ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ทำไมแก่แล้ว ต้องผมหงอก : วิทยาศาสตร์สีดอกเลา  (อ่าน 875 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0




ทำไมแก่แล้ว ต้องผมหงอก : วิทยาศาสตร์สีดอกเลา

Summary

      Small Science เป็นคอลัมน์ชวนอ่านฆ่าเวลาของ โตมร ศุขปรีชา ว่าด้วยเกร็ดความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์เล็กๆ น้อยๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ในทุกสรรพสิ่งรอบตัวเรา จากสสาร สิ่งประดิษฐ์ ไปจนถึงสิ่งมีชีวิตในกิจวัตรประจำวันของมนุษย์

      สำหรับสัปดาห์นี้ โตมรเล่าถึงวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลัง ‘ผมหงอก’ ที่ดูคล้ายเป็นสัญลักษณ์สากลของความแก่ และอาจบ่งบอกถึงความโรยราในชีวิต แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันอาจเป็นสัญลักษณ์บอกถึงวันวัย การผ่านโลก และประสบการณ์ที่ผ่านพบก็ได้




หลายคนอาจเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับ พระนางมารี อังตัวเน็ต ว่า ขณะถูกคุมขังก่อนนำตัวไปประหารด้วยกิโยตินนั้น พระนางมีอาการ ‘ผมหงอกขาวชั่วข้ามคืน’ จนมีคนขนานนามว่าเป็น ‘โรคมารีอังตัวเน็ต’ หรือ Marie Antoinette Syndrome

แต่คำถามก็คือ - คุณคิดว่าเรื่องเล่านี้จริงหรือไม่.?

หลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และงานวิจัยจำนวนมากก็ไม่ได้สนับสนุนทฤษฎีที่ว่า ผมคนเราสามารถ ‘ขาว’ ได้ในเวลา ‘ชั่วข้ามคืน’ ดังเรื่องเล่าของพระนางมารี อังตัวเน็ต ซึ่งตอนถูกประหารนั้น พระนางมีอายุเพียง 38 ปีเท่านั้น

แต่กระนั้น เรื่องเล่านี้ไม่ได้มีแค่ของพระนางมารี อังตัวเน็ต เท่านั้น ยังมี เซอร์โธมัส มอร์ (Thomas More) ผู้เขียนหนังสือ ‘ยูโทเปีย’ (Utopia) อีกคนหนึ่ง ที่เล่าลือกันว่าผมขาวโพลนชั่วข้ามคืนหลังถูกขังอยู่ในหอคอยแห่งลอนดอนเพื่อรอการประหาร จึงเรียกอาการนี้อีกชื่อหนึ่งว่า Thomas More Syndrome ยังไม่นับรวมกรณีอื่นๆ อีกหลายกรณี ที่เล่าลือกันว่าอาการแบบนี้เกิดขึ้นได้จริง จนมีชื่อเรียกอย่างขึงขังกึ่งจะเป็นชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Canities subita หรืออาการผมขาวโพลนเนื่องจากความเครียด แม้ว่าจะยังไม่มีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์มารองรับอย่างแน่นหนาเพียงพอก็ตามที

    "โดยปกติแล้ว คนเราจะผมหงอกเมื่ออายุเท่าไร ก็ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติด้วยเหมือนกัน มีการศึกษาพบว่า คนเผ่าพันธุ์คอเคเซียน (หรือคนผิวขาว) มักจะเริ่มผมหงอกในวัยสามสิบกลางๆ ส่วนคนเอเชีย จะเริ่มมีผมหงอกในวัยสามสิบปลายๆ ในขณะที่คนแอฟริกันจะผมหงอกช้าที่สุด คือเริ่มหงอกในวัยสี่สิบกลางๆ"

ในเรื่องนี้ นัก ‘เส้นผมวิทยา’ (Trichologist) อย่าง ซู พาสซัม (Zoe Passam) เคยให้สัมภาษณ์กับ Glamour Magazine เอาไว้ว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่จู่ๆ ‘รงควัตถุ’ (Pigment) ในเส้นผม มันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นสีขาวหรือเทาโดยตัวของมันเอง แต่ผมจะมีสีอะไรนั้น มันเป็นเพราะเซลล์ที่ผลิตรงควัตถุ (Pigment-Producing Cells) สร้างเม็ดสีขึ้นมาตั้งแต่ต้นต่างหาก เราจึงมีผมสีดำ แดง บลอนด์ หรือสีอื่นๆ

@@@@@@@

เราจะมีผมสีอะไร ขึ้นอยู่กับรหัสพันธุกรรมของเราเป็นหลัก มันคือตัวกำหนดสีผมของเราแบบเดียวกับสีผิว โดยรากผม (Hair Follicle) ซึ่งมีเซลล์ที่เรียกว่า ‘เมลาโนไซต์’ (Melanocyte) คอยทำหน้าที่ผลิตรงควัตถุที่เป็นเมลานิน (Melanin) สองแบบขึ้นมา คือ ยูเมลานิน (Eumelanin) กับฟีโอเมลานิน (Pheomelanin) โดยยูเมลานินจะพบได้มากในคนที่มีผมสีดำหรือน้ำตาล ส่วนฟีโอเมลานินจะพบในคนผมสีแดง สีน้ำตาลแดง (หรือเรียกว่า Auburn) กับผมบลอนด์ แต่จะเป็นเมลานินแบบไหน ขึ้นอยู่กับ DNA หรือพันธุกรรมของเราอีกทีหนึ่ง

ทีนี้พอเราอายุมากขึ้น เจ้าเซลล์เมลาโนไซต์นี้มันก็จะค่อยๆ ลดจำนวนลงไป นั่นทำให้รงควัตถุหรือเมลานินที่มันสร้างขึ้น ค่อยๆ น้อยลงไปด้วย ผลลัพธ์ก็คืออาการผมหงอก ซึ่งโดยปกติแล้ว คนเราจะผมหงอกเมื่ออายุเท่าไร ก็ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติด้วยเหมือนกัน มีการศึกษาพบว่า คนเผ่าพันธุ์คอเคเซียน (หรือคนผิวขาว) มักจะเริ่มผมหงอกในวัยสามสิบกลางๆ ส่วนคนเอเชีย จะเริ่มมีผมหงอกในวัยสามสิบปลายๆ ในขณะที่คนแอฟริกันจะผมหงอกช้าที่สุด คือเริ่มหงอกในวัยสี่สิบกลางๆ

คำถามถัดมาก็คือ แล้วใน ‘พันธุกรรม’ ของเรา มันมียีนอะไรหรือเปล่าที่เกี่ยวข้องกับอาการ ‘หงอก’ ของผม เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยที่อายุยังไม่มากเท่าไร ก็มีอาการผมขาวเสียแล้ว บางคนยังไม่ถึงอายุยี่สิบปีเสียด้วยซ้ำไปก็มี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าต้องเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมแน่ๆ แถมยังเคยมีการศึกษาในอาสาสมัคร พบว่า คนที่ผมหงอกก่อนวัย (หรือเรียกว่า Premature Hair Graying หรือ PHG) นั้น ในครอบครัวมักจะมีประวัติเป็น PHG มาด้วยเหมือนกัน จึงเชื่อว่าน่าจะมีแนวโน้มเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม

มีการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Communications เมื่อปี 2016 โดยนักวิจัยจาก University College London พบว่ายีนที่เกี่ยวข้องกับอาการผมหงอก คือยีนที่เรียกว่า IRF4 (Interferon Regulatory Factor 4) ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการผลิตและเก็บรักษาเมลานิน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ศึกษาพบความสัมพันธ์ระหว่างผมหงอกกับยีน ซึ่งถ้าเราเข้าใจ ‘กลไก’ การทำงานของ IRF4 ได้ดีขึ้น ก็อาจจะนำมาประยุกต์หาวิธีทำให้ผมหงอกช้าลงก็ได้




หลายคนอาจจะสงสัยว่า เอ...แล้วถ้าเราผมหงอกไปแล้วเพราะวัยล่ะ เราจะทำให้ผมกลับมามีสีเดิมเหมือนตอนก่อนหงอกได้อีกหรือเปล่าโดยไม่ต้องย้อมผม

การพยายามรักษาผมหงอกนั้นมีมานานมากแล้วนะครับ ตั้งแต่สมัยจักรวรรดิอัสซีเรีย คือราวๆ 700 ปีก่อนคริสตกาล ก็เคยมีบันทึกการรักษาผมหงอกแล้ว แสดงให้เห็นว่ามนุษย์เราไม่ค่อยอยากจะแสดงให้คนอื่นเห็นสัญลักษณ์แห่งความแก่กันสักเท่าไร ตำรับยาเพื่อรักษาผมหงอกจึงมีหลากหลาย เช่น การใช้น้ำมันจากสนไซเปรส, เมล็ดต้นหอม, ยางสน และอื่นๆ อีกมาก หรือของไทยเราก็มีความเชื่อเรียกดอกอัญชัน เป็นต้น

แต่ในแง่มุมวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ก็กำลังศึกษาเรื่องนี้กันอยู่อย่างขะมักเขม้นเหมือนกัน เคยมีรายงานคนที่ผมกลับมาดำใหม่ด้วย แต่เป็นรายงานของปี 1972 โน่น และนักวิทยาศาสตร์ก็เห็นว่าเป็นกรณีที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้บ่อยๆ

    "เรื่องที่น่าสนใจของอาการ ‘ผมหงอก’ ก็คือ ผมเราไม่ได้หงอกทีเดียวทั้งหัว แต่ค่อยๆ มีผมหงอกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งแปลว่ามีบางเซลล์ที่มีอาการ ‘แก่’ กว่าเซลล์อื่น จึงไม่ผลิตเมลานินออกมา ถ้าเราศึกษาเรื่องผมหงอกได้อย่างละเอียด โดยเฉพาะถ้านำอาการ ‘เปลี่ยนสี’ มาศึกษาประกอบเข้ากับ ‘ความเร็ว’ ในการงอกของเส้นผม เราอาจรู้ถึงปัจจัยที่ทำให้เซลล์บางเซลล์แก่ตัวมากกว่าเซลล์อื่นก็ได้ และอาจนำไปสู่การชะลอวัยของร่างกายโดยรวมได้"

@@@@@@@

อาการผมหงอกนั้นเป็นสัญลักษณ์สากลของความแก่ ในคนทั่วไป เมื่ออายุมากถึงระดับหนึ่ง (ซึ่งไม่เท่ากัน) ผมจะเริ่มกลายเป็นสีเทาหรือขาว บางคนอาจจะยังมีสีผมเหมือนวัยหนุ่มสาวอยู่ได้จนอายุมากๆ แต่คนส่วนใหญ่ไม่เป็นอย่างนั้น ทว่านักวิทยาศาสตร์ก็เชื่อว่า มีความเป็นไปได้ที่เราจะหาวิธีทำให้ผมกลับมาดำ (หรือแดง หรือบลอนด์) ได้อีกครั้ง

มีการศึกษาของ มาร์ติน พิคาร์ด (Martin Picard) นักชีววิทยาจิตวิทยา (Psychobiologist) ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ซึ่งศึกษาไมโตคอนเดรียของเซลล์ และบอกว่าเรื่องที่น่าสนใจของอาการ ‘ผมหงอก’ ก็คือ ผมเราไม่ได้หงอกทีเดียวทั้งหัว แต่ค่อยๆ มีผมหงอกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งแปลว่ามีบางเซลล์ที่มีอาการ ‘แก่’ กว่าเซลล์อื่น จึงไม่ผลิตเมลานินออกมา ถ้าเราศึกษาเรื่องผมหงอกได้อย่างละเอียด โดยเฉพาะถ้านำอาการ ‘เปลี่ยนสี’ มาศึกษาประกอบเข้ากับ ‘ความเร็ว’ ในการงอกของเส้นผม เราอาจรู้ถึงปัจจัยที่ทำให้เซลล์บางเซลล์แก่ตัวมากกว่าเซลล์อื่นก็ได้ และอาจนำไปสู่การชะลอวัยของร่างกายโดยรวมได้

บางการศึกษาก็บ่งชี้ว่า อาการผมหงอก (โดยเฉพาะหงอกก่อนวัย) เกี่ยวข้องกับหลายเรื่อง เช่น การขาดวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินบี 12 โรคบางอย่าง เช่น โรคด่างขาว (Vitiligo) เป็นต้น

ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณรู้สึกอย่างไรกับผมหงอก โดยเฉพาะกับผมหงอกของตัวเอง ในด้านหนึ่งมันอาจบ่งบอกถึงความโรยราในชีวิต แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันอาจเป็นสัญลักษณ์บอกถึงวันวัย การผ่านโลก และประสบการณ์ที่ผ่านพบก็ได้ สำหรับบางคน ผมหงอกอาจน่าอายจนต้องย้อม  แต่กับอีกบางคน มันก็อาจเป็นความภาคภูมิใจในชีวิตได้เหมือนกัน

อ่านเพิ่มเติม : aarp.org, karger.com, scientificamerican.com




Thank to : https://plus.thairath.co.th/topic/spark/102740
Thairath Plus › Spark › Spark Science & Tech
3 ก.พ. 66 | creator : โตมร ศุขปรีชา
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ