ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น : “มองจักรวาลผ่านมุมมองพุทธศาสนา”  (อ่าน 2864 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.

ไอน์สไตน์และพระพุทธเจ้า 2 ผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกวิทยาศาสาตร์และศาสนา


ไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น : “มองจักรวาลผ่านมุมมองพุทธศาสนา”
Written by Patorn-J. | An engineering labor in capitalism. | Mar 24, 2020

วิทยาศาสตร์และศาสนาคงเป็นเหมือนเส้นคู่ขนานที่ไม่มีวันบรรจบกันชั่วกัลปวสาน เนื่องด้วยวิทยาศาสตร์นั้น มุ่งเน้นการหาความแท้จริงของชีวิต โลก และ ภาวะเหนือธรรมชาติผ่านการทดลอง การพิสูจน ์ในรูปธรรม ต่างจากศาสนาที่มักนิยามสิ่งเหล่านั้นด้วยนามธรรม

อย่างเช่น พระเจ้า ซึ่งขัดกับหลักวิทยาศาสตร์อย่างยิ่ง ยกเว้นศาสนาพุทธที่มองศาสนาอยู่ภายใต้ธรรมชาติ(ธรรมะ) อธิบายสิ่งต่างๆ โดยการใช้เหตุผลอย่างสัมพันธ์กัน คล้ายว่าศาสนาพุทธเป็นนามธรรมของวิทยาศาสตร์ที่รอการพิสูจน์ให้เป็นรูปธรรมเท่านั้นเอง

หนังสือไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น แต่งโดยทันตแพทย์สม สุจีรา เป็นการเปรียบเทียบการค้นพบทางวิทยาศาสตร์กับคำสอนของพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะเรื่องของจักรวาล

และนี่คือ สิ่งที่สรุปบวกกับความคิดเห็นเพิ่มเติมจากการได้อ่านหนังสือเล่มนี้ แบ่งเป็นตามบท ทั้ง 10 บท




 :25: :25: :25:

1. ทำไมต้องเป็นไอน์สไตน์.?

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เป็นนักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ที่ได้รับการยกย่องว่ายิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งเท่าที่โลกเคยมีมา การค้นพบของเขาเป็นรากฐานนำไปสู่่ฟิสิกส์ยุคใหม่ และการปฏิวัติด้านอวกาศ แต่ไอน์สไตน์เกี่ยวข้องอย่างไรกับพุทธศาสนา? โดยอ้างอิงตามประวัติของเขาแล้ว ไอน์สไตน์เป็นผู้ที่ไม่นับถือศาสนาเพราะเขาไม่เชื่อในเรื่องพระเจ้าโดยสิ้นเชิง แต่เขาชื่นชอบแนวคิดของศาสนาพุทธเป็นพิเศษ

ครั้งหนึ่งเขาเคยเข้าฟังบรรยายด้วย ไอน์สไตน์เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีเอกลักษณ์อย่างหนึ่งที่โดดเด่นมากนั่นคือจินตนาการ (ทางพุทธเรียกว่าจิตปรุงแต่ง) ที่มาของคำคมที่เราคุ้นหู “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” ไอน์สไตน์ชอบสังเกตุสิ่งรอบตัวแล้วนำไปจินตนาการ ทำการทดลองสมมุติฐานภายในหัว ในการคิดค้นทฤษฎีต่าง ๆ บวกกับการที่เขาเป็นคนที่มีสมาธิสูง เขาเป็นคนที่โฟกัสอยู่กับงานตลอด

ซึ่งคุณสมบัติที่กล่าวมามีความเหมือนกับพระพุทธเจ้า ซึ่งอ้างอิงตามพุทธประวัติแล้ว เป็นผู้ที่ใช้ญาณในการตรัสรู้จากการผ่านประสบการณ์และการเพียรทำสมาธิ ซึ่งเมื่อดูแล้ววิธีหาคำตอบของทั้งสองก็มีความคล้ายคลึงกันพอสมควร

@@@@@@@

2. จักรวาลกับพุทธศาสนา

นิยามของจักรวาลในทางวิทยาศาสตร์แต่ละยุคนั้นมีความแตกต่างกันออกไป คนในยุคแรกเริ่มจนถึงเมื่อ 500 ปีก่อนเห็นเพียงการขึ้น-ลงของดวงอาทิตย์แล้วมโนว่าดวงอาทิตย์โคจรรอบโลกและโลกเป็นศูนย์กลางจักรวาล จนกระทั่ง นิโคเลาส์ โคเพอร์นิคัส พบการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรี ซึ่งเป็นสิ่งที่กลับกันแต่อย่างไรก็ตามคำว่าจักรวาลในยุคนั้นก็เห็นเพียงโลกและดวงอาทิตย์

แต่ย้อนไป 2500 ก่อนหน้า พระพุทธเจ้าได้บอกนิยามของจักวาลไว้ในคัมภีร์อรรถสาลินีไว้ 3 ประการคือ
    1. อากาศอนันตธรรม (มีที่ว่างหาสิ้นสุดมิได้)
    2. จักรวาฬอนันตธรรม (ดวงดาวหาสิ้นสุดมิได้)
    3. สัตตนิกายอนันตธรรม (สรรพสัตว์หาสิ้นสุดมิได้)

ซึ่งทั้งสามประการนี้ตรงตามความเชื่อของวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน อีีกหนึ่งคำกล่าวของพระพุทธเจ้าที่ว่า “ทุกสรรพสิ่งย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับลง” ไม่เว้นแม้แต่จักวาลที่ยิ่งใหญ่ เรารู้แล้วว่าจักรวาลเกิดจากการระเบิดครั้งใหญ่ที่เรียกว่า บิ๊กแบง เนื่องจากการอัดตัวอย่างหนาแน่นของสสารเท่ากับปลายเข็ม ทำให้เกิดพลังงานสะสมมหาศาลตามสมการของไอน์สไตน์ E =mc² สสารกระจายออกไปทุกทิศทาง และตอนนี้จักรวาลก็กำลังขยายอยู่ แล้วจุดจบของจักวาลอยู่ตรงไหน.?

สิ่งหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์ของเราให้ความสนใจ คือ หลุมดำ (Black hole) โดยนิยามมันคือวัตถุที่มีแรงโน้มถ่วงสูงมาก ถึงขนาดที่ว่าแสงไม่สามารถเคลื่อนที่ผ่านไปได้ และเมื่อแสงคือตัวอ้างอิงของเวลานั่นหมายความว่า วัตถุที่อยุ่ในหลุมดำจะอยู่ในสภาวะที่อยู่นิ่ง สภาพภายในจะเต็มไปด้วยความว่างเปล่า และถูกบีบอัดด้วยแรงมหาศาล ปัจจุบันเราพบแล้วว่า หลุมดำนั้นมีการขยายตัวและดูดวัตถุรอบๆตัวอย่างต่อเนื่อง เป็นไปได้หรือไม่ว่า จุดจบของจักรวาลคือการถูกดูดเข้าไปในหลุมดำ อยู่ในสภาวะหยุดนิ่ง แล้วเกิดบิ๊กแบงอีกครั้ง เป็นวัฏจักร



ทฤษฏีจุดจบของจักรวาล Big crunch

แล้วพระพุทธเจ้ากล่าวถึงการเกิด-ดับของจักวาลไว้อย่างไร.? พระพุทธเจ้าเคยกล่าวไว้ว่า จักรวาลนั้นเกิดขึ้นจากความว่างเปล่าของธรรมชาติ ที่ใกล้เคียงกับนิพพาน แล้วมีหยดของเหลวมาเรื่อยๆ การกำเนิดดวงดาวก็เกิดจากการพลังงานการไหลของ ของเหลว ดวงดาวทั้งหลายถูกห่อหุ้มโดยของเหลวนั้น

และบอกอีกว่าจุดจบของจักรวาลคือ การถือกำเนิดดวงอาทิตย์ 7 ดวง ทำลายทุกสรรพสิ่ง ถึงจะไม่ตรงกันร้อยเปอร์เซ็น แต่ก็อยู่ในทิศทางเดียวกันคือการขยายที่ไม่สิ้นสุดและมีจุดดับสูญ (ถ้าเราตีความว่าดวงอาทิตย์ 7 ดวงเป็นดาวฤกษ์ที่มีมวลมหาศาลยิ่ง ก็จะตรงตามทฤษฎีหลุมดำ ซึ่งขนาดแรงดึงดูดจะขึ้นอยู่กับมวลวัตถุ)

@@@@@@@

3. ทฤษฎีสัมพัทธภาพ

ปริศนาของเวลาเป็นสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปยากที่จะทำความเข้าใจ เซอร์ ไอแซค นิวตัน ได้ให้นิยามของเวลาว่าเป็นสิ่งที่ใช้อ้างอิงในจักรวาลและเป็นสิ่งที่คงที่ ในขณะที่ไอน์สไตน์บอกว่า เวลานั้นสัมพัทธ์กับแสง แสงเป็นสิ่งที่ให้กำเนิดเวลา และแสงนั้นมีคุณสมบัติเป็นอนุภาค

ดังนั้น แสงจึงมีความเร็วที่ต่างกันในสนามโน้มถ่วง อุณหภูมิ ที่ต่างกัน ส่งผลให้เวลาเดินช้า เร็ว ต่างกันด้วย หากเราสามารถเข้าใจเรื่องเวลาได้ การเดินทางข้ามเวลาด้วย ไทม์แมชชีน คงไม่ใข่แค่สิ่งเพ้อฝัน ถ้าแสงทำให้เวลาเดินและเราก็รู้แล้วว่าวัตถุที่เราเห็นนั้นเกิดจากการสะท้อนของแสงมายังดวงตาเรา งั้นเรามาลองจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อความเร็วแสงเปลี่ยนไป



ภาพอธิบายทฤษฎีสัมพัทธภาพ

อธิบายอย่างง่ายที่สุดเมื่อเรามองแสงเป็นจุดอนุภาคหนึ่ง เมื่อเราฉายแสงไปยังผนังรถไฟ ถ้ารถไฟหยุดนิ่งแสงใช้เวลาเดินทาง t = s/(c-0) ได้ออกมาเป็นค่าคงที่ค่าหนึ่ง แต่ถ้ารถไฟเดินทางด้วยความเร็วแสงจะได้ว่า t= s-(c-c)= inf แสงเดินทางจะใช้เวลาเป็นอนันต์ หรือหมายความได้ว่าเวลาจะหยุดนิ่งเมื่อเราเดินทางด้วยความเร็วเท่ากับแสง

และสุดท้ายถ้า v > c เราจะได้ค่าเวลาที่ติดลบ นั่นคือ การย้อนเวลานั่นเอง แต่นี่ก็เป็นเพียงการคำนวณอย่างง่ายโดยอาศัยฟิสิกส์ ม.ปลาย ปัจจุบันยังไม่มีการทดลองที่สามารถยืนยันเรื่องนี้ได้เนื่องด้วยอุปสรรคทางกายภาพ

ในทางพุทธศาสนามีการพูดถึงเรื่องของเวลาไว้เช่นกัน และมีการบันทึกว่าเวลาเป็นสิ่งไม่ที่คงเช่นเดียวกันกับแนวคิดของไอน์สไตน์ เช่น เวลาที่ต่างกันของแต่ละภพภูมิ เราจะได้ยินเรื่องเล่าว่า เวลาในนรกเดินช้ากว่าบนโลกมนุษย์ เพราะกฎฟิสิกส์บนภพทั้งสองแตกต่างกัน

แต่สิ่งมหัศจรรย์ของศาสนาพุทธอยู่ที่การศึกษาเรื่อง สภาวะของจิต จิตเป็นสิ่งที่ทันใจนึก เร็วกว่าแสงหลายล้านเท่านัก และไม่ตกอยู่ภายใต้การกระทำของแรงใด ๆ การระลึกชาติก็เกิดจากการเดินทางของจิตนี่แหละ

ถ้ายกตัวอย่างที่ใกล้ตัวเราก็คือการทำสมาธินี่แหละ ถ้าเรามีสมาธิ จดจ่อกับสิ่งที่ทำอยู่ เราจะรู้สึกว่าเวลาเดินช้าลง กลับกันถ้าจิตเราฟุ้งซ่านสิ่งต่างๆ ก็จะผ่านไปอย่างรวดเร็ว (เผลอนิดเดียว หมดไปหนึ่งวันละ T T) ในศาสนาพุทธจึงถือว่าเวลานั้นสัมพัทธ์กับจิตของแต่ละบุคคล



พอพูดถึงเรื่องเวลากับจิต ก็นึกถึงฉากคุยกันของ Dr.Strange กับ Ancient one เลยแฮะ


4. ความว่างภายในอะตอม

ความจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้หรือไตรลักษณ์ อันประกอบด้วย อนิจจตา= ทุกสิ่งล้วนไม่คงที่ ทุกขตา= ทุกสิ่งล้วนมีวันสลายหายไป อนัตตา= ทุกสิ่งล้วนไม่มีตัวตน ซึ่งสามข้อนี้สามารถใช้ได้กับวิทยาศาสตร์ทุกแขนง

อะตอมเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของสสารทุกชนิด โดยพฤติกรรมแล้วอะตอมนั้นเป็นสิ่งที่ยุ่งเหยิง ไม่เที่ยง การที่จะรวมตัวอะตอมให้เกิดเป็นสสารได้นั้นเราจำเป็นต้องใช้พลังงานบังคับให้อะตอมเรียงเป็นระเบียบ แต่พลังงานย่อมมีการสญเสียตลอดเวลา จนสุดท้ายเมื่อหมดพลังงานสสารนั้นจะสลายหายไป ซึ่งเป็นธรรมชาติและธรรมดา

เมื่อเราพินิจพิจารณาดูอีกที สสารย่อมมีช่องว่างในตัวมันเองจากการเรียงตัวของอะตอม และปัจจุบันเราพบอีกว่าภายในอะตอมนั้นประกอบจาก โปรตอน นิวตรอน อิเล็คตรอนซึ่งเป็นสิ่งที่เล็กสุดที่พบในปัจจุบัน ซึ่งภายในนั้นยังมีพื้นที่ว่างอีก และเราก็ยังไม่รู้อีกว่าสิ่งที่เล็กลงไปกว่าอิเล็คตรอนตืออะไรมันอาจมีที่ว่างเพิ่มอีกก็เป็นได้ จนอาจกล่าวได้ว่าทุกสิ่งนั้นว่างเปล่าไร้ตัวตนก็เป็นได้



แบบจำลองอะตอม 3 มิติ

หากทุกสิ่งนั้นเป็นเพียงสิ่งสมมุติ เช่นนั้นทำไมเราจึงยังสัมผัสได้.? ในหนังสือเล่มนี้เขายกการสนทนาของ ไอน์สไตน์ กับ นีล โบร์ ซึ่งเรื่องมีอยู่ว่า

     นีล โบร์ ได้ถามไอน์สไตน์ว่า
    “หากจักรวาลนี้ไม่มีมนุษย์ มันจะยังคงเป็นแบบที่เราเห็น่ไหม”
     ไอน์สไตน์ก็ตอบกลับไปทันทีว่า
    “แน่นอนจักรวาลมันก็ยังคงเป็นแบบเดิม โลกและดวงดาวอื่นๆ ก็ยังเป็นอยู่ของมันเช่นนั้น”
     จากนั้น นีล โบร์ ก็สวนกลับไปว่า
    “ไม่จริง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นการคิดไปเองของมนุษย์ผ่านสัมผัสทั้ง 5 ทั้งนั้น”
     จากนั้นทั้งคู่ก็ถกเถียงกันอยู่นาน

สิ่งที่ นีล โบร์ กำลังจะบอกคือ จักรวาลนั่นเป็นนามธรรมที่สามารถหาความจริงแท้ด้วยการใช้จิตสำนึกของมนุษย์เท่านั้น ในขณะไอน์สไตน์ยังคงเชื่อว่า จักรวาลนั้นเป็นรูปธรรมสามารถใช้การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้ ถ้าเราจินตนาการถึง ความว่างเปล่าก่อนเกิดการกำเนิดจักรวาลหรือคำว่า นิพพาน ความว่างเปล่าบนความว่างเปล่านั้นคงยากที่จะอธิบายในเชิงรูปธรรมได้



มันฮวาเรื่อง Amentia เนื้อเรื่องเกี่ยวกับพลังของจิตมนุษย์ (แนะนำให้ลองอ่านดู ^.^)


5. พุทธกับวิทยาศาสตร์

หลักกาลามาสูตรในศาสนาพุทธ สอนไม่ให้เชื่ออะไรง่าย ๆ อย่าเชื่อจนกว่าจะผ่านประสบการณ์ด้วยตนเอง ซึ่งมีความเป็นวิทยาศาสตร์อย่างมาก ไอน์สไตน์รู้สึกประทับใจในศาสนาพุทธที่มีเอกลักษณ์เด่นแตกต่างจากศาสนาอื่นๆ คือมีการสอนไม่ให้เชื่อด้วย ไอน์สไตน์มักเรียกศาสนาพุทธว่า ศาสนาแห่งจักรวาลและเขาเชื่ออีกว่าศาสนาพุทธจะเป็นศาสนาแห่งอนาคตที่จะพามนุษยชาติพบกับความจริงแท้ของจักรวาลได้

วิทยาศาสตร์นั้นมุ่งเน้นการแก้ปัญหาภายนอก (outer science) ตอบสนองความอยากให้แก่มนุษย์ โดยมีความเชื่อว่าจะทำให้ชีวิตเราสบายขึ้น และมีความสุขยิ่งขึ้นไปอีก แต่เมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว แม้เราจะพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกมากขึ้นเท่าไร มันก็ไม่เคยพอกับความต้องการเราเสียที เราจะยังคงต้องการสิ่งที่เร็วขึ้นและสะดวกขึ้นไปอีก โดยไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคือความสุขที่แท้จริงหรือไม่

บางครั้งวิทยาศาสตร์ก็เป็นเหมือนเรือไร้เข็มทิศที่ตระเวนไปพบเกาะมากมายแต่ไม่มีที่ใดคือจุดหมายแท้จริง อีกด้า่นหนึ่งศาสนาพุทธนั้นมุ่งเน้นการแก้ปัญหาภายในใจเรา ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาและความทุกข์ทั้งหมดทั้งมวล โดยผ่านการฝึกปฏิบัติทางจิต เรียกได้ว่าศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์แห่งจิตวิญญาณ (spiritual science หรือ Inner science)

วิทยาศาตร์และศาสนาพุทธ เปรียบเสมือนกลางวันและกลางคืนที่จำเป็นต่อการหล่อเลี้ยงชีวิต เราไม่สามารถฝึกจิตให้เข้มแข็งได้หากร่างกายยังเป็นทุกข์ เช่นกันร่างกายเราจะไม่มีทางสมบูรณ์ได้หากจิตใจเราอ่อนแอ ซึ่งการจะพบกับความสุขที่แท้จริงได้นั้น เราจำเป็นต้องมีครบทั้งสองอย่าง

     ไอน์สไตน์ได้กล่าวไว้ว่า
    “วิทยาศาสตร์ที่ปราศจากศาสนาคือคนขาพิการ ศาสนาที่ปราศจากวิทยาศาสตร์คือคนตาบอด”

@@@@@@@

6. ปัญญาญาณ

โดยปกติมนุษย์สามารถสร้างความรู้ใด ๆ จากการผ่านประสบการณ์และจินตนาการ โดยความรู้สามารถแบ่งได้เป็นสองประเภทคือ ความรู้แบบมีเหตุผลทางตรรกศาสตร์ ได้จากการคิด วิเคราะห์ กับความรู้แบบหยั่งรู้ที่ได้จากการเห็นความเป็นจริงโดยไม่ต้องคิด เพียงแต่เป็นการขยายกำลังของสติจนสามารถรู้สิ่งต่าง ๆ ได้เอง

ซึ่งความรู้จะเกิดขึ้นได้เมื่อมีปัญญา พระพุทธเจ้าได้แบ่งปัญญาไว้ 3 ระดับคือ
    1. จินตมายปัญญา ปัญญาที่ได้จากการคิด
    2. สุตมยปัญญา ปัญญาที่ได้จากการเรียน
    3. ภาวนามยปัญญา ปัญญาของการหยั่งรู้จากการกำหนดสติและสมาธิ
ซึ่งระดับที่ 1 และ 2 ทำให้ได้มาซึ่งความรู้ประเภทที่หนึ่ง แต่ระดับที่ 3 จะทำให้ได้ความรู้ประเภทที่สอง

การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก็ได้จากภาวนายปัญญา ทำให้รู้แจ้ง เห็นแจ้ง ทุกสรรพสิ่ง แต่การจะทำเช่นนั้นได้จะต้องเป็นผู้ที่มีจิต สมาธิ ตั้งมั่นอย่างยิ่ง เช่นเดียวกับนักวิทยาศาสตร์อย่าง ไอน์สไตน์ เขาเป็นคนจดจ่อกับการครุ่นคิดปัญหา จนจิตหลุดเข้าไปอยู่อีกโลกหนึ่ง บางครั้งเขาไม่ได้ยินเสียงระเบิดในห้องทดลอง หรือลืมนักศึกษาที่เขากำลังสอนอยู่เพราะจิตของเขาจดจ่อกับสมการ

เชื่อว่า หลายคนคงเคยมีโมเมนต์ไอเดียบรรเจิดจากการนั่งคิดเงียบๆ บางครั้งเรานั่งงมแก้ปัญหาทั้งวันกลับไม่ได้อะไร แต่เมื่อกลับมานอนปล่อยวางให้จิตสงบ มักจะมีไอเดียแว๊บเข้ามาในหัวทันที เราเรียกมันว่า Eureka moment

อย่างเช่น อาคีมีดีสคิดกฎความถ่วงได้ขณะนั่งแช่ในอ่างน้ำ นิวตันค้นพบกฎแรงโน้มถ่วงได้ตอนแอปเปิลตกใส่หัว ที่เป็นเช่นนี้เพราะ เมื่อเราตั้งมั่นกำหนดสมาธิ ตั้งจิตให้สงบ ไม่อยู่ใต้อำนาจร่างกายแล้ว จิตของเราจะสามารถผนวกเข้ากับธรรมชาติได้ (คล้ายๆ ว่าจิตเป็นพลังงานคลื่นอย่างหนึ่ง การทำสมาธิจะทำให้จิตมีความถี่เท่ากับความถี่ของธรรมชาติ) สามารถหยั่งรู้สิ่งต่างๆ ได้โดยไม่ต้องคิด เพราะจิตของเราได้รวมเข้ากับธรรมชาติแล้ว

เมื่อฟังอย่างนี้แล้วคนเขียนนึกถึง Law of universe จากมังงะแขนกลคนแปรธาตุ ที่กล่าวไว้ว่า
    “หนึ่งเดียวคือทุกสิ่ง-ทุกสื่งคือหนึ่งเดียว”



ในจักรวาล Star wars พูดถึงประเด็นการหลอมรวมจิตเข้ากับธรรมชาติุของ เจได


7. มหัศจรรย์ของจิต

ร่างกายของเราประกอบขึ้นจากเซลล์จำนวนมหาศาลนับไม่ถ้วน อวัยวะทั้งหมดของเราเกิดจากการรวมตัวของเซลล์ต่าง ๆมากมาย และมีอวัยวะอย่างหนึ่งที่มีความมหัศจรรย์อย่างมากคือ สมอง เราคงเคยเรียนมาแล้วว่า อวัยวะในร่างกายทั้งภายนอกและภายในอยู่ภายใต้การควบคุมของระบบประสาท และศูนย์ควบคมหลักอยู่ที่สมองของเรา

    ความแปลกประหลาดของสมองคือคำถามที่ว่า
    อะไรคือสิ่งที่ควบคุมมัน ตัวมันควบคุมตัวมันเอง.?
    หรือ มีพลังงานบางอย่างควบคุมมันอยู่.?

สมองของเรามีพลังในการสร้างความนึกคิด ซึ่งสิ่งนี้ล้วนเป็นตัวขับเคลื่อนร่างกายเรา ในทางวิทยาศาสตร์อธิบายว่า สิ่งเหล่านี้เกิดจากการหลั่งสารเคมีและปฏิกิริยาทางไฟฟ้าภายในสมองของเรา เราเรียกสิ่งที่กำหนดความนึกคิดว่า จิตสำนึกหรือจิต นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า มีเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาจากการผ่านประสบการณ์จากประสาทสัมผัสของตัวเราก่อกำเนิดเป็นความนึกคิด

    ซึ่งคำถามต่อมาคือ อะไรคือสิ่งที่ทำให้จิตคงอยู่.?
    เพราะในแต่ละวันเซลล์ในร่างกายเราได้ตายลงและเกิดใหม่วันละ 50,000 ล้านเซลล์ รวมถึงเซลล์สมองเราด้วย ถ้าเราเชื่อว่าจิตอยู่ใต้สมอง เหตุใดการสลายไปของเซลล์สมองในทุกๆวัน ไม่ทำให้จิตเราสลายหรือเปลี่ยไปจากเดิม หรือเป็นเพราะเซลล์ที่เกิดใหม่สามารถโคลนเซลล์เดิมได้ 100 เปอร์เซนต์.?

แต่กระนั้นการเกิด-ตายของเซลล์ก็ยังกินเวลาอยู่ ซึ่งแน่นนอนทุกสิ่งอย่างย่อมสัมพันธ์กับเวลาหรือแสง แสงมีความเร็ว 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที แต่จิตนั้นเร็วการแสงหลายเท่าตัว เป็นสิ่งทันทีทันใด ดังนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่จิตจะอยู่ใต้สมองที่ช้ากว่า

ในทางศาสนาพุทธอธิบายไว้ว่า ความจริงแล้วจิตของคนเรามีการเกิด-ดับ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในระดับเร็วที่มากเกินกว่าที่ร่างกายจะรู้สึกตัว แต่จิตดวงใหม่ที่เกิดขึ้นได้รับการถ่ายทอดจากจิตดวงเดิมที่ดับไปเหมือนเปลวไฟ ตราบใดที่ยังมีเชื้อไฟ ออกซิเจน และความร้อน

โดยในที่นี้ได้เปรียบเทียบไว้ว่า
    - เชื้อไฟคือ กรรมเก่า
    - ออกซิเจนคือ อวิชา(ความเขลา ความไม่รู้ในทางหลุดพ้น) และ
    - ความร้อนคือ ตัณหา
จิตก็จะยังคงดำเนินอยู่ เมื่อดับสามสิ่งนี้ได้ จะนำสู่ทางแห่งนิพพาน(ความว่างเปล่าอย่างยิ่ง ถ้านึกไม่ออกลองนึกถึงการไม่คิดโดยที่ไม่คิด)

สิ่งที่ที่ฟังดูเหนือธรรมชาติ อย่างการถอดจิต ก็เกิดจากการที่จิตเป็นนายกายเป็นบ่าวนี้แล ในพุทธสุภาษิตได้กล่าวไว้ว่า “โลกถูกจิตนำไป โลกถูกจิตชักไป สัตว์โลกทั้งปวงไปสู่อำนาจจิตอย่างเดียว”

@@@@@@@

8. เกิด-ดับ

ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ตั้งแต่ระดับเซลล์ไปจนถึงจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล การเกิด-ดับมีความสัมพันธ์กับเวลา ซึ่งมีทั้งที่มนุษย์มองเห็นเช่น การเกิด-ดับของสิ่งมีชีวิต และที่มองไม่เห็นเช่น การเกิด-ดับของจิต, จักรวาล ทั้งนี้เพราะว่าทั้งสองประเภทมีคาบเวลาที่ต่างกัน เช่นเดียวกับสเปกตรัมของแสงที่มีช่วงที่มนุษยืมองไม่เห็นคือ อินฟาเรดลงไป(ความถี่ต่ำ คาบเวลานานเกินไป) และอัลตราไวโอเล็ตขึ้นไป (ความถี่สูง คาบเวลาสั้นเกินไป)

การเกิด-ดับของจิตนั้นเร็วเกินที่มนุษย์จะพึงรู้สึกได้หากสมาธิมีไม่มากพอ และการเกิด-ดับของจักรวาลนั้นยาวนานเกินช่วงชีวิตมนุษย์มากมายมหาศาลนัก แต่จากทฤษฎีของไอน์สไตน์ได้บอกเราแล้วว่าเวลาไม่มีอยู่จริงเป็นเพียงผลที่เกิดจากการเดินทางของแสงเท่านั้น การยืดหรือย่นเวลาย่อมเป็นสิ่งที่กระทำได้ ยกตัวอย่างการเกิด-ดับของสิ่งใกล้ตัวเราอย่างเช่น CPU

ถ้าใครที่เคยเรียนเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์หรืออิเล็คทรอนิกส์จะทราบว่า การประมวลผลของคอมพิวเตอร์จะอยู่ในรูปแบบเลขฐานสอง (Binary, Bits) คือ ไม่เป็น 0 ก็เป็น 1 (ปิดหรือเปิด) ซึ่งเกิดจาก ปิด-เปิดของทรานซิสเตอร์ขนาดเล็กมากๆ ภายใน ยิ่งเราทำให้ทรานซิสเตอร์มีขนาดเล็กลงมากเท่าไหร่ เราก็จะได้คอมพิวเตอร์ที่มีความเร็วประมวลเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น เพราะอนุภาคขนาดเล็กจะมีคาบเวลาเกี่ยวที่สั้นลงตาม

นี่จึงเป็นที่มาของฟิสิกส์ควอนตัม ที่ศึกษาอนุภาคที่เล็กลงไปยิ่งกว่าระดับอะตอม คาบเวลาเกิด-ดับในมิติควอนตัมแทบเป็น 0 เหตุนี้คอมพิวเตอร์ควอนตัมที่กำลังเป็นข่าว จึงมีพลังการประมวลผลมากกว่าคอมพิวเตอร์เท่าไป 100 ล้านเท่า เพราะมันแทบไม่มีคาบเวลาปิด-เปิด จึงสามารถเป็นทั้ง 0 และ 1 (Qubits)ได้ในเวลาเดียวกัน เช่นเดียวกับจิตหากไม่มีช่วงเวลาคั่นระหว่างเกิด-ดับ แล้วการเกิด-ดับและเวลาก็จะไม่มีอยู่อีกต่อไป



ในจักวาล Marvel มีการหยิบยกเรื่องมิติควอนตัมและอธิบายว่าเวลาในมิตินี้จะช้ากว่าเวลาภายนอก (เพราะมีคาบเวลาเกิดดับสั้นกว่า)


9. มิติที่ 4 มิติของเวลา

ถ้ามนุษย์เราเชื่อว่าเวลาเป็นเพียงสิ่งที่ใช้อ้างอิง ดาวเทียมคงไม่มีในโลกนี้ นักวิทยาศาสตร์เคยเชื่อว่าไม่ว่าตำแหน่งใด ๆ ในจักรวาล เวลาจะยังคงเดินเร็วเท่ากันเสมอ จนกระทั่งไอน์สไตน์ค้นพบว่า สนามโน้มถ่วงมีผลต่อแสงและเวลา

ฉะนั้นในการคำนวณข้อมูลจากโลกสู่ดาวเทียม ถ้าเราไม่ใส่ค่าความคลาดเคลื่อนทางเวลาเข้าไป ผลลัพทธ์ที่ได้จะไม่ตรงกับความเป็นจริง เพราะเมื่ออยู่ห่างออกไปจากพื้นโลกสนามโน้มถ่วงจะเบาบางกว่าบนพื้นโลกทำให้เวลาบนดาวเทียมเดินเร็วกว่าบนพื้นโลก

เราคงเคยศึกษาจากวิชาดาราศาสตร์แล้วว่า หากเราส่องกล้องมองออกไปในอวกาศยิ่งไกลเท่าไหร่ เราก็ยิ่งเห็นอดีตมากเท่านั้น เพราะแสงต้องใช้เวลาในการเดินทาง ด้วยเหตุนี้จักรวาลจึงไม่สามรถอธิบายด้วยสามมิติ หากเรายังพยายามจะอธิบายมันด้วยสามมิติ เราจะพบแต่สิ่งที่เป็นความเท็จ ทุกอย่างที่เห็นจะเป็นเพียงภาพมายาจากความบิดเบี้ยวของเวลา

ดังพระพุทธเจ้าเคยกล่าวว่า เวลา อดีต ปัจจุบัน อนาคต ไม่มีอยู่จริง อดีตก็เป็นปัจจุบันได้ อนาคตก็เป็นอดีตได้ขึ้นอยู่กับจิตของเรา ทำนองเดียวกับที่เราอธิบายสิ่งต่างๆด้วย 2 มิติ 3 มิติ การจะเข้าใจจักรวาล จำเป็นต้องใช้ 4 มิติ เพิ่มมิติของเวลาเข้ามา



   
     1 มิติ เกิดจากการรวมตัวและซ้อนทับของ 0 มิติ
     2 มิติ เกิดจากการรวมตัวและซ้อนทับของ 1 มิติ
     3 มิติ เกิดจากการรวมตัวและซ้อนทับของ 2 มิติ
     ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่ 4 มิติ เกิดจากการรวมตัวและซ้อนทับของ 3 มิติ

การซ้อนทับของมิติที่ 3 และต่ำกว่า เราสามารถเห็นการซ้อนทับได้โดยการฉายแสงไปบนระนาบของมิตินั้น ๆ แต่มิติที่ 4 เป็นเวลาซึ่งเป็นสิ่งเดียวกันกับแสงจึงไม่สามารถทำได้ จำเป็นต้องใช้สิ่งที่อยู่เหนืออิทธิพลของแสงไปอีกนั่นก็คือจิต ถ้าอิงตามพุทธประวัติ การที่พระพุทธเจ้าสามารถรู้เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขั้นไม่ว่าจะอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต อาจเป็นเพราะการฝึกจิตจนหลุดพ้นสิ่งต่าง ๆ แม้กระทั่งขอบเขตเรื่องมิติได้



อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต ล้วนเชื่องโยงกันอย่างเป็นเหตุและผล ผ่านกาลเวลา ถ้าเราเข้าใจมิติของเวลาและเห็นการซ้อนทับกันของอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต การเดินทางข้ามเวลาก็ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติอีกต่อไป

ถ้าใครเคยเรียนการเขียนโปรแกรมจะรู้ว่า ในโลกสมมุติเราสามารถสร้างความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ กี่มิติก็ได้ ซึ่งเราใช้ตัวแปรข้อมูลที่เรียกว่า Array แต่ในโลกความจริงการจะรู้และสัมผัส 4 มิตินั่น เกินความสามารถอย่างมาก เพราะอวัยวะอย่างดวงตารองรับข้อมูลได้เพียง 3 มิติ และอวัยวะสัมผัสอื่น ๆ ที่เหลือก็รองรับข้อมูลได้อย่างละอันเท่านั้น

พระพุทธเจ้าจึงเห็นว่า เป็นสิ่งอจินไตย(เหนือสามัญสำนึก ไม่เป็นประโยชน์แก่การหลุดพ้น) จึงได้อธิบายเปรียบเรื่องนี้เหมือนสัตว์ที่อาศัยบก ไม่เข้าในชีวิตที่อยุ่ในน้ำ และสัตว์ในน้ำก็ไม่เข้าใจชีวิตบนบก มนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่เห็นเพียงโลก 3 มิติ การจะอธิบายให้เข้าใจมิติที่ 4 หรือสูงขึ้นไป จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้และเปล่าประโยชน์

@@@@@@@

10. ความสุขและความจริงแท้

ถ้าหากวันหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์สามารถไขปริศนาของจักรวาลได้ สิ่งนั้นจะทำให้มนุษย์พบกับความสุขที่แท้จริงหรือ.?

    อย่างที่ได้กล่าว วิทยาศาสตร์ทั่วไปเป็นวิทยาศาสตร์ภายนอก (Outer science)
    ส่วนพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ภายใน (Inner science)
    สิ่งที่เราสัมผัสได้ รูป รส กลิ่น เสียง นั้นมาจากภายนอก
    แต่ความทุกข์ความสุขเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในใจเรา

    วิทยาศาสตร์นั้น เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่กายหยาบ การดำรงชีพ
    ส่วนพุทธศาสนานั้น เป็นไปเพื่อทางแห่งการหลุดพ้น ไม่ให้จิตถูกครอบงำโดยวัตถุภายนอก

สำหรับปถุชนทั่วไปแล้ว ความสุขอาจไม่ใช่การสละทางโลกมุ่งสู่ทางธรรมเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการดำรงตนบนทางสายกลาง ระหว่าง Outer science และ Inner science ไม่ละทิ้งทางใดทางหนึ่ง เพราะทั้งสองล้วนเป็นส่วนหนึ่งของธรรมะ(ธรรมชาติ) ที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ความจริงแท้"







อ้างอิงที่มาจาก : สม สุจีรา - ไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น -พิมพ์ครั้งที่ 87- กรุงเทพฯ - อมรินทร์ธรรมะ 2558
ขอบคุณ : https://patorn-j.medium.com/ไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น-มองจักรวาลผ่านมุมมองพุทธศาสนา-e3e6a7280d86
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 23, 2024, 10:45:20 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ