ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: คาร์บอนเครดิตป่าไม้ ทำอย่างไรจึง ‘ยุติธรรม’ และ ‘ไม่ฟอกเขียว’  (อ่าน 932 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



คาร์บอนเครดิตป่าไม้ ทำอย่างไรจึง ‘ยุติธรรม’ และ ‘ไม่ฟอกเขียว’

Summary

    • ความท้าทายของการมุ่งสู่ ‘สังคมคาร์บอนต่ำ’ มีหลายประการด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือ อุตสาหกรรมบางประเภทปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ ‘ลดยาก’ เพราะการลดมีต้นทุนสูงมาก หรือปัจจุบันยังไม่มีเทคโนโลยี ที่ช่วยลดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    • การปกป้องและฟื้นฟูป่าไม้และแหล่งดูดซับคาร์บอนธรรมชาติอย่างเต็มกำลัง และมี ‘คาร์บอนเครดิตป่าไม้’ เป็นกลไกทางการเงินที่หลายคนคาดหวังว่า ถ้าออกแบบมาดีพอก็น่าจะช่วย ‘ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวได้’ คือทั้งสร้างแรงจูงใจให้บริษัทหาทางลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อบรรลุเป้า 1.5 องศาได้ และช่วยระดมทุนสำหรับงานอนุรักษ์ป่า

    • โดยหลักการ คาร์บอนเครดิตป่าไม้หมายถึงการอนุญาตให้บริษัทซื้อคาร์บอนเครดิตมาชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกบางส่วนของตนเอง จากผู้ขาย หรือโครงการปลูกป่า ที่คำนวณปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ป่าไม้มีแนวโน้มจะดูดซับได้ในระยะยาว อย่างรัดกุมตามหลักวิชาการ แล้วนำเม็ดเงินนั้นมาแบ่งปันอย่างเป็นธรรมกับทุกฝ่ายที่มีบทบาทในการดูแลป่า รวมทั้งชุมชนท้องถิ่นด้วย





ในยุคที่องค์การสหประชาชาติและนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากพร่ำบอกเราว่า ‘ภาวะโลกร้อน’ หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ วันนี้ทวีความรุนแรงจนถึงขั้น ‘ภาวะโลกเดือด’ หรือ climate crisis ไปแล้ว

แน่นอนว่ามนุษยชาติก็ต้องเร่งระดมกลไกและเครื่องมือทั้งหมดเท่าที่มี เพื่อหาทางหยุดหรือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้มากที่สุดที่ทำได้ เพราะเรามีเวลาเหลืออีกเพียงไม่กี่ปี ก่อนที่อุณหภูมิเฉลี่ยโลกจะเพิ่มเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เป้าหมายขั้นสูงของข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ระดับที่นักวิทยาศาสตร์บอกว่า เลยจากนั้นชีวิตบนโลกจะ ‘อยู่ยาก’ อย่างใหญ่หลวง รวมทั้งมนุษย์ด้วย

ควรหมายเหตุว่า เราต้องพยายามอยู่ดีถึงแม้งานวิจัยจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จะชี้ว่าการบรรลุเป้านี้ยากชนิด ‘แทบเป็นไปไม่ได้’ แล้ว เช่น งานวิจัยเดือนตุลาคม 2023 ในวารสาร Nature Climate Change คำนวณว่าถ้าเราจะมีโอกาสดีกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ที่จะบรรลุเป้า 1.5 องศา ทั่วโลกต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงจนใกล้เคียงกับ ‘ศูนย์’ ที่สุดภายในปี 2035

ความท้าทายของการมุ่งสู่ ‘สังคมคาร์บอนต่ำ’ มีหลายประการด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือ อุตสาหกรรมบางประเภทปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ ‘ลดยาก’ (hard-to-abate) เพราะการลดมีต้นทุนสูงมาก หรือปัจจุบันยังไม่มีเทคโนโลยี (abatement technologies) ที่ช่วยลดได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ดูสรุปสถานะเทคโนโลยีได้ใน IPCC 6th Assessment Report ) อุตสาหกรรมลดยากหลักๆ ได้แก่ อุตสาหกรรมหนัก เช่น ซีเมนต์ เหล็กกล้า เคมีภัณฑ์ และอุตสาหกรรมขนส่งขนาดใหญ่ เช่น การขนส่งทางอากาศ การขนส่งทางเรือ และการขนส่งโดยรถบรรทุกยักษ์

@@@@@@@

สาเหตุหลักๆ ที่ก๊าซเรือนกระจกในอุตสาหกรรมหนักลดเหลือศูนย์ได้ยากมาก หรือเป็นไปไม่ได้นั้น มีทั้งปัจจัยทางเทคนิคและปัจจัยทางเศรษฐกิจ

   - ปัจจัยทางเทคนิค อาทิ ความจำเป็นที่จะต้องใช้ความร้อนสูง และปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต
   - ปัจจัยทางเศรษฐกิจ อาทิ อัตรากำไรที่ต่ำมาก ต้นทุนสูง อายุขัยของสินทรัพย์ที่ยาวนาน

ทั้งหมดนี้ทำให้การปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกแพงมหาศาล และข้อเท็จจริงที่ว่าผลิตภัณฑ์ของอุตสาหกรรมเหล่านี้เชื่อมโยงกับการใช้ชีวิตสมัยใหม่อย่างแยกไม่ออก เช่น ซีเมนต์และเหล็กกล้าต้องใช้ในการก่อสร้าง ส่วนเคมีภัณฑ์ก็เป็นส่วนประกอบของข้าวของเครื่องใช้จำนวนมากในชีวิตประจำวัน

ในเมื่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เหลือศูนย์ หรือใกล้ศูนย์ที่สุด ยังเป็นไปไม่ได้สำหรับอุตสาหกรรมบางประเภท และยากยิ่งสำหรับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกระดับ Scope 3 หรือทางอ้อม เช่น การเดินทางของพนักงาน กระบวนการผลิตวัตถุดิบที่บริษัทต้องใช้ การกระจายสินค้า

สภาพความจริงเช่นนี้ของ ‘ระยะเปลี่ยนผ่าน’ ทำให้ ‘ตลาดคาร์บอน’ ที่อนุญาตให้บริษัทซื้อคาร์บอนเครดิตมาชดเชยก๊าซเรือนกระจกส่วนที่ตัวเองยังไม่ลด เป็นกลไกทางการเงินที่สำคัญในช่วงการเปลี่ยนผ่านสู่ ‘สังคมคาร์บอนต่ำ’ ไม่ว่าจะเป็นตลาดคาร์บอนโดยบังคับหรือสมัครใจก็ตาม

เพราะทุกบริษัทถ้าทำบัญชีคาร์บอน (carbon accounting) อย่างครอบคลุมทั้งทางตรงและทางอ้อม (Scope 1, 2 และ 3) ก็ย่อมพบบางจุดที่ปัจจุบันยังไม่มีวิธีลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงให้เหลือศูนย์ หรือใกล้ศูนย์

ในขณะเดียวกัน ข้อเท็จจริงก็คือ ไม่มีทางที่เราจะบรรลุเป้า 1.5 องศาได้ ถ้าเราไม่เร่งปกป้องและฟื้นฟูป่าไม้และ ‘แหล่งดูดซับคาร์บอนธรรมชาติ’ อื่นๆ อย่างเต็มกำลัง ในยุคที่การตัดไม้ทำลายป่าทวีความรุนแรง และผู้ดูแลรักษาป่าภาครัฐ เอกชน และชุมชน ซึ่งหมายความรวมถึงเจ้าหน้าที่ป่าไม้ บริษัทดูแลป่า และชุมชนท้องถิ่น ยังขาดแคลนทรัพยากรที่จำเป็นต่อการอนุรักษ์ ยังไม่ต้องพูดถึงการ ‘เพิ่ม’ พื้นที่อนุรักษ์ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในแผน Net Zero ของหลายประเทศด้วย

    "ด้วยเหตุนี้ ‘คาร์บอนเครดิตป่าไม้’ จึงเป็นกลไกทางการเงินที่หลายคนคาดหวังว่า ถ้าออกแบบมาดีพอก็น่าจะช่วย ‘ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวได้’ คือทั้งสร้างแรงจูงใจให้บริษัทหาทางลดก๊าซเรือนกระจก (ถ้า ‘ราคา’ คาร์บอนสูงมากพอ) และช่วยระดมทุนสำหรับงานอนุรักษ์ป่าให้สามารถพัฒนาอย่างยั่งยืนมากขึ้น"

โดยหลักการ คาร์บอนเครดิตป่าไม้ หมายถึงการอนุญาตให้บริษัท ‘ซื้อ’ คาร์บอนเครดิตมาชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกบางส่วนของตนเอง จากผู้ ‘ขาย’ หรือโครงการปลูกป่า ที่คำนวณปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ป่าไม้มีแนวโน้มจะดูดซับได้ในระยะยาว อย่างรัดกุมตามหลักวิชาการ แล้วนำเม็ดเงินนั้นมาแบ่งปันอย่างเป็นธรรมกับทุกฝ่ายที่มีบทบาทในการดูแลป่า รวมทั้งชุมชนท้องถิ่นด้วย




อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาความเป็นจริงก็เดินสวนทางกับความคาดหวังค่อนข้างมาก ตลอดระยะเวลาเกือบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา นับตั้งแต่มีการพัฒนาตลาดนี้ โครงการคาร์บอนเครดิตป่าไม้จำนวนมากทั่วโลกมีปัญหานานัปการที่ถูกตีแผ่ในหน้าสื่อและงานวิจัยอยู่เนืองๆ เราสามารถสรุปปัญหาส่วนใหญ่ตามหลักการบางข้อของคาร์บอนเครดิตได้ดังนี้

1. Additionality (ส่วนเพิ่ม)

โดยทั่วไป ป่าไม้ที่มีอยู่เดิมก็ทำหน้าที่ดูดซับคาร์บอนให้เราอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีตลาดคาร์บอน ดังนั้น การจ่ายเงินสำหรับโครงการป่าไม้เดิมจึงอ้างไม่ได้ว่า ช่วยดูดซับคาร์บอน ‘เพิ่มขึ้น’ เพราะเราต้องไม่ลืมว่า เป้าหมายหลักของตลาดคาร์บอนคือช่วย ‘ลด’ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิลงจากระดับปัจจุบัน

ด้วยเหตุนี้ โครงการป่าไม้ที่จะนำมาขายคาร์บอนเครดิตจึงต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า รายได้จากการขายคาร์บอนเครดิตจะช่วยลดคาร์บอนได้มากกว่ากรณีที่ไม่มีตลาด เช่น นำรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิตไปปลูกป่าเพิ่ม ลดการตัดไม้ทำลายป่า ทำกิจกรรมที่ช่วยลดไฟป่า ฯลฯ หรือพูดอย่างเคร่งครัดก็คือ ถ้าไม่มีตลาดคาร์บอน โครงการเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น

ในความเป็นจริง โครงการคาร์บอนเครดิตป่าไม้จำนวนมากถูกตีแผ่ว่าไม่เข้าหลัก additionality มีตั้งแต่เอาโครงการเดิมมา ‘โม้’ ว่าจะลดคาร์บอนมากขึ้น โครงการปลูกป่าที่แค่ ‘ปลูกต้นไม้’ ไม่กลายเป็นป่า โครงการที่ถึงอย่างไรก็ต้องทำอยู่ดีตามกฎหมาย โครงการป่าชุมชนที่ชาวบ้านดูแลมานานหลายปีแล้วจู่ๆ ถูกเคลมไปขายคาร์บอนเครดิต

@@@@@@@

2. Permanence (ดูดซับถาวร) และ Leakage (ปัญหาโผล่ที่อื่น)

ก๊าซเรือนกระจกหลัก คือคาร์บอนไดออกไซด์นั้น ดำรงอยู่ในชั้นบรรยากาศนานถึง 100 ปี หลังจากที่ถูกปล่อยออกมา ดังนั้น ผู้ซื้อและผู้ขายโครงการคาร์บอนเครดิตป่าไม้จึงต้องมั่นใจว่า ป่าไม้ในโครงการจะอยู่ได้ถึง 100 ปีเช่นกัน ไม่อย่างนั้นในระยะยาว โครงการป่าไม้อาจเพิ่มก๊าซเรือนกระจกแทนที่จะลด เพราะต้นไม้ตายหมดหลังจากที่ผ่านไปไม่กี่ปี เป็นต้น ซึ่งก็จะทำให้คาร์บอนเครดิตที่ขายไปแล้วไร้ความหมาย

ในแง่หนึ่ง เราจึงอาจคิดถึงคาร์บอนเครดิตป่าไม้ว่าเป็น ‘บัตรเครดิต’ ที่เจ้าหนี้คือธรรมชาติใจดีที่สุดในโลก เรารูดบัตรจับจ่ายใช้สอยได้ทันที ขณะที่มีเวลานานถึง 100 ปีในการ ‘ใช้หนี้’ ธรรมชาติจนหมด – ในแง่นี้ คาร์บอนเครดิตป่าไม้จึงเปรียบเสมือนการ ‘ซื้อเวลา’ ระหว่างที่เราคิดค้นพัฒนาเทคโนโลยีการลดและดูดซับก๊าซเรือนกระจก บนเส้นทางสู่สังคมคาร์บอนต่ำหรือเป้า Net Zero

ในความเป็นจริง โครงการคาร์บอนเครดิตป่าไม้จำนวนนับไม่ถ้วนถูกตีแผ่ว่าไม่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกจริง เพราะป่าในโครงการอยู่ไม่นาน

ยกตัวอย่างเช่น การศึกษาชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science เดือนสิงหาคม 2023 สรุปผลการศึกษาโครงการป้องกันการตัดไม้ทำลายป่า REDD+ 26 โครงการในสามทวีปที่มีการนำไปขายคาร์บอนเครดิต คณะวิจัยพบว่า 94 เปอร์เซ็นต์ ของโครงการทั้งหมดไม่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจก และโครงการที่ลดได้ก็ลดน้อยกว่าที่อ้างมาก

    "นอกจากนี้ หลายโครงการเจอ ‘ปัญหาไปโผล่ที่อื่น’ (leakage) นั่นคือ การเน้นอนุรักษ์ป่าไม้ในพื้นที่หนึ่งๆ ส่งผลให้การตัดไม้ทำลายป่าไปปรากฏที่อื่นแทน กรณีนี้คาร์บอนสุทธิจะไม่ลดลง ป่าไม้ในโครงการช่วยดูดซับคาร์บอนมากขึ้น แต่ป่าที่อื่นก็ดูดซับได้น้อยลง เพราะถูกทำลายมากขึ้น"

รายงานผลการตรวจสอบโครงการ International and Climate Initiative (รวม REDD+) ออกปี 2018 โดยสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินนอร์เวย์ ประเทศที่ให้เงินสนับสนุน REDD+ มากที่สุดในโลก ระบุชัดว่าพบ ‘ความเสี่ยงของการย้ายการตัดไม้ทำลายป่าไปที่อื่น’ และปัญหานี้ข้อเดียวส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนสูงมาก ว่าโครงการคาร์บอนเครดิตป่าไม้ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกจริงหรือไม่

@@@@@@@

3. Social and Environmental Safeguards (มีกลไกป้องกันทางสังคมและสิ่งแวดล้อม) และ Fair Benefit Sharing (แบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม)

เนื่องจากผู้ที่ต้องพึ่งพาป่าไม้ในการดำรงชีวิตมักเป็นกลุ่มเปราะบาง อาทิ ชนพื้นเมือง และผู้มีรายได้น้อยในชุมชนท้องถิ่น ซึ่งก็มักเป็นกลุ่มที่ถูกเอารัดเอาเปรียบและมองข้ามในการพัฒนาเสมอมา ดังนั้น หลักการสำคัญข้อหนึ่งของคาร์บอนเครดิตป่าไม้ก็คือ การวางกลไกป้องกันทางสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างหลักประกันว่าโครงการนั้นจะไม่สร้างปัญหาด้านสังคมหรือสิ่งแวดล้อม เช่น ขับไล่ชาวบ้านออกจากที่ดินทำกิน หรือยึดสิทธิของชาวบ้านในการใช้ประโยชน์จากป่าไปให้รัฐหรือบริษัทเอกชน รวมถึงต้องออกแบบแผนการแบ่งปันผลประโยชน์ (Benefit Sharing Plan) จากการขายคาร์บอนเครดิตอย่างเป็นธรรมด้วย

หลายคนคงไม่แปลกใจที่ได้รู้ว่า โครงการคาร์บอนเครดิตป่าไม้จำนวนมากในประเทศกำลังพัฒนา ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยลดคาร์บอนเท่านั้น แต่ยังสร้างปัญหาทางสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศที่นิติรัฐนิติธรรมไม่แข็งแรง เจ้าหน้าที่รัฐกลับเป็นฝ่ายละเมิดสิทธิมนุษยชนเสียเองแทนที่จะคุ้มครอง

ตัวอย่างที่โด่งดังระดับโลกกรณีหนึ่งคือ โครงการ REDD+ ขายคาร์บอนเครดิตป่าไม้โครงการแรกในกัมพูชา ซึ่งผ่านไปเกือบ 10 ปี หลังจากที่เริ่มโครงการในปี 2008 โครงการนี้ก็ถูกนักวิจัยทีมหนึ่งเปิดโปงผ่านการศึกษาว่า ป่าไม้ถูกทำลายมากขึ้นแทนที่จะได้รับการอนุรักษ์ และชาวบ้านก็เดือดร้อนจากการถูกทหารขับไล่ออกจากป่า ความอื้อฉาวจากเรื่องนี้ส่งผลให้ Virgin Atlantic สายการบินยักษ์ใหญ่ ประกาศเลิกซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการนี้

อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนคงสงสัยว่า แผนการแบ่งปันผลประโยชน์ (benefit sharing plan) จากการขายคาร์บอนเครดิตที่ ‘ยุติธรรม’ ควรมีลักษณะอย่างไร ชุมชนผู้ดูแลป่าควรได้ส่วนแบ่งรายได้คาร์บอนเครดิตกี่เปอร์เซ็นต์

    "คำตอบเรื่องนี้ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่มาตรฐานสากลทุกมาตรฐานเห็นตรงกันว่า แผนการแบ่งปันผลประโยชน์ควรเป็นผลลัพธ์ของกระบวนการปรึกษาหารือที่มีความหมายและโปร่งใส ให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่แรก"

รับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่ายโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ช่วยดูแลฟื้นฟูป่าอย่างชนพื้นเมืองหรือชาวบ้านในชุมชน และมอง ‘ผลประโยชน์’ ที่จะแบ่งปันนั้นอย่างรอบด้าน ทั้งผลประโยชน์ที่เป็นตัวเงิน และไม่ใช่ตัวเงิน

@@@@@@@

Taking Root องค์กรช่วยเหลือให้เกษตรกรรายย่อยเข้าถึงตลาดคาร์บอนเครดิต สรุปลักษณะของแผนการแบ่งปันผลประโยชน์ที่ ‘ยุติธรรม’ ว่า ควรคำนึงถึงหลักการ 4 ข้อดังต่อไปนี้

1. สร้างมูลค่าที่สามารถจูงใจชุมชนให้ดูแลป่าได้จริง

ถ้าหากชีวิตของชาวบ้านไม่ดีขึ้นเลยจากการลงมือปลูกและดูแลป่า พวกเขาจะทำไปทำไม ดังนั้นอย่างน้อยที่สุด ‘ราคาฐาน’ ของคาร์บอนเครดิตควรครอบคลุมค่าใช้จ่ายของชาวบ้านในการพิทักษ์และ/หรือปลูกป่า เพื่อสร้างแรงจูงใจให้อนุรักษ์ป่าอย่างยั่งยืน

2. สร้างหลักประกันว่าจะแบ่งมูลค่าเพิ่มจากตลาดให้กับชุมชนท้องถิ่น

เมื่อได้ ‘ราคาฐาน’ (baseline) ที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายของชุมชนแล้ว ผู้ดำเนินโครงการก็ควรเปรียบเทียบตัวเลขนี้กับราคาตลาด ถ้าหากว่าตลาดเสนอราคาที่สูงกว่าราคาฐาน ผู้ดำเนินโครงการก็ควรแบ่งปันผลประโยชน์จากมูลค่าเพิ่มนี้ให้กับชุมชนด้วย

วิธีหนึ่งที่นิยมใช้ในการสร้างหลักประกันนี้คือ กำหนดสัดส่วนรายได้ตั้งแต่ต้นว่าชุมชนจะได้ส่วนแบ่งกี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้คาร์บอนเครดิตสุทธิในแต่ละปี ซึ่งตัวเลขนี้ก็ควรมีที่มาที่ไป ยุติธรรมกับชุมชนผู้ดูแลป่า

ยกตัวอย่างเช่น แผนการแบ่งปันผลประโยชน์ของประเทศโมซัมบิก ระบุชัดเจนว่าให้ชุมชนท้องถิ่นได้ส่วนแบ่งรายได้ 70 เปอร์เซ็นต์จากรายได้คาร์บอนเครดิตสุทธิ (หักค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการแล้ว) ส่วนบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้องจะได้ส่วนแบ่งเพียง 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น (ที่เหลือ 10 เปอร์เซ็นต์ กระจายไปตามหน่วยงานภาครัฐ)

3. คุณภาพสูงมาพร้อมต้นทุนสูง ชุมชนไม่ควรแบกรับต้นทุนเพิ่ม

แม้ว่าโครงการคาร์บอนเครดิตป่าไม้จำนวนมากจะมีปัญหามากมายดังที่สรุปข้างต้น ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตลาดนี้จะยังเป็นที่ต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุค ‘โลกเดือด’ ที่ทุกประเทศและบริษัทน้อยใหญ่ต่างต้องเร่งประกาศเป้าหมาย Net Zero และแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้เล่นในตลาดจะพยายามแก้ปัญหาต่างๆ ตั้งแต่ปัญหาทางเทคนิคของการประเมินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ‘ส่วนเพิ่ม’ ตามหลัก additionality ปัญหาการติดตามตรวจสอบว่าคาร์บอนจากโครงการนั้นมีการ ‘นับซ้ำ’ (double-counting) หรือป่ากลับถูกทำลายมากขึ้น (leakage) หรือไม่ ซึ่งปัญหาหลังนี้มีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ อาทิ ภาพถ่ายความละเอียดสูงจากดาวเทียม เข้ามาแก้ปัญหามากขึ้น

ความพยายามที่จะแก้ปัญหาต่างๆ นำมาซึ่งการประกาศ ‘มาตรฐานขั้นสูง’ ที่เคร่งครัดกว่ามาตรฐานก่อนๆ เช่น California Tropical Forest Standard ของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา และบริษัทหลายแห่งก็เริ่มประกาศว่า จะซื้อแต่ ‘คาร์บอนเครดิตคุณภาพสูง’ (high-integrity carbon credits) ที่ผ่านมาตรฐานขั้นสูงเท่านั้น

แน่นอนว่าคุณภาพที่สูงย่อมมาพร้อมกับต้นทุนที่สูงขึ้น ชุมชนท้องถิ่นไม่ควรต้องแบกรับต้นทุนในส่วนนี้ ผลลัพธ์ที่ควรเกิดคือ ราคาคาร์บอนเครดิตในตลาดต้องปรับตัวสูงขึ้น เพราะสุดท้ายแล้วถ้าผู้ซื้อต้องการคุณภาพ พวกเขาก็ควรเต็มใจจ่ายเงินซื้อคุณภาพในราคาแพงกว่าในอดีต

4. ไม่มี ‘สูตรสำเร็จ’ ของแผนการแบ่งปันผลประโยชน์

โครงการคาร์บอนเครดิตป่าไม้มีมากมายหลายประเภทและรูปแบบ โครงการปลูกป่าย่อมไม่เหมือนกับโครงการอนุรักษ์ป่า ไม่มีทางที่จะออก ‘มาตรฐานหนึ่งเดียว’ ของการแบ่งปันผลประโยชน์ที่ใช้กับโครงการทั้งหมดได้ ผู้ดำเนินโครงการจึงควรดูรายละเอียดแต่ละกรณี เพื่อมาออกแบบแผนที่ยุติธรรมสำหรับชุมชนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง






Thank to : https://plus.thairath.co.th/topic/naturematter/103925
Thairath Plus › Nature Matter | 12 พ.ย. 66 | creator : สฤณี อาชวานันทกุล
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ