ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: รู้จัก "Human Composting" จากไปแบบรักษ์โลก เปลี่ยน "ศพ" ให้เป็น "ปุ๋ย"  (อ่าน 860 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



รู้จัก "Human Composting" จากไปแบบรักษ์โลก เปลี่ยน "ศพ" ให้เป็น "ปุ๋ย"

    • ทางเลือกจัดการศพแบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์ความยั่งยืน จากไปแบบไม่ทิ้งภาระให้กับโลก

    • รู้จัก "Human Composting" เปลี่ยนมนุษย์เป็นปุ๋ย หรือ Natural Organic Reduction วิธีลดรูปแบบอินทรีย์ตามธรรมชาติ

    • Living Coffin โลงศพจากเส้นใยของเห็ด ช่วยเร่งการย่อยสลาย ตามแนวคิดกลับคืนสู่ธรรมชาติ




มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญกับความตาย เมื่อตายไปแล้วก็ไม่สามารถเอาอะไรไปได้ แม้กระทั่งร่างกายของตัวเอง ซึ่งในหลายประเทศมีวัฒนธรรมจัดการกับศพที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นการฝังศพ เผาศพ หรือการทำพิธีศพแบบทิเบตที่ให้ฝูงแร้งจัดการศพ

ทว่าในปัจจุบันคนให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ดังนั้นจึงมองว่าการจัดการกับศพแบบเดิมไม่ตอบโจทย์ความยั่งยืน การ "ฌาปนกิจ" เป็นหนึ่งในตัวการที่ทำให้โลกร้อน ส่วนการ "ฝังศพ" นั้นก็ต้องใช้พื้นที่ในการทำสุสาน




ดังนั้นในหลายประเทศจึงมีทางเลือกใหม่ในการจัดการศพด้วยวิธี "Human Composting" หรือการทำปุ๋ยมนุษย์ มีชื่ออย่างทางการว่า Natural Organic Reduction หรือการลดรูปแบบอินทรีย์ตามธรรมชาติ 

วิธีจัดการศพแบบนี้เป็นการเปลี่ยนร่างผู้เสียชีวิตให้กลายเป็นดิน หรือปุ๋ยมนุษย์ ปริมาณ 1 ลูกบาศก์เมตร ภายใน 30 วัน โดยนำ “ศพ”  ใส่ในที่เฉพาะ แล้วกลบด้วยเศษไม้ชิ้นเล็กๆ พืชอัลฟัลฟา หรือพืชตระกูลถั่ว และฟาง โดยขั้นตอนกลบจะต้องไม่ทำให้แน่นจนเกินไป เพื่อให้ออกซิเจนผ่านได้สะดวก ช่วยให้การย่อยสลายเป็นไปด้วยดี




โดย "รัฐวอชิงตัน" ถือว่าเป็นรัฐแรกในสหรัฐฯ ที่ผ่านกฎหมายอนุญาตให้นำร่างผู้เสียชีวิตย่อยสลายเป็นปุ๋ยเมื่อปี 2019 และตามด้วย รัฐโคโลราโด โอเรกอน เวอร์มอนต์ แคลิฟอร์เนีย และนิวยอร์ก

แม้ว่ากระบวนการ Natural Organic Reduction จะเป็นที่ยอมรับและได้รับอนุญาตให้ดำเนินการได้ แต่ขณะเดียวกันก็มีฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย อย่างเช่น บาทหลวงคาทอลิกในรัฐนิวยอร์กได้คัดค้านกฎหมายดังกล่าว โดยโต้แย้งว่าไม่ควรปฏิบัติต่อร่างกายมนุษย์เหมือน "ขยะในครัวเรือน"




ทั้งนี้มีรายงานว่า "แคทรินา สเปด" CEO ของบริษัท รีคอมโพส (Recompose) หนึ่งในบริษัทแรกของโลกที่ใช้วิธีนี้ เปิดเผยว่า "สิ่งที่ต่างจากการฝังศพทั่วไปก็คือ เมื่อครบกำหนด 30 วัน ทางบริษัทก็จะส่งคืนปุ๋ยให้กับญาติของผู้เสียชีวิต เพื่อนำไปเป็นปุ๋ยชั้นดี สำหรับนำไปทำสวนและเพาะปลูก ซึ่งจะเป็นการทำให้ญาติ หรือครอบครัวของผู้ตายได้มีความทรงจำที่ดีกับต้นไม้ทุกต้น ดอกไม้ทุกดอกที่ใช้ปุ๋ยจากร่างของคนที่ตนรัก"

กระบวนการนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นกระบวนการจัดการศพที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติ และใช้พลังงานเพียง 1 ใน 8 ของการทำศพแบบธรรมดาเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศมากถึง 1 เมตริกตัน

ส่วนกระบวนการย่อยสลายศพให้เป็นปุ๋ยในลักษณะของบริษัท Recompose มีการทำมาก่อนหน้านี้อย่างถูกกฎหมายแล้วในสวีเดน ขณะที่ในสหราชอาณาจักรอนุญาตให้มีการฝังร่างแบบไม่ใช้โลงศพ  หรือให้ใช้โลงศพที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ

จากการตรวจสอบพบว่า ในเว็บไซต์ของบริษัท รีคอมโพส (Recompose) ได้เปิดเผยราคาค่าบริการในการเปลี่ยนร่างผู้เสียชีวิตให้เป็นดิน หรือปุ๋ย อยู่ที่ 7,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 240,730 บาท ซึ่งผู้ที่สนใจวิธีการนี้สามารถวางแผนการชำระเงินล่วงหน้าได้อีกด้วย

นอกจากวิธีจัดการศพแบบ Natural Organic Reduction ซึ่งเป็นกระบวนการจัดการ่างผู้เสียชีวิตที่ตอบโจทย์ความยั่งยืนแล้ว “Living Coffin” หรือโลงศพมีชีวิต ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ เป็นการฝังศพที่ไม่สร้างมลภาวะทิ้งไว้ให้กับโลก




สำหรับ Living Coffin ผลิตขึ้นจากเส้นใยของเห็ด ที่ช่วยเร่งการย่อยสลายร่างกายให้กลายเป็นสารอาหารในดินให้แก่ต้นไม้ได้ในระยะเวลา 6 สัปดาห์ และหมดไปใน 2-3 ปี และยังช่วยลดการตัดต้นไม้มาทำโลงศพ.

(อ่านข่าว ความยั่งยืน (Sustainability) ทั้งหมดที่นี่)





Thank to : https://www.thairath.co.th/news/sustainable/2712119
25 ก.ค. 2566 11:03 น. | ไทยรัฐออนไลน์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 13, 2023, 06:58:59 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ