.
การเตรียมเผาศพชูชก จิตรกรรมฝาผนังเรื่องพระเวสสันดรเขียนด้านนอกของสิม (โบสถ์) วัดยางทวงวราราม (วัดบ้านยาง) อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคามขุนกะเฬวราก-นายป่าช้า ที่รัฐบาลแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ผู้ดูแลจัดการศพ
“ขุนกะเฬวราก” คือ “นายป่าช้า” หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า “สัปเหร่อ” ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลและควบคุมการปลงซากศพที่ราษฎรนำมาประกอบพิธีกรรม รวมไปถึงศพคนไร้ญาติที่มีทั่วไปในสังคมด้วย
เมื่อเจ้าพนักงานหรือกองตระเวนพบซากศพหรือได้รับการร้องเรียนจากราษฎรแล้ว จะดำเนินการชันสูตรพลิกศพ เพื่อค้นหาสาเหตุของการตาย หากซากศพดังกล่าวไม่มีญาติพี่น้องมาอ้างรับศพ กองตระเวนก็จะมอบหมายให้ขุนกะเฬวรากนำซากศพคนไร้ญาติไปปลงเสีย ทั้งนี้ ในรายงานการแจ้งความของกองตระเวนแสดงให้เห็นว่า ขุนกะเฬวรากได้ทำหน้าที่ปลงซากศพคนไร้ญาติที่พบอยู่กระจัดกระจาย
นอกจากทางการจะมอบหมายให้กองตระเวนกับขุนกะเฬวรากทำหน้าที่ปลงศพคนไร้ญาติที่พบทั่วไปแล้ว หากราษฎรผู้ใดยากจนไม่มีเงินค่าธรรมเนียมปลงซากศพ รัฐจะให้ราษฎรนำซากศพมาปลงที่วัดสระเกศ โดยที่รัฐจะเป็นผู้ออกเงินค่าธรรมเนียมให้ เพราะรัฐต้องการจัดระเบียบสังคมและสุขอนามัย ขุนกะเฬวรากจึงเป็นฟันเฟืองหนึ่งของกระบวนการของรัฐ ที่ช่วยจัดการซากศพ ด้วยการนำมาเก็บ, ซ่อน หรือกำจัด ในสถานที่ลับตาอย่างป่าช้า ที่ออกห่างจากการรับรู้ของสาธารณะ เพื่อให้ความสยดสยองนั้นห่างไกลกับสาธาณชนทั่วไป และเพื่อให้บ้านเมืองดูมีความศิวิไลซ์ ปราศจากสิ่งโสโครกที่ก่อให้เกิดความรู้สึกอุจาด
ในบางครั้งมรรคนายกของวัดจะเป็นผู้พิจารณา และให้ใบอนุญาตว่า จะยินยอมให้ขุนกะเฬวรากปลงซากศพที่ราษฎรนำมายังวัด หากซากศพใดปราศจากใบอนุญาตแล้ว ขุนกะเฬวรากจะไม่ยอมปลงซากศพให้โดยเด็ดขาด ดังความที่กรมหลวงนเรศร์วรฤทธิ์
“ด้วยกระทรวงธรรมการมีหนังสือแจ้งความมาว่า วัดมหาพฤฒาราม แต่เดิมได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานกำหนดห้ามไม่ให้ทำการเผาศพ เพราะมีสถานราชทูตอยู่ใกล้เคียง บัดนี้สถานราชทูตนั้นได้ย้ายไปแล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เผาได้แต่คนบางจำพวก ซึ่งพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนพิทยลาภพฤฒิธาดา ผู้เปนมรรคนายกของวัดนั้นจะทรงวินิจฉัยแลพระราชทานพระอนุญาตให้เผา ให้หลวงนรพรรคพฤฒิกรส่งขุนกะเฬวรากทราบเหตุนี้ ถ้าจะมีผู้ใดนำศพมาเผาในที่ป่าช้าวัดมหาพฤฒาราม แม้ว่าพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนพิทยลาภพฤฒิธาดาผู้เปนมรรคนายกได้ประทานพระอนุญาตแล้วก็เปนอันยอมให้ศพนั้นเผาได้ แต่ถ้าศพใดไม่ให้ประทานพระอนุญาตจะเผาในที่ป่าช้าวัดนั้นไม่ได้” [1]
@@@@@@@
ทั้งนี้ ขุนกะเฬวรากก็ไม่อาจทำการปลงซากศพได้โดยพลการ เนื่องจากรัฐสยามยังคงนำกฎหมายตราสามดวงมาใช้ควบคุม มิให้ราษฎรขนซากศพย้ายข้ามเขตข้ามแดน ดังความที่พระสรชาญพลไกรทำหนังสือแจ้งต่อกองตระเวน เพื่อขออนุญาตขนย้ายศพพระอินทรเทพ (ทัย) บิดาของตน จากบ้านปากคลองมอญมาที่บ้านคอกโค กรมหมื่นนเรศร์วรฤทธิจึงนำหนังสือของพระสรชาญพลไกรทูลเกล้าฯ ไปยังพระจุลจอมเกล้าฯ ดังความว่า
“ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ว่า การที่พระสรชาญพลไกรขออนุญาตยกศพข้ามฟากมานี้ ก็เปนการขัดกับพระราชกำหนดกฎหมายลักษณโจรมาตรา 164 ซึ่งมีความว่า ผู้ใดทนงองอาจหามผีข้ามแขวง ข้ามด่าน ข้ามแดนไปฝังไปเผาก็ดี ผีนอกพระนครเอาเข้าไปในพระนครก็ดี ผู้ใดทำดังนี้เลมิดให้ไหมทั้งพวกจงทุกคน ดังนี้ การที่เอาศพข้ามด่านแลข้ามแขวงนั้น ก็เคยมีโดยพระราชทานพระบรมราชานุญาตก่อน แลการที่จะเอาศพมาไว้ในพระนครนี้ ยังไม่เคยมีสถานใด ข้าพระพุทธเจ้าขอรับพระราชทานเรียนพระราชประฏิบัต” [2]
แต่ขณะเดียวกัน รัฐก็เปิดโอกาสให้ราษฎรสามารถขนย้ายซากศพข้ามเขตแดนได้ จึงมีราษฎรยื่นหนังสือคำร้องขออนุญาตขนย้ายซากศพข้ามเขตแดนมาให้กองตระเวนพิจารณาจำนวนมาก ทั้งการขออนุญาตขนย้ายซากศพไปต่างเมือง หรือขนย้ายออกนอกประเทศ เช่น จีนเจือเส่งฮะขออนุญาตนำศพจีนเล่าชุน บิดาจากเมืองสุพรรณบุรี เข้ามายังกรุงเทพฯ เพื่อทำบุญให้ทานการศพพร้อมเพรียงกับญาติพี่น้อง [3] อำแดงป่วนขออนุญาตนำศพจีนเฮง สามีที่เสียชีวิตในตำบลสักเหล็ก ออกไปฝั่งทำฮวงซุ้ยที่เมืองไหหลำตามธรรมเนียมจีน [4] ฯลฯ
ภายใต้กระบวนการควบคุมซากศพทำให้รัฐสยามมีอำนาจผูกขาดการควบคุมและตรวจตราซากศพของราษฎร
กระนั้น ขุนกะเฬวราก ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้จัดการความสยดสยองในช่วงเวลาที่รัฐสยามกำลังเปลี่ยนแปลงเพื่อเข้าสู่ความเป็นรัฐสมัยใหม่ แต่การทำงานของขุนกะเฬวรากอาจจะยังมีลักษณะที่ไม่เป็นทางการหรือยังไม่มีประสิทธิภาพเต็มที่นัก อย่างไรก็ตามกระบวนการกำจัดความสยดสยองที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 2430 กลายเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้รัฐสยามตระหนักถึงความสำคัญของการกำจัดซากศพ จนนำมาสู่การประกาศใช้ “กฎเสนาบดีกระทรวงนครบาลว่าด้วยป่าช้าแลนายป่าช้า” ใน พ.ศ. 2460 อันเป็นกฎหมายที่รัฐสยามแต่งตั้งให้ “นายป่าช้า” ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการความศิวิไลซ์อย่างเป็นทางการ โดยต้องทำงานอยู่ภายใต้อำนาจของกระทรวงนครบาล
@@@@@@@
ทั้งนี้ เสนาบดีกระทรวงนครบาลจะมีอำนาจอย่างเต็มที่ในการกำหนดว่า ในท้องที่ตำบลหรืออำเภอหนึ่งๆ ราษฎรสามารถนำซากศพไปฝากหรือฝังได้ที่ป่าช้าใดบ้าง รวมทั้งอำนาจในการออกอนุญาตฝากศพหรือฝังศพที่ป่าช้าใดบ้าง โดยสถานที่ที่ราษฎรสามารถปลงซากศพได้จะต้องอยู่ในการตรวจตราของเจ้าพนักงานสุขาภิบาลและท้องที่ เพื่อเป็นการรักษาความสะอาดและป้องกันความเดือดร้อนรำคาญของสาธารณชน นอกจากนี้ นายอำเภอท้องที่ยังมีอำนาจในการกำหนดเวลาปล่อยไฟได้ตามสมควร เพื่อป้องกันมิให้ราษฎรผู้อื่นได้รับผลกระทบ [5]
นอกจากการปลงซากศพของราษฎรอย่างเข้มงวดแล้ว รัฐยังมีบทลงโทษสำหรับผู้กระทำการฝ่าฝืน หากราษฎรปลงซากศพโดยปราศจากใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานแล้ว นายอำเภอจะทำการสืบสวนถึงสาเหตุการตายและฟ้องร้องราษฎรผู้นั้นต่อไป ถ้าหากขุนกะเฬวรากหรือนายป่าช้าปล่อยปละไม่ตรวจตราใบอนุญาต ก็จะต้องได้รับบทลงโทษตั้งแต่การถูกปรับเงิน ถอนใบอนุญาต หรือกรณีร้ายแรงที่สุดคือ การลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา [6]
ในช่วงเวลาแห่งการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศเพื่อเข้าสู่ความศิวิไลซ์นั้น สยามได้ริเริ่มการจัดการซากศพที่พบอยู่ตามพื้นที่สาธารณะในตัวเมือง ที่ก่อให้เกิดความรู้สึกอุจาดและเกิดความรังเกียจ โดยมีขุนกะเฬวรากเป็นผู้จัดการความสยดสยอง ที่นอกเหนือจากการปลงซากศพที่ราษฎรนำมาที่วัดแล้ว ขุนกะเฬวรากยังต้องทำหน้าที่ร่วมกับกองตระเวนสยามปลงซากศพคนไร้ญาติ หรือซากศพที่พบเกลื่อนกลาดอยู่ตามพื้นที่สาธารณะ
ทั้งนี้กระบวนการทำให้ศิวิไลซ์ส่งผลให้รัฐสยามได้ผูกขาดอำนาจในการควบคุมและตรวจตราซากศพของราษฎร ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้รัฐสยามมีอำนาจเด็ดขาดในการบงการร่างกายและซากศพราษฎรในเวลาต่อมา
@@@@@@@
อ่านเพิ่มเติม :-
- ชาวบ้าน “เผาผี” กันอย่างไร? ทำไมพก “มีดปาดหมาก” ไม่มี “ดอกไม้จันทน์”
- ความเชื่อเบื้องหลังพิธีเผาศพของชาวอินเดีย สู่สถิติเผาริมฝั่งแม่น้ำคงคา 35,000 ศพต่อปี
- 400 ปีมาแล้ว แรกมีเมรุเผาศพเลียนแบบนครวัด
ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : เสมียนนารี
เผยแพร่ : วันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ.2566
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 11 ตุลาคม 2565
website :
https://www.silpa-mag.com/history/article_94556เชิงอรรถ :-
[1] หจช., ร.5 น.4.1/27 “ให้ขุนกะเฬวรากตรวจศพที่มาเผาป่าช้าวัดมหาพฤฒาราม ถ้ามีใบอนุญาตแล้วยอมให้เผาได้ ร.ศ. 122.”
[2] หจช., ร.5 น.1.1/126 “ขออนุญาตยกศพในกำแพงพระนคร ร.ศ. 116.”
[3] หจช., ร.5 น.8.11/6 “จีนเจือเส่งฮะ ฃออนุญาตนำศพจีนเล่าชุนหัวบิดา ซึ่งไปป่วยตายอยู่ที่เมืองสุพรรณบุรี ลงมาทำการฌาปนกิจที่วัดสัมพันวงษ กรุงเทพฯ ร.ศ. 124.”
[4] หจช., ร.5 น. 8.11/21 “อำแดงป่วนหญิงหม้าย ขออนุญาตนำศพจีนเฮงสามีซึ่งป่วยตายอยู่ที่มณฑลพิศณุโลกย์นั้นออกไปยังเมืองจีน สั่งกองตระเวนอนุญาตแล้ว ร.ศ. 126.”
[5] “กฏเสนาบดีกระทรวงนครบาลว่าด้วยป่าช้าแลนายป่าช้า” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 34, ตอน 0 ก (8 กรกฎาคม, 2460): 306-308.
[6] เรื่องเดียวกัน, น. 308-311.
หมายเหตุ : เนื้อหานี้เรียบเรียงขึ้นจาก ภัทรนิษฐ์ สุรรังสรรค์. รัฐสยดสยอง, สนพ.มติชน, พิมพ์ครั้งแรก กันยายน 2565