ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: “อริยอุโบสถ” คืออะไร.? | ถือศีล ๘ ว่ายน้ำได้ไหม.?  (อ่าน 981 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.
  ask1 ans1

ถือศีล ๘ ว่ายน้ำได้ไหม.?
Q&A Quickly Dhrama Healing โดย พระมหาขวัญชัย กิตฺติเมธี

อยากปฏิบัติธรรมเข้มๆ แต่บางครั้งกิเลสก็หลอกเอาทำไงดี.? มีปัญหาด่วนๆ คาใจแก้ปัญหาไม่ได้ ถามมา พระมหาขวัญชัย กิตติเมธี เมตตาตอบทุกคำถามค่ะ

Question : ถือศีลแปดว่ายน้ำ ได้ไหมคะ.? หมายถึง ใส่ชุดกีฬาเรียบร้อยค่ะ
Answer : โดย พระมหาขวัญชัย กิตติเมธี






ตอบ : ก่อนจะตอบคำถามนี้ อยากให้ข้อมูลเกี่ยวกับ ศีล ๘ หรือศีลอุโบสถชัดเจนก่อน จึงขอยกข้อความโดยละเอียดที่ปรากฎในอุโปสถวรรค พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาตว่า           

    ๑. พระอรหันต์ทั้งหลายละเว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ คือ วางทัณฑาวุธและศัสตราวุธ มีความละอาย มีความเอ็นดู มุ่งประโยชน์เกื้อกูลต่อสรรพสัตว์อยู่ตลอดชีวิต แม้เราก็ละเว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ คือ วางทัณฑาวุธและศัสตราวุธ มีความละอาย มีความเอ็นดู มุ่งประโยชน์เกื้อกูลต่อสรรพสัตว์อยู่ตลอดวันหนึ่งและคืนหนึ่งนี้ในวันนี้ เพราะองค์แม้นี้ เราชื่อว่าทำตามพระอรหันต์ทั้งหลายและอยู่จำอุโบสถอุโบสถเป็นอันประกอบด้วยองค์ที่ ๑ นี้

    ๒. พระอรหันต์ทั้งหลายละเว้นขาดจากการลักทรัพย์ คือ รับเอาแต่ของที่เขาให้ มุ่งหวังแต่ของที่เขาให้ ไม่เป็นขโมย เป็นคนสะอาดอยู่ตลอดชีวิต แม้เราก็ละเว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับเอาแต่ของที่เขาให้ มุ่งหวังแต่ของที่เขาให้ ไม่เป็นขโมย เป็นคนสะอาดอยู่ตลอดวันหนึ่งและคืนหนึ่งนี้ในวันนี้ เพราะองค์แม้นี้ เราชื่อว่าทำตามพระอรหันต์ทั้งหลายและอยู่จำอุโบสถ อุโบสถเป็นอันประกอบด้วยองค์ที่ ๒ นี้

    ๓. พระอรหันต์ทั้งหลายละพฤติกรรมอันเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ คือประพฤติพรหมจรรย์ เว้นห่างไกลจากเมถุนธรรมอันเป็นกิจของชาวบ้านอยู่ตลอดชีวิต แม้เราก็ละพฤติกรรมอันเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์คือ ประพฤติพรหมจรรย์ เว้นห่างไกลจากเมถุนธรรมอันเป็นกิจของชาวบ้านอยู่ตลอดวันหนึ่งและคืนหนึ่งนี้ในวันนี้ เพราะองค์แม้นี้เราชื่อว่าทำตามพระอรหันต์ทั้งหลายและอยู่จำอุโบสถ อุโบสถเป็นอันประกอบด้วยองค์ที่ ๓ นี้

    ๔. พระอรหันต์ทั้งหลายละเว้นขาดจากการพูดเท็จ คือ พูดแต่คำสัตย์ดำรงความสัตย์ มีถ้อยคำเป็นหลัก เชื่อถือได้ ไม่หลอกลวงชาวโลกอยู่ตลอดชีวิต แม้เราก็ละเว้นขาดจากการพูดเท็จ คือ พูดแต่คำสัตย์ ดำรงความสัตย์ มีถ้อยคำเป็นหลัก เชื่อถือได้ ไม่หลอกลวงชาวโลกอยู่ตลอดวันหนึ่งและคืนหนึ่งนี้ในวันนี้ เพราะองค์แม้นี้ เราชื่อว่าทำตามพระอรหันต์ทั้งหลายและอยู่จำอุโบสถ อุโบสถเป็นอันประกอบด้วยองค์ที่ ๔ นี้

    ๕. พระอรหันต์ทั้งหลายละเว้นขาดจากการเสพของมึนเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นเหตุแห่งความประมาทอยู่ตลอดชีวิต แม้เราก็ละเว้นขาดจากการเสพของมึนเมาคือสุราและเมรัย อันเป็นเหตุแห่งความประมาทอยู่ตลอดวันและคืนหนึ่งนี้ในวันนี้ เพราะองค์แม้นี้ เราชื่อว่าทำตามพระอรหันต์ทั้งหลายและอยู่จำอุโบสถ อุโบสถเป็นอันประกอบด้วยองค์ที่ ๕ นี้

    ๖. พระอรหันต์ทั้งหลาย ฉันมื้อเดียว ไม่ฉันตอนกลางคืน เว้นขาดจากการฉันในเวลาวิกาลอยู่ตลอดชีวิต แม้เราก็บริโภคมื้อเดียว ไม่บริโภคตอนกลางคืน เว้นขาดจากการบริโภคในเวลาวิกาลอยู่ตลอดวันหนึ่งและคืนหนึ่งนี้ในวันนี้ เพราะองค์แม้นี้ เราชื่อว่าทำตามพระอรหันต์ทั้งหลายและอยู่จำอุโบสถ อุโบสถเป็นอันประกอบด้วยองค์ที่ ๖ นี้

    ๗. พระอรหันต์ทั้งหลายละเว้นขาดจากการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี ดูการละเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล การทัดทรง ประดับ ตกแต่งร่างกายด้วยพวงดอกไม้ ของหอม และเครื่องประทินผิวอันเป็นลักษณะแห่งการแต่งตัวอยู่ตลอดชีวิต แม้เราก็ละเว้นขาดจากการฟ้อนรำขับร้อง ประโคมดนตรี ดูการละเล่นที่เป็นข้าศึกแก่กุศล การทัดทรงประดับ ตกแต่งร่างกายด้วยพวงดอกไม้ ของหอม และเครื่องประทินผิวอันเป็นลักษณะแห่งการแต่งตัวอยู่ตลอดวันหนึ่งและคืนหนึ่งนี้ในวันนี้เพราะองค์แม้นี้ เราชื่อว่าทำตามพระอรหันต์ทั้งหลายและอยู่จำอุโบสถ อุโบสถเป็นอันประกอบด้วยองค์ที่ ๗ นี้

    ๘. พระอรหันต์ทั้งหลายละเว้นขาดจากที่นอนสูงและที่นอนใหญ่ นอนบนที่นอนต่ำ คือ บนเตียงหรือบนที่นอนที่ปูลาดด้วยหญ้าอยู่ตลอดชีวิตแม้เราก็ละเว้นขาดจากที่นอนสูงและที่นอนใหญ่ นอนบนที่นอนต่ำคือ บนเตียงหรือบนที่นอน ที่ปูลาดด้วยหญ้าอยู่ตลอดวันหนึ่งและคืนหนึ่งนี้ในวันนี้ เพราะองค์แม้นี้ เราชื่อว่าทำตามพระอรหันต์ทั้งหลายและอยู่จำอุโบสถ อุโบสถเป็นอันประกอบด้วยองค์ที่ ๘ นี้

@@@@@@@

จากข้อความทั้งหมดนี้ เราอาจพิจารณาได้ว่า ไม่ได้กล่าวถึงการว่ายน้ำว่าผิด จึงไม่จำเป็นต้องพิจารณาว่าใส่ชุดเรียบร้อยจะผิดได้ ถ้าเป็นการถือปกติก็ถือว่า ทำได้ ไม่มีปัญหา แต่ถ้าถือเอาแบบละเอียด และพิจารณาอย่างละเอียด จะพบว่า

ก. ข้อความว่า “เราชื่อว่าทำตามพระอรหันต์ทั้งหลายและอยู่จำอุโบสถ” การปฏิบัติตามศีล ๘ นั้นจึงเป็นการทำตามพระอรหันต์จึงถือว่าเป็นการทดสอบการใช้ชีวิตแบบอริยะที่ประเสริฐ มีกิริยามารยาทสำรวมระวัง มีชีวิตที่ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ไม่ฟุ้งเฟ้อตามกิเลส ตามความต้องการหรือความอยาก

ข. ศีล ๘ นั้นสัมพันธ์กับสังคม และตัวเอง
    โดยศีล ๔ ข้อแรกสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้าง คือทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น และทำให้จิตใจตัวเองเศร้าหมอง ขณะที่อีก ๔ ข้อหลังเป็นการฝึกปฏิบัติต่อตนเอง

ผู้ที่ถือได้ ๔ ข้อแรกนั้น ถือว่าทำให้สังคมอยู่ในความสงบ แต่อีก ๔ ข้อหลังนั้นเป็นเรื่องปฏิบัติเพื่อฝึกตนเอง นั้น ถือว่าเป็นการฝึกให้เข้าใจความพอดีในชีวิต ได้รู้ว่า อะไรเป็นส่วนเกินที่ชีวิตอาจไม่ได้ต้องการจริงๆ แต่เป็นความอยากเท่านั้นที่ทำให้เราต้องมี ต้องเป็นแบบนั้น และได้รู้อีกว่าว่าชีวิตไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ก็อยู่ได้ และจะได้ไม่สร้างความลำบากให้ตนเองในการแสวงหาจนลืมสิ่งที่สำคัญ เช่น ความดี เป็นต้น ในชีวิตจริงๆ ไป และเป็นการฝึกเพื่อลดละในสิ่งที่เกินพอดี หรือเกินกว่าความเป็นจริงในชีวิตไป

สรุปคือ ศีล ๘ นั้นเป็นการฝึกตนเองตามแบบพระอรหันต์หรือพระอริยะที่มีกิริยามารยาทสำรวมระวัง ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น อีกทั้งยังเรียนรู้ที่จะเข้าใจความพอดีในชีวิต นำตัวเองไปสู่ความพอดี ไม่เกินเลยจากความจำเป็น



พระมหาขวัญชัย กิตฺติเมธี

จากข้อสังเกตนี้จะพบว่า การว่ายน้ำหรือเล่นน้ำนั้นเป็นสิ่งจำเป็นหรือไม่.? ขอยกสัก ๒ กรณี

กรณีที่ ๑. ในวัตถูปมสูตรว่าด้วยข้ออุปมาด้วยผ้า ในพระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่าถึงสุนทริกภารทวาชพราหมณ์กราบทูลว่า
    “ท่านพระโคดม คนจำนวนมากถือกันว่า แม่น้ำพาหุกาให้ความบริสุทธิ์ได้ คนจำนวนมากถือกันว่า แม่น้ำพาหุกา เป็นบุญสถาน อนึ่ง คนจำนวนมากลอยบาปกรรมที่ตนทำแล้วในแม่น้ำพาหุกา”

พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า
    “พราหมณ์ ท่านจงอาบน้ำในศาสนาของเรานี้เถิด ท่านจงทำความปลอดภัยในสัตว์ทั้งปวงเถิด ถ้าท่านไม่พูดเท็จ ไม่เบียดเบียนสัตว์  ไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ มีความเชื่อไม่ตระหนี่ ท่านจะไปยังท่าน้ำคยาทำไม แม้การดื่มน้ำจากท่าน้ำคยาจักมีประโยชน์อะไรแก่ท่าน”

กรณีที่ ๒. ในหัสสธัมมสิกขาบท ว่าด้วยการเล่นนํ้า ในพระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ภาค ๒ กล่าวถึง
    “ภิกษุต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะเล่นน้ำ ที่ชื่อว่า เล่นน้ำ เพราะสาเหตุทำให้เกิดความรู้สึกต่อคนที่พบเห็นว่าไม่เหมาะสม ไม่สมควร คือ ภิกษุประสงค์จะเล่นน้ำจึงดำลง ผุดขึ้น หรือลอยในนํ้าลึกพอท่วมข้อเท้า ต้องอาบัติปาจิตตีย์”

แต่มีเหตุที่ไม่ถือว่าผิด คือ 
    ๑. ภิกษุไม่ประสงค์จะเล่นน้ำ
    ๒. ภิกษุลงน้ำแล้วดำลง ผุดขึ้น หรือลอยในนํ้าเมื่อมีเหตุจำเป็น
    ๓. ภิกษุจะข้ามฟากจึงดำลง ผุดขึ้น หรือลอยในนํ้า
    ๔. ภิกษุผู้ว่ายน้ำในคราวมีเหตุขัดข้อง

@@@@@@@

ถ้าเราปฏิบัติตามแบบพระอรหันต์ แม้จะถือศีล ๘ ก็ต้องคิดว่า การที่เราว่ายน้ำหรือเล่นน้ำนั้นกรณีแรกอาจจะไม่ต้องกล่าวถึง เพราะน้อยมากที่เราจะอาบน้ำด้วยคิดแบบนั้น

แต่กรณีที่ ๒. นั้นชัดเจนว่า การที่เราถือศีล ๘ ย่อมไม่ต่างจากการปฏิบัติตามแบบอย่างที่พระอรหันต์ปฏิบัติมา ไม่ใช่เป็นข้อห้าม แต่เป็นข้อปฏิบัติที่ฝึกตนเองให้เห็นว่า ทุกอย่างที่จะทำนั้นต้องไม่เกินเลยจากปกติ แม้เราจะชื่อว่าไม่ได้ถือศีลอย่างพระภิกษุ แต่ลองนึกภาพดูว่าผู้ที่ถือศีล ๘ ยังปฏิบัติตนแบบเดิม ไม่ได้ฝึกเพื่อเรียนรู้ชีวิตแบบพอดี หรือมองว่าอะไรจำเป็น อะไรไม่จำเป็น ยังคงเล่น เที่ยวหรือใช้ชีวิตแบบที่ไม่ได้ฝึกตามแบบอย่างที่พระอรหันต์หรือพระอริยะท่านปฏิบัติกัน

อย่างนี้แม้เราจะชื่อว่า ผู้รักษาศีลอุโบสถได้ แต่เป็น “ศีลอุโบสถแบบธรรมดา” แต่ถ้าจะรักษาศีลอุโบสถอย่างเคร่งขรัดที่เรียกว่า “อริยอุโบสถ” คือ อุโบสถแบบพระอริยะ ก็ต้องทำตามแบบอย่างที่พระอรหันต์หรือพระอริยะท่านปฏิบัติตนนั่นเอง


                                      เจริญพร
                             พระมหาขวัญชัย กิตติเมธ



 

 
ขอบคุณ : https://www.manasikul.com/ถือศีล-๘-ว่ายน้ำได้ไหม-qa-quickly-dhr/
โพสต์โดย มนสิกุล โอวาทเภสัชช์ - มกราคม 23, 2019   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 03, 2023, 06:59:45 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ