ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ขอม ไม่ใช่ชนชาติ ไม่มีคำว่า ขอม ในเขมร | สุจิตต์ วงษ์เทศ  (อ่าน 938 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

ปราสาทบายน (AFP PHOTO / VOISHMEL) / VOISHMEL


ขอม ไม่ใช่ชนชาติ ไม่มีคำว่า ขอม ในเขมร | สุจิตต์ วงษ์เทศ

“ขอม หมายถึง เขมรในกัมพูชาอย่างแน่ชัดมาแต่โบราณ” จิตร ภูมิศักดิ์ บอกโดยสรุปไว้ในหนังสือ “ข้อเท็จจริงว่าด้วยชนชาติขอม” (สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2547)

ยกข้อความนี้มาเพื่อบอกกล่าวข่าวสารข้อมูล แก่ผู้มีคำถามส่งถึงผมว่า ขอมเป็นใคร.? มาจากไหน.? ขอมเป็นสยามหรือไม่.? ฯลฯ

นอกจากนั้น ยังมีข้อความอยู่ในหนังสือ อยุธยา มาจากไหน.? เกี่ยวกับขอมและสยาม จะคัดมาดังนี้

@@@@@@@

ขอม

ขอม ไม่ใช่ชื่อชนชาติเฉพาะ ฉะนั้นไม่มีชนชาติขอมในโลก แต่ขอมเป็นชื่อทางวัฒนธรรม มีขึ้นราวหลัง พ.ศ. 1500 ใช้สมมุติเรียก คนบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่นับถือศาสนาพราหมณ์และพุทธมหายาน แล้วใช้ภาษาเขมรสื่อสารในชีวิตประจำวัน กับใช้อักษรเขมรในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์
 
เช่นเดียวกับคำว่า "แขก" ใช้สมมุติเรียกผู้นับถือศาสนาอิสลาม และคำว่าคริสต์ ใช้สมมุติเรียกผู้นับถือศาสนาคริสต์ [ปรับปรุงใหม่จากข้อเขียนนานมากแล้วของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช]

เขมรไม่เรียกตัวเองว่าขอม และไม่มีคำว่าขอมในเขมร แต่รู้ภายหลังว่าถูกไทยเรียกขอม ศูนย์กลางขอมครั้งแรกอยู่ที่รัฐละโว้ (ลพบุรี) ต่อมาย้ายลงไปอยู่ที่อโยธยาศรีรามเทพ (ต่อไปคือกรุงศรีอยุธยา) แล้วถูกขยายสมัยหลังไปอยู่กัมพูชา

ด้วยเหตุนี้ใครก็ตามจะถูกเรียกขอมทั้งนั้น ไม่ว่ามอญ เขมร มลายู ลาว จีน จาม หรือ ไทย ฯลฯ เมื่อนับถือพราหมณ์และพุทธมหายาน แล้วสังกัดรัฐละโว้-อโยธยา และอาณาจักรกัมพูชา

แต่คนทั่วไปมักเข้าใจต่างกันเป็น 2 อย่าง ว่า ขอม คือ เขมร และ ขอมไม่ใช่เขมร , กรณีขอมไม่เขมร มีเหตุจากการเมืองสมัยใหม่ ลัทธิชาตินิยมช่วงสงครามเย็น โดยเฉพาะกรณีพิพาทเรื่องปราสาทพระวิหาร เพื่อแสดงว่าไทยเป็นเจ้าของ บรรดาคนชั้นนำไทยปลุกระดมว่าขอมสร้างปราสาทพระวิหาร ซึ่งไม่เขมร แต่ในทางวิชาการสากลคนทั้งโลกไม่เชื่อคนชั้นนำไทย


@@@@@@@

สยาม

สยาม ไม่ใช่ชื่อชนชาติเชื้อชาติ แต่เป็นชื่อดินแดนที่คนพวกอื่นซึ่งอยู่ภายนอกใช้เรียก บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำโขงตอนบนอย่างกว้างๆ หลวมๆ ครั้นสมัยหลังมีขอบเขตแคบลงเหลือเฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา ภาคกลาง (ที่บางครั้งยาวต่อเนื่องลงไปถึงนครศรีธรรมราช)

ไทยเป็นชาวสยาม แต่สยามไม่ใช่คนไทย เพียงแต่ใช้ภาษาไทยเป็นภาษากลาง

สยามไม่ใช่ชื่อชาติพันธุ์หนึ่งใดโดยเฉพาะ แต่เรียกกลุ่มคนที่เกิดและมีหลักแหล่งอยู่ดินแดนสยามว่า ชาวสยาม โดยไม่จำกัดชาติพันธุ์หรือชาติภาษา แต่ชาวสยามมักสื่อสารกันทั่วไปด้วยตระกูลภาษาไต-ไท (ซึ่งสมัยโบราณเป็นภาษากลางทางการค้าของดินแดนภายใน)

คนเกิดมาไม่ว่าชาติพันธุ์อะไร (แม้เป็นตระกูลมอญ-เขมร, ชวา-มลายู, ไต-ไท ฯลฯ) ถ้ามีหลักแหล่งอยู่ในดินแดนสยามแล้ว ถูกเรียกเหมาหมดว่าชาวสยาม เช่น คนนานาชาติพันธุ์บริเวณสองฝั่งโขงที่มีเวียงจันเป็นศูนย์กลาง เคยถูกเรียกว่า พวกสยาม ด้วยคำเขมรว่า เสียมกุก หรือ เสียมก๊ก, สยามก๊ก เมื่อเรือน พ.ศ. 1650 (มีคำจารึกและภาพสลักบนระเบียงปราสาทนครวัด)

ชาวยุโรปเรียกกรุงศรีอยุธยาว่า สยาม หรือราชอาณาจักรสยาม ต่อมาเรียกกรุงรัตนโกสินทร์ว่า ประเทศสยาม

สยามมีรากจากคำพื้นเมืองดั้งเดิม ว่า ซมั , ซำ, หรือ สาม หมายถึง บริเวณทีมี่น้ำซึมน้ำซับ เป็นตาน้ำพุน้ำผุดโผล่ขึ้นจากแอ่งดินอ่อนหรือดินโคลน

น้ำซึมน้ำซับหรือตาน้ำพุน้ำผุดเหล่านั้น เกิดจากน้ำฝนที่รากต้นไม้อุ้มไว้ทั้งบนภูเขาและบนเนินดอน แล้วค่อยๆ เซาะซอนใต้ดินมาพุมาผุดขึ้นบริเวณดินอ่อนหรือดินโคลนที่ราบเชิงเขาหรือเชิงเนินดอน จนบางแห่งกลายเป็นที่ลุ่มห้วยหนองคลองบึงบุ่งทาม เช่น หนองหานที่สกลนคร, หนองหานที่อุดรธานี, บึงบอระเพ็ดที่นครสวรรค์ เป็นต้น [ปรับปรุงจากหนังสือ ความเป็นมาของคำสยามฯ ของ จิตร ภูมิศักดิ์ พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2519]






Thank to : https://www.matichonweekly.com/column/article_137552
เผยแพร่ : วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2566
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 30, 2023, 09:06:27 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ