนั้นนำมารวมเล่มครั้งแรกในหนังสือ “ตำนานเมืองเหนือ” พ.ศ.2512

นี่คือสิ่งที่เราสามารถสืบสาวราวเรื่องถึงที่มาที่ไปของพระนางสามผิวได้เก่าสุด

แต่แน่นอนว่า พ่อเฒ่าโปธาย่อมต้องได้ยินเรื่องนี้มาก่อนปี 2494 แล้ว ทว่า ไม่มีการบันทึกไว้อย่างเป็นกิจจะลักษณะ

น่าสนใจทีเดียว เรื่องราวของพระนางสามผิวนี้ พบว่าไม่ใช่นิทานปรัมปราแบบท้าวแสนปม หรือพระยากง พระยาพาลที่เป็น “นิทานพื้นบ้าน” แล้วถูกนำมารวบรวมไว้ใน “พงศาวดารเหนือ”

อีกทั้งยังไม่ใช่นิทานที่ถูกบันทึกไว้ในลักษณะ “กึ่งตำนานกึ่งประวัติศาสตร์” เฉกเรื่องราวของ “พระนางจามเทวี” ที่ปรากฏในตำนานจามเทวีวงส์ และตำนานมูลศาสนา ซึ่งมีรายละเอียดของเหตุการณ์ สถานที่ และการระบุศักราชที่พอจะทิ้งร่องรอยให้สืบเค้าเหง้าค้นหาความจริงได้บ้าง



รูปปั้นพระเจ้าฝางอุดมสิน และพระนางสามผิว องค์เก่า ถูกนำมาเก็บไว้ด้านใน เมื่อมีการจัดสร้างองค์ใหม่แทนที่

พระนางสามผิวจากคำบอกเล่าของพ่อเฒ่าโปธา

พระเจ้าฝาง หรือพระเจ้าอุดมสิน มีมเหสีองค์หนึ่ง ทรงสิริโฉมงดงามมาก ในวันหนึ่งๆ สามารถเห็นผิวพรรณของนางเปลี่ยนไปได้ถึง 3 สี นับแต่เวลาเช้าผิวมีสีขาวบริสุทธิ์ผุดผ่อง ยามเที่ยงวันฉวีแปรเป็นสีชมพูอ่อน ครั้นยามเย็นวรรณะเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ เป็นความงามประหลาดอันน่าชวนพิสมัยยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงได้พระนามว่า “พระนางสามผิว”

พระเจ้าฝางอพยพครัว 5,000 ครัว จากเชียงแสนมาตั้งเมืองที่ฝาง เพราะถูกพวกห้อ (ฮ่อ) รุกราน พระเจ้าฝางและพระนางสามผิวมีราชธิดาองค์หนึ่ง สวยงามเหมือนแม่ แต่มีตำหนิที่พระโอษฐ์เบื้องบนแหว่ง มีนามว่า “มะลิกา” เมื่อโตเป็นสาวพระนางมีความอายที่ปากไม่สวย ไม่อยากให้ใครได้ยลโฉม พระบิดาจึงสร้างเวียงเล็กๆ ให้อยู่เหนือเวียงฝางคือ เวียงมะลิกา (ปัจจุบันคืออำเภอแม่อาย) เป็นเวียงที่ค่อนข้างปิด เข้าออกได้เฉพาะสตรี คล้ายเมืองลับแล

กิตติศัพท์เรื่องมเหสีของพระเจ้าฝางมีพระฉวีงามยิ่งนักล่วงรู้ไปถึงหูของพระเจ้าสุทโธธรรมราชา (สะโดธรรมราชา) กษัตริย์พม่า พระองค์ปลอมเป็นพ่อค้าวาณิชนำสินค้าจากเมืองตะโก้ง เพื่อแอบทอดพระเนตรให้ประจักษ์ด้วยสายตาตัวเอง

ครั้นได้พบพระนางสามผิวตัวเป็นๆ ก็ตกหลุมรักชนิดถอนตัวไม่ขึ้น เมื่อกลับไปกรุงอังวะได้วางแผนตระเตรียมรี้พลเข้ามาล้อมเวียงฝางเพื่อทำศึกชิงนาง ทำการสู้รบกันนานถึง 3 ปี ในที่สุดเวียงฝางแตก แต่ก่อนที่พม่าจักหักเมืองได้นั้น มีเรื่องเล่าสองกระแส

กระแสแรก พระเจ้าฝางอุดมสินและพระนางสามผิว ได้ตัดสินพระทัยกระโดดลง “น้ำบ่อซาววา” (ซาวแปลว่า 20 หมายถึงบ่อน้ำที่มีความลึกถึง 40 เมตร) เพื่อตัดปัญหา ด้วยความคิดว่าเมื่อพระเจ้าสุทโธธรรมราชา ไม่ได้ตัวพระนางสามผิวแล้ว อย่างไรเสียก็คงเสียพระทัย ถอยกลับพม่าไป คงไม่ได้ทำอันตรายใดๆ แก่ชาวเมือง

กระแสที่สอง กล่าวว่าแท้จริงคนที่กระโดดลงน้ำบ่อซาววานั้น คืออำมาตย์และนางข้าหลวงผู้มีความจงรักภักดีต่อสองกษัตริย์อย่างสูงสุด ได้เสียสละปลอมตัวแทน ห้วงเวลานั้น พระนางมะลิกา ราชธิดาได้ยกทัพมาช่วยสู้รบกับพม่าอย่างอาจหาญ นางได้พาพระราชบิดา-พระราชมารดาหนีไปไกลถึงเมืองกุฉินารายณ์ (อยู่ที่ไหน? เพราะในสุวรรณภูมินิยมเอาชื่อเมืองในอินเดียมาตั้งซ้ำ)

@@@@@@@

ถอดรหัสเบื้องต้น ศึกพระเจ้าสุทโธฯ มีจริง

ก่อนที่จะทำการวิเคราะห์ในทุกประเด็นอย่างละเอียดฉบับหน้า ฉบับนี้ขอตั้งข้อสังเกตทิ้งไว้จาก “รหัส” ที่เรื่องเล่าทิ้งร่องรอยไว้ดังนี้

ประเด็นแรก นามของ “พระเจ้าสุทโธธรรมราชา” เป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ พระองค์ยกทัพมาตีเมืองฝางจริง และใช้เวลาสู้รบ 3 ปีจริง

ประเด็นนี้ยังไม่เพียงพออีกหรือ ที่จะสรุปได้ว่า เรื่องราวของพระนางสามผิว กับพระเจ้าอุดมสินกระโดดน้ำบ่อซาววานั้นคือเรื่องจริง?

ปัญหามีอยู่ว่า การยกทัพมาของพระเจ้าสุทโธฯ นั้น เอกสารฉบับอื่นๆ ไม่ได้ระบุเลยว่าเป็นเรื่องศึกชิงนาง อีกทั้งผู้ปกครองเมืองฝางขณะที่พระเจ้าสุทโธฯ ยกทัพมาตี เอกสารฉบับต่างๆ ก็ไม่ได้ระบุว่าชื่อ “พระเจ้าอุดมสิน” แต่อย่างใด

นอกจากนี้แล้ว เราควรสืบค้นประเด็นที่ว่ามีการอพยพชาวเมืองเชียงแสนมาอยู่ที่ฝางจริงหรือไม่ โดยตัวเลขอาจไม่ต้องมากถึง 5,000 ครัวเรือนก็ได้

โปรดติดตามตอนต่อไปฉบับหน้า •

 



ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 มกราคม 2566
คอลัมน์ : ปริศนาโบราณคดี
ผู้เขียน   : เพ็ญสุภา สุขคตะ
เผยแพร่ : วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ.2566
URL: http://www.madchima.org/forum/index.php?action=post;board=19.0
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



‘พระนางสามผิว’ และ ‘พระนางมะลิกา’ เรื่องจริง หรือ อิงนิยาย.? (2)

บุคคลผู้ที่ศึกษาเรื่อง “พระนางสามผิว” และ “พระเจ้าอุดมสิน” อย่างละเอียดตั้งแต่ช่วง 4-5 ทศวรรษที่ผ่านมาก็คือ “อาจารย์อินทร์ศวร แย้มแสง” ปราชญ์เมืองฝาง โดยท่านได้หาหลักฐานเชื่อมโยงไว้หลายแนวทาง เมื่อเทียบกับอาจารย์สงวน โชติสุขรัตน์ ท่านทำเพียงแค่ถอดเทปคำสัมภาษณ์คนเฒ่าคนแก่ที่ให้ข้อมูลเรื่องพระนางสามผิวเป็นคำบอกเล่าเท่านั้น ยังมิทันได้เจาะลึกในรายละเอียด อาจารย์สงวนก็เสียชีวิตไปเสียก่อน

การจะตอบคำถามว่า พระนางสามผิวเป็นเรื่องจริงหรืออิงนิยายนั้น จำเป็นต้องย้อนกลับไปดูรายละเอียดของสงครามสมัยพระเจ้าสุทโธรรมราชาเสียก่อน ว่าท่านสู้รบกับใครที่เมืองฝาง



อนุสาวรีย์พระเจ้าสุทโธธรรมราชา ในกรุงอังวะ

เจ้าเมืองฝางขณะนั้นใช่ชื่อ “พระเจ้าอุดมสิน” หรือไม่.? | มูลเหตุแห่งการตีเมืองฝางของตลุนมิน

เราจึงต้องเริ่มต้นที่บุคคลชื่อ “พระเจ้าสุทโธธรรมราชา” (สิริสุธรรมราชา) ก่อน เขาคือกษัตริย์พม่าผู้มีหลายพระนาม เอกสารฝ่ายพม่าเรียก “ตลุนมิน” (สาลุน-Thalun Min) บ้างเรียก “ภวมังทรา” ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.2172-2191 เทียบให้ง่ายคือ ร่วมสมัยกับสมเด็จพระเจ้าปราสาททองแห่งกรุงศรีอยุธยา (2173-2199)

ในขณะนั้นอาณาจักรล้านนาซึ่งเคยมีศูนย์กลางอยู่ที่เชียงใหม่ ไม่มีกษัตริย์ ด้วยมิใช่รัฐเอกราช มีแต่เจ้าเมืองต่างพระเนตรพระกรรณที่พม่าแต่งตั้ง บางเมืองปกครองโดยขุนนางพม่า บางเมืองสถาปนาคนพื้นถิ่นให้ดูแลกันเอง บางห้วงบางตอนบ้านเล็กเมืองน้อยก็สู้รบแย่งชิงอำนาจกัน บางครั้งบางเมืองก็แข็งข้อต่อพม่าไปสวามิภักดิ์ต่อกษัตริย์อยุธยาให้มาคานอำนาจ ในขณะที่หลายเมืองยังจงรักภักดีต่อพม่า

จากหนังสือ “ประวัติศาสตร์พม่า” ของ “หม่องทินอ่อง” กล่าวถึงพระเจ้าตลุนมินว่า เป็นผู้ย้ายเมืองหลวงจากหงสาวดี (พระโค) ไปอยู่กรุงอังวะ และ “ทรงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่เชียงใหม่หรือแคว้นไทใหญ่อื่นๆ”



กำแพงเมืองฝาง

นอกจากนี้ ยังมีความกังวล เฝ้าหวังว่า “สยามจะไม่ยุยงพวกไทใหญ่ให้ก่อกบฏตามตะเข็บพรมแดนอีก” แต่ไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับการตีเมืองฝางของพระเจ้าตลุนมินในเอกสารเล่มนี้

หันมาดูเอกสารของฝ่ายล้านนาคือ ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่และตำนาน 15 ราชวงศ์ กล่าวว่า

“จุลศักราช 994 ตัว ปีเต่าสัน (ตรงกับ พ.ศ.2175) พระเจ้าสุทโธธัมมราชามังทรา มาเอาเมืองฝาง 3 ปีจิ่งได้”

อาจารย์อินทร์ศวรกล่าวว่า พ.ศ.2175 ช่วงที่ตำนานระบุว่าพระเจ้าสุทโธธรรมราชามาตีเมืองฝางนานถึง 3 ปีนั้น บุคคลที่ปกครองเมืองฝางหาได้ระบุนามว่า “พระเจ้าอุดมสิน” แต่อย่างใดไม่ (เรียกกันเพียงพระญาฝาง) และคิดว่าเมืองฝางช่วงนั้นเป็นเมืองขนาดเล็ก ขึ้นตรงต่อเชียงใหม่ สถานะของผู้ปกครองเมืองในแว่นแคว้นล้านนา โดยปกติก็ไม่เคยเรียกใครว่า “พระเจ้า” นำหน้าอยู่แล้ว

ช่วงนั้นทราบแต่ชื่อของเจ้าเมืองเชียงใหม่คือ “เจ้าพลศึกซ้ายไชยสงคราม” (ท่านนี้เคยเป็นเจ้าเมืองน่านมาก่อน) เจ้าพลศึกซ้ายอยู่ฝ่าย “มังแรทิพพ์” (มังแรทิพพ์มีสถานะเป็นหลานอาของสุทโธธรรมราชา) มังแรทิพพ์ได้ปลงพระชนม์พระราชบิดานาม “พระเจ้าอนอคเปตลุน” (หนองภักหวาน/มหาธรรมราชา) แล้วปราบดาขึ้นเป็นกษัตริย์อยู่ 1 ปีเศษ จากนั้นสุทโธธรรมราชาผู้เป็นอนุชาของอนอคเปตลุนก็แย่งชิงอำนาจหลานได้สำเร็จ

การบุกเมืองฝางของตลุนมิน เรื่องของเรื่องเกิดจากการที่เจ้าพลศึกซ้ายไชยสงครามได้กระทำการอุกอาจปลดพระญาทิพพเนตรและพระญาหน่อคำ (หมวกคำ) สองพ่อลูกเจ้าเมืองเชียงแสน ซึ่งอยู่ฝ่ายตลุนมินมาขังไว้ที่เชียงใหม่ แล้วแต่งตั้งให้เจ้าเมืองละคอรคนของฝ่ายตนขึ้นเป็น พระญาศรีสองเมืองวิไชยปราการ ปกครองเชียงแสนแทน

ความล่วงรู้ถึงพระเจ้าสุทโธธรรมราชา จึงจำเป็นต้องยกทัพมาปราบเชียงใหม่ จับพระญาพลศึกซ้ายพร้อมกวาดต้อนผู้คนไปไว้ที่หงสาวดี และทำการลดอำนาจ ลดกำลังของเมืองเชียงใหม่ หลังจัดการเมืองเชียงใหม่แล้ว พระเจ้าตลุนมินก็ขึ้นไปปราบหัวเมืองทางเหนือของล้านนาต่อ โดยเฉพาะเมืองฝาง เป็นเมืองที่ต่อต้านพม่าอย่างเข้มแข็ง ต้องใช้เวลาปราบนานถึง 3 ปี 3 เดือนจึงจักสำเร็จ

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ต้องการชี้ให้เห็นถึงมูลเหตุแห่งการสู้รบกันระหว่างพระเจ้าสุทโธธรรมราชา กับเจ้าเมืองฝาง (ซึ่งเราไม่อาจทราบนามของพระองค์รวมทั้งพระชายา) ว่ามิได้มีสาเหตุมาจากการที่พระเจ้าสุทโธธรรมราชาลุ่มหลงความงามจนต้องแย่งชิงตัวพระนางสามผิวแต่อย่างใดเลย



อนุสาวรีย์พระเจ้าอุดมสิน และพระนางสามผิว หน้าวัดป่าอุดมสิน

มี “นางสามผิว” อีกคนเป็นธิดาล้านช้าง

ในประชุมพงศาวดารภาคที่ 5 ได้กล่าวถึงสตรีนางหนึ่งมีนามว่า “นางสามผิว” เช่นเดียวกัน แต่เป็นเหตุการณ์ที่ห่างไกลจากสมัยพระเจ้าสุทโธธรรมราชานานถึง 132 ปี

“พม่าแต่งตั้งเจ้าฟ้าชายแก้วเป็นเจ้าเมืองปกครองลำปางปี จ.ศ.1126 (พ.ศ.2307) ล้อโป่ซุก แม่ทัพพม่าได้เอาตัวขนานกาวิล กับนายดวงทิพ บุตรเจ้าฟ้าชายแก้ว ยกพลชาวเมืองลำปาง สมทบกับกองทัพพม่า ยกไปตีเอาเมืองเวียงจันทน์ ได้เมืองแล้วก็เอาตัวธิดาเจ้าเมืองเวียงจันทน์ชื่อ “นางสามผิว” ส่งไปถวายพระเจ้าอังวะมังลอง”

เห็นได้ว่าชื่อของ “นางสามผิว” ก็มีอยู่จริงในช่วงปี พ.ศ.2307 ก่อนกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 2 (ปี 2310) ทว่า เป็นคนละคน คนละเหตุการณ์กัน นางสามผิวคนนี้เป็นธิดาเจ้าเวียงจันทน์ ถูกส่งไปเป็นบาทบริจาริกาของพระเจ้ามังลอง แห่งกรุงอังวะ

น่าสนใจว่า นางสามผิวคนนี้มีความสัมพันธ์กับกษัตริย์อังวะจริง อาจเป็นเหตุให้ คนรุ่นหลังจดจำเอาชื่อพร้อมทั้งเรื่องราวระหว่างสตรีผู้มีนามว่า “นางสามผิว” กับ “กษัตริย์อังวะ” มาผสมปนเปกันกับเรื่องราวของเมืองฝางในอีกยุคสมัยหนึ่ง



น้ำบ่อซาววา

เจ้าพิมมะสาร นางแสงรุ้ง.?

จิ๊กซอว์อีกสองชิ้นที่อาจารย์อินทร์ศวร แย้มแสง พยายามสืบค้นหาร่องรอยเกี่ยวกับ “พระญาฝาง” ในช่วงพม่าปกครองล้านนา แล้วนำมาปะติดปะต่อเพื่อให้ได้ทราบชื่อที่แท้จริงของพระเจ้าอุดมสินกับพระนางสามผิวก็คือ

1. หลักฐานชิ้นแรก ข้อมูลจากหนังสือ The Thousand Miles on an Elephant in the Shan States เขียนโดย Holt Samuel Hallett เมื่อปี พ.ศ.2427

2. หลักฐานอีกชิ้นคือ จารึกที่ฐานพระพุทธรูปสำริดสกุลช่างฝางองค์หนึ่ง ที่ระบุศักราชและนามของผู้อุทิศถวาย

หลักฐานทั้งสองชิ้นนี้มีรหัสของชื่อ “พิมมะสาร” กับ “นางแสงรุ้ง” ซึ่งอาจารย์อินทร์ศวรสันนิษฐานว่าน่าจะหมายถึงพระเจ้าอุดมสินกับพระนางสามผิว ตามการถอดรหัสดังนี้

หลักฐานชิ้นแรก หนังสือที่เขียนโดย “โฮลต์ ซามูแอล ฮาลเลตต์” วิศวกรรถไฟชาวอังกฤษ ที่เข้ามาบนแผ่นดินสยาม ล้านนา และรัฐฉาน ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 นั้น มีการแปลเป็นภาษาไทยสองครั้ง ครั้งล่าสุดโดย คุณสุทธิศักดิ์ ปาลโพธิ์ ในบทที่ 28 ช่วงท้ายๆ ของหนังสือกล่าวถึงการเดินทางผ่านเมืองฝาง

ฮาลเลตต์บันทึกไว้ (ตามสำนวนแปลครั้งแรกที่อาจารย์อินทร์ศวร นำมาอ้างในหนังสือประวัติเมืองฝางของท่าน) ว่า

“พญาฝางชื่อ พญาพิมมะสาร พร้อมด้วยภริยาชื่อ รุ้งแสง หรือรุจา และคนสนิทชายหญิงอีกสองคนถูกจับได้ตอนเมืองฝางแตกในเวลากลางคืน และถูกมัดไว้จะนำตัวไปอังวะ แต่พอรุ่งเช้ากลับหายไป ที่มีคนพบคนตายในบ่อน้ำนั้นจริง”

@@@@@@@

สำนวนการแปลครั้งแรก ระบุชื่อภริยาของพญาพิมมะสาร ว่าชื่อรุ้งแสง ในขณะที่สำนวนแปลล่าสุดของสุทธิศักดิ์ ปาลโพธิ์ กลับระบุชื่อว่า “โนชา”

“กลับมาเรื่องที่สนทนากับเจ้าพญา (หมายถึงเจ้าพญาไชย เจ้าเมืองฝาง ผู้ให้ข้อมูล) ท่านเล่าว่า แม่ทัพพม่าชื่อสุทโธ (Soo Too) เคยยึดเมืองฝางไว้ 3 ปี 3 เดือน ผู้คนส่วนใหญ่หลบหนีไปเมืองเชียงใหม่ ตอนนั้น พญาพิมพิสาร (Phya Pim-ma-san) เป็นเจ้าหลวง ภรรยาชื่อ “นางโนชา” (Nang Lo cha) ในคืนที่เมืองฝางแตก เจ้าหลวงปีนไปซ่อนตัวบนต้นไม้ แต่ทหารพม่าจับได้ กลายเป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ติดกับภรรยา และขุนนางตัวโปรดอีก 2 คน ถึงตอนเช้าทั้ง 4 คนก็หายตัวไป และพบเป็นศพในบ่อน้ำที่ท่านชี้ให้ดูนั่นเอง”

ฮาลเลตต์บันทึกเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อ 140 ปีก่อนนับจากปัจจุบัน โดยผู้ที่เล่าให้เขาฟังต้องเล่าเหตุการณ์ย้อนหลังกลับไปอีกนานถึง 248 ปี (เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของปี 2175 ในปี 2423) โดยที่ตัวผู้บันทึกเองก็มีการแสดงความเห็นต่อท้ายไว้ว่า

“เรื่องนี้เหมือนดัดแปลงมาจากประวัติเจ้าชายมองโกลแห่งเมืองคุนหมิง ที่เมื่อจักรพรรดิพระองค์แรกแห่งราชวงศ์หมิงทรงยึดเมืองคุนหมิงได้ใน พ.ศ.1924 ทั้งเจ้าชาย ชายา และขุนนางคนสนิทต่างกระโดดน้ำตายในทะเลสาบใกล้เมือง”

ย้อนกลับมาดูการแปลคำว่า พิมมะสาร-พิมพิสาร จากต้นฉบับ Pimmasan นั้นพอเข้าใจได้ว่าคือชื่อเดียวกัน ทว่า ชื่อ Lo Cha นี่สิ ซึ่งเมื่อแปลเป็น โนชา โนจา รุจา ยังพอกล้อมแกล้ม เหตุไฉนการแปลครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อนจึงลากไปไกลเป็นรุ้งแสง?

หลักฐานชื่อของ “รุ้งแสง” แม้ไม่มีในบันทึกของวิศวกรชาวอังกฤษ หากปรากฏในจารึกที่ฐานพระพุทธรูปสกุลช่างฝาง ณ วัดแห่งหนึ่ง เรื่องนี้ต้องอธิบายกันอีกยาวในฉบับหน้า •






ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 มกราคม 2566
คอลัมน์ : ปริศนาโบราณคดี
ผู้เขียน   : เพ็ญสุภา สุขคตะ
เผยแพร่ : วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ.2566
URL : https://www.matichonweekly.com/culture/article_640342
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 24, 2023, 05:38:36 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0




‘พระนางสามผิว’ และ ‘พระนางมะลิกา’ เรื่องจริง หรือ อิงนิยาย.? (จบ)

ชื่อนางรุ้งแสง ที่จารึกฐานพระพุทธรูปวัดต้นผึ้ง

ตอนที่แล้วยังไม่ได้เฉลยปมปริศนาอีกหนึ่งจิ๊กซอว์ ว่าด้วยฐานจารึกพระพุทธรูปสกุลช่างฝางองค์หนึ่งปรากฏชื่อของชายาเจ้าพญาฝางมีนามว่า “รุ้งแสง”

อยากเชิญชวนผู้อ่านลองช่วยกันพิจารณาดูถึงความน่าจะเป็น ว่าชื่อนี้จะสอดรับกับคำบอกเล่าที่ “โฮลต์ ซามูแอล ฮาลเลตต์” บันทึกว่าเจ้าเมืองฝาง (พิมมะสาร) มีชายาชื่อ “นางโนจา/รุจา” ในหนังสือ The Thousand Miles on an Elephant in the Shan States ของเขา

รุ้งแสง กับโนจาเป็นคนเดียวกันได้หรือไม่? ในเมื่อฐานพระพุทธรูปมีศักราชระบุอายุ แต่คำบอกเล่าที่ฮาลเลตต์รับรู้ ไม่บอกศักราช แต่ยืนยันว่าเป็นสงครามที่ฝางสู้กับพระเจ้าสุทโธ

จากหนังสือเรื่อง “ประวัติเมืองฝาง” เรียบเรียงโดย “อินทร์ศวร แย้มแสง” ในปี 2543 และ 2551 (ท่านนี้ได้ปรับปรุงเนื้อหาให้อัพเดตหลายครั้ง ตั้งแต่เวอร์ชั่นแรกสุดปี 2523 และเวอร์ชั่นสุดท้ายปี 2551)

อาจารย์อินทร์ศวรผู้เรียบเรียงได้อ้างถึงเนื้อหาของจารึกที่เขียนด้วยตัวอักษรล้านนา (ไมระบุว่าเป็นอักษรธัมม์-ตั๋วเมือง หรืออักษรฝักขาม) ณ ฐานพระพุทธรูปของ “วัดแห่งหนึ่ง” โดยในเอกสารของเขาไม่ยอมระบุว่าพระพุทธรูปองค์ดังกล่าวอยู่ที่วัดใด

จนกระทั่งภายหลังดิฉันทราบมาว่า วัดที่เก็บพระพุทธรูปแห่งนั้นคือวัดต้นผึ้ง หรือวัดมธุราวาส อ.ฝาง

คำแปลจารึกฐานพระพุทธรูปสำริดนั่งขัดสมาธิราบ หน้าตักกว้าง 60-70 นิ้ว ตามที่อาจารย์อินทร์ศวรถอดความ มีดังนี้

“เมื่อ จ.ศ.967 (ตรงกับ พ.ศ.2138) ปีดับเม็ด เดือน 6 ออก 4 ค่ำเม็ง วัน 7 ไทลวงเป้า สมเด็จเจ้าวัดพระแก้วนันทะปัญโญ ก้ำภายใน พญาฝางและเจ้าแม่รุ้งแสง กางเมืองฝาง และหมื่นหลวงล่ามฝาง ก้ำภายนอก สร้างพระแก้วมงคลเป็นปัจจัยการะณะ พระพุทธเจ้าตนนี้ (หนัก-ผู้เขียน) แสนสี่หมื่นตอง ไว้สักการปูชาแก่คนแลเทวดาทั้งหลาย”

การปรากฏชื่อเจ้าแม่รุ้งแสง กับพญาฝาง ที่ฐานพระพุทธรูปนี้ อาจารย์อินทร์ศวรเห็นว่า นี่คือหลักฐานชั้นต้น ว่าเมื่อปี 2138 มีเจ้าเมืองฝางอยู่จริง และท่านมีชายาชื่อรุ้งแสง ทำให้อาจารย์อินทร์ศวร นำเอาเนื้อหาจากหนังสือ Thousand Miles on an Elephant in the Shan States มาปะติดปะต่อกัน

กลายเป็นว่า พญาฝางผู้ที่สร้างพระพุทธรูปวัดต้นผึ้งปี 2138 มีชื่อว่า พิมมะสาร (พิมพิสาร) ตามไปด้วย ทั้งๆ ที่ศักราช 2138 จากฐานจารึกพระพุทธรูปวัดต้นผึ้งนั้น มีระยะเวลาห่างจากช่วงเวลาของยุคที่พระเจ้าสุทโธธรรมราชา ล้อมเมืองฝางจริงเมื่อ พ.ศ.2178 ถึง 40 ปี.?

@@@@@@@
 
ข้อมูล 5 ท่อน ค่อนข้างกระท่อนกระแท่น

มาถึงจุดนี้ เรื่องจริง นิทาน คำบอกเล่า ที่เกี่ยวข้องกับนางสามผิวและพระเจ้าอุดมสินจึงค่อนข้างจะอีนุงตุงนัง กระท่อนกระแท่น ซ้ำยังถูกแยกส่วนกันออกเป็นห้าท่อนอีกด้วย คือ

ท่อนแรก เป็นเรื่องจริง เกิดขึ้นในปี 2178 ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ระบุว่าพระเจ้าสุทโธธรรมราชา (ตลุนมิน) ล้อมเมืองฝาง 3 ปี จริง

เรื่องที่สอง เป็นเรื่องจริง ปี 2138 พญาฝางกับเจ้าแม่รุ้งแสงสร้างพระพุทธรูปถวายวัดต้นผึ้ง จริง

เรื่องที่สาม เป็นเรื่องจริง ปี 2307 มีราชธิดาล้านช้างชื่อนางสามผิว ถูกนำตัวมาถวายให้พระเจ้ากรุงอังวะ จริง แต่ไม่มีการล้อมเมืองฝาง

เรื่องที่สี่ เป็นนิทาน พระเจ้าสุทโธธรรมราชามาตีเมืองฝางเพราะหลงรักนางสามผิว นางสามผิวและสวามีพระเจ้าอุดมสิน พร้อมใจกันปลิดชีพด้วยการโดดบ่อน้ำซาววา เพื่อเสียสละ ตัดบทมิให้สุทโธธรรมราชาทำอันตรายใดๆ แก่ชาวฝางอีก

เรื่องสุดท้าย เป็นนิทานกึ่งคำบอกเล่า คือเคยมีพญาฝางชื่อพิมมะสารกับชายาชื่อนางโนจา/รุจา ปกครองฝางไม่ได้ เมื่อพ่ายแพ้พม่า ตัดสินใจโดดบ่อน้ำตายพร้อมทหารและนางข้าหลวงอีกหนึ่งคู่

สรุปได้ว่า เรื่องราวทั้งห้าท่อนนี้ แม้จะมีจิ๊กซอว์บางตัวที่สอดคล้องกัน (คือสงครามยึดเมืองฝางของสุทโธธรรมราชา และการเสียชีวิตของเจ้าเมืองฝางพร้อมชายาด้วยการโดดบ่อน้ำ) แต่ข้อมูลส่วนอื่นๆ ก็ถือว่ายังลักลั่นกันอยู่มาก โดยเฉพาะศักราชที่ห่างกันมากถึง 40 ปี

หากจะให้พระเจ้าอุดมสินกับพระนางสามผิว เป็นบุคคลที่มีตัวตนจริง มีนามว่า พญาพิมมะสาร กับนางรุ้งแสง เหตุการณ์ของเจ้าเมืองฝางยุคนั้นก็จะไม่ร่วมสมัยกับพระเจ้าสุทโธธรรมราชา

ดังนั้น เรื่องนี้ปราชญ์ท้องถิ่นเมืองฝาง คงต้องช่วยกันสืบหาหลักฐานเพิ่มเติมอีกสักหน่อย ว่าตกลงแล้ว “พญาฝาง” ที่ปกครองเมืองฝางในช่วงสู้รบกับสุทโธธรรมราชานานถึงสามปี คือใครกันแน่?


อนุสาวรีย์พระนางมะลิกา ณ เนินเขา ในกองบังคับการควบคุมหน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารม้าที่ 2 อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่

ธิดาคนหัวฟ้อนคือนางมะลิกา จริงหรือ.?

เรายังไม่ได้เจาะลึกถึงความเป็นมาของ “ธิดาเจ้าเมืองฝาง” แต่อย่างใดเลย หากเรื่องราวของพระเจ้าอุดมสินกับพระนางสามผิว พอมีเค้าที่จะเป็นเรื่องจริงได้อยู่บ้าง ชีวิตของ “พระนางมะลิกา” ก็ไม่ควรเป็นแค่นิทานปรัมปราด้วยเช่นกันหรือไม่?

จารึกที่ฐานพระพุทธรูปยืนปางเปิดโลกอีกองค์หนึ่งในวัดต้นผึ้ง ระบุจุลศักราชปีเดียวกันกับจารึกชิ้นแรก(ฐานพระพุทธรูปนั่ง) ที่กล่าวไปแล้วข้างต้น คือตรงกับ พ.ศ.2138 ทำให้อาจารย์อินทร์ศวรเชื่อว่า ผู้สร้างพระพุทธรูปทั้งสององค์คือบุคคลเดียวกัน ได้แก่ พญาฝาง (พิมมะสาร) และนางรุ้งแสง ข้อความจารึกค่อนข้างลบเลือน จับใจความได้เพียงว่า

“สร้างโดยธิดาคนหัวฟ้อนของพญาฝาง”

คำว่า “หัวฟ้อน” แปลว่าคนโต

นอกจากนี้แล้ว อาจารย์อินทร์ศวรยังได้ข้อมูลเพิ่มเติม เป็นจิ๊กซอว์อีกตัวหนึ่ง จากคำบอกเล่าของ “พ่อหนานพรหมินทร์ จรินทร” ที่เคยเดินทางไปเขตไทใหญ่ แล้วได้กราบพระพุทธรูปองค์หนึ่งที่พระบาทรังรุ้ง (ฮางอุ้ง) เมืองหาง

พ่อหนานพรหมินทร์เล่าให้อาจารย์อินทร์ศวรฟังว่า บริเวณนั้นมีเจดีย์สำริดสูง 1 เมตร (เคลื่อนย้ายได้) ที่ฐานเขียนด้วยตัวอักษรล้านนาความว่า

“เจดีย์ของนางคำเอ้ยธิดาพญาฝางสร้าง”

แสดงว่า นางคำเอ้ยนี้ควรเป็นคนเดียวกันกับ “ธิดาคนหัวฟ้อน” หรือลูกสาวคนโตของพญาฝางอย่างแน่นอน

อาจารย์อินทร์ศวรจึงเชื่อมโยงไปอีกว่า ธิดาคนหัวฟ้อนในจารึกวัดต้นผึ้งก็ดี นางคำเอ้ยในจารึกที่เจดีย์เมืองหางก็ดี คือลูกสาวของพระนางสามผิว ผู้มีนามว่า “มะลิกา” ได้หรือไม่?

คำถามมีอยู่ว่า พญาฝางและชายา (ตามที่เรื่องเล่าระบุว่าคือพระเจ้าอุดมสิน กับพระนางสามผิว) นั้น จะมีพระธิดากี่องค์กันแน่ และจะแน่ใจได้อย่างไรว่า พระนางมะลิกาคือธิดาองค์โต?

@@@@@@@

หลากหลายนามเวียงแม่อาย เวียงมะลิกา เวียงสนธยา เวียงลับแล

ปัจจุบัน อ.แม่อายเป็นที่ตั้งของเวียงมะลิกา บ้างเรียกเวียงแม่อาย เวียงสนธยา เวียงลับแล เป็นเวียงที่แยกออกมาจากเมืองฝาง ตั้งอยู่ทางตอนเหนือมีลำน้ำแม่อายไหลผ่าน เป็นเวียงที่พญาฝางสร้างให้ลูกสาว เวียงเหล่านี้คือเวียงเดียวกัน เพียงแต่มีชื่อเรียกหลายชื่อ

เวียงมะลิกา ตำนานการสร้างเวียงกล่าวว่า ตอนพระนางสามผิว (พระมารดาของนางมะลิกา) ทรงครรภ์อยู่นั้น พระนางเกิดขัดเคืองพระทัยต่อสนมเอกของพระเจ้าอุดมสินนางหนึ่ง จึงทำให้ไม่มีสมาธิ ขณะจุดเทียนสักการะพระเจ้าไม้แก่นจันทน์ เทียนได้เผาไหม้พระโอษฐ์ของพระพุทธรูป ครั้นเมื่อคลอดพระธิดาออกมา พบว่ามีตำหนิที่พระโอษฐ์ล่างแหว่งไป ดุจเดียวกับพระเจ้าไม้แก่นจันทน์ที่ถูกเปลวเทียนเผาไหม้ ฉะนั้น

เมื่อโตเป็นสาว พระเจ้าฝางเกรงจะเป็นที่อับอายแก่ไพร่ฟ้าพลเมือง จึงโปรดให้สร้าง “สวนหลวง” ขึ้นทางเหนือของเวียงสุทโธ ใกล้เมืองฝาง พระราชทานให้บุตรีประทับมีชื่อว่า “เวียงมะลิกา”

ในวันที่นางมะลิกายาตราเข้าสู่เวียงแห่งใหม่มีไพร่พลตามไปด้วยจำนวนมาก ใช้เวลาเดินทางยาวนาน กว่าจะถึงเวียงก็พลบค่ำสนธยา จึงได้ตั้งชื่อเวียงใหม่แห่งนี้ว่า “เวียงสนธยา”



หอศาลองครักษ์ เวียงมะลิกา

ปริศนา “นางคำเอ้ย” เวียงหวาย เวียงนาง

นอกจากนี้ ยังมีเวียงอีกสองแห่งที่มีความเกี่ยวข้องกับธิดาของพญาฝางด้วยเช่นกัน แต่จะเชื่อมโยงว่าเป็นเวียงของพระนางมะลิกาได้หรือไม่ เราลองมาวิเคราะห์พร้อมๆ กัน

เวียงแรกชื่อ “เวียงหวาย” ตั้งอยู่หมู่ 9 ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง ห่างจากเวียงฝางไปทางทิศตะวันตกประมาณ 9 กิโลเมตร ตัวเวียงอยู่บนเนินขนาดย่อม

พ่อเฒ่าจิวิ่งต่า เชื้อสายไทใหญ่เล่าให้อาจารย์อินทร์ศวรฟังว่า

“นางคำเอ้ย ลูกสาวของพญาฝาง ได้เข้ามาปกครองเวียงหวาย”

น่าสนใจว่าที่ตั้งของ “เวียงหวาย” อยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองฝาง ไม่ใช่ทิศเหนือแถว อ.แม่อาย เวียงหวายจึงไม่ใช่เขตรอยต่อเชื่อมเมืองฝางไปสู่เวียงมะลิกาหรือเวียงสนธยาแต่อย่างใด

เวียงโบราณอีกแห่งหนึ่ง ใม่ไกลจากเวียงหวายมีชื่อว่า เวียงนาง อยู่บนยอดเขาไกลจากเวียงหวายไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 1 กิโลเมตร จากการสำรวจของอาจารย์อินทร์ศวร พบว่าเป็นตัวเวียงขนาดเล็ก รูปวงกลมมีพื้นที่ประมาณ 4 ไร่ มีมุขปาฐะเล่าว่าเวียงนาง เป็นเวียงที่ประทับพักผ่อนของพระนางคำเอ้ย

น่าสงสัยยิ่งนักที่คนในพื้นที่แถบตะวันตกของเมืองฝาง ใกล้พรมแดนไทใหญ่ ไม่มีใครกล่าวถึง พระนางมะลิกา เลย มีแต่การกล่าวถึง “นางคำเอ้ย”

นางคำเอ้ยคือใคร เป็นพี่สาวคนโตของนางมะลิกาได้หรือไม่ จากชื่อ “เอ้ย” คือ “พี่เอื้อย” น่าจะหมายถึงพี่สาวคนโต/ ธิดาหัวฟ้อน ราชนารีท่านนี้น่าจะมีตัวตนอยู่จริง เพราะพบชื่ออย่างน้อย 2 จุด ทั้งในจารึกที่ฐานพระพุทธรูปวัดต้นผึ้งปี 2138 หนึ่งชิ้น กับจารึกที่ฐานเจดีย์ใกล้พระบาทรังรุ้งอีกชิ้นหนึ่ง ไม่ระบุศักราช

เมื่อพิจารณาจากทำเลของเวียงหวาย-เวียงนาง พบว่าตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองฝางมากนัก หาก “พญาฝาง” ผู้เป็นพระบิดาของนางคำเอ้ย เป็นพญาฝางองค์เดียวกันกับผู้เป็นบิดาของนางมะลิกา ก็อาจเป็นไปได้ว่า พญาฝางได้สร้างเวียงหวายให้นางคำเอ้ยลูกสาวคนโตปกครอง มีเวียงนางเป็นที่ประทับพักผ่อน

และต่อมาได้สร้างเวียงมะลิกา หรือเวียงสนธยา ให้ลูกสาวคนรองปกครอง คือที่ตั้ง อ.แม่อายปัจจุบัน

@@@@@@@

เวียงลับแล เวียงนี้ไร้เงาบุรุษ

ตํานานเวียงมะลิกากล่าวว่า ก่อนตั้งพระครรภ์ พระนางสามผิวผู้เป็นพระมารดาทรงสุบินว่า มีช้างเผือกนำดอกมะลิมาถวาย จึงขนานนามธิดาว่า “มะลิกา” ตามความฝัน

ตามที่ได้กล่าวแล้วว่า นางมะลิกามีตำหนิที่ปากแหว่ง จึงมีความอาย การใช้ชีวิตในเวียงที่แยกออกมาต่างหากจึงอยู่แบบมิดชิดคล้ายเมืองลับแล ตำนานบางกระแสกล่าวว่า ในเวียงนี้ไม่มีบุรุษเพศเลย มีแต่สตรีล้วนๆ รวมไปถึงทหารที่เชี่ยวชาญการธนู

หลังจากที่พระนางมะลิกาสวรรคตแล้ว เวียงก็ร้างลงทันทีเพราะขาดผู้นำ ขาดทายาทปกครองบ้านเมือง ถือเป็นเวียงที่อายุไม่ยืนยาวนัก มีนางพญานั่งเมืองเพียงพระองค์เดียวคือพระนางมะลิกา

ขอจบเรื่องราวของ “พระนางสามผิว” และ “พระนางมะลิกา” ไว้เพียงแต่เท่านี้ เนื่องจากพื้นที่การศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์เมืองฝางนั้น ค่อนข้างห่างไกลจากตัวผู้เขียน หากในอนาคตได้พบหลักฐานอะไรเพิ่มเติมจะนำมาเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง •

 

 

ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 20 - 26 มกราคม 2566
คอลัมน์ : ปริศนาโบราณคดี
ผู้เขียน : เพ็ญสุภา สุขคตะ
เผยแพร่ : วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ.2566
URL : https://www.matichonweekly.com/culture/article_641922
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ