ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ความรัก กับ บุพเพสันนิวาสและเนื้อคู่  (อ่าน 6661 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29288
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
ความรัก กับ บุพเพสันนิวาสและเนื้อคู่


คู่หญิงชายนั้นมีหลายแบบ ไม่ได้มีแต่คู่เวรกับคู่แท้ คำว่า ‘คู่แท้’ จะทำให้คุณนึกถึงเพศตรงข้ามที่ติดตามกันไปทุกภพทุกชาติ เป็นตัวเป็นตนจับจองกันอย่างถาวรไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งธรรมชาติไม่ได้มีอะไรอย่าง
นั้น ตามกฎเหล็กข้อแรกสุดคือ ‘ทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลงไป’


หากหันมาใส่ใจกับคำว่า ‘คู่บุญ’ และ ‘คู่บาป’ แทน อย่างนี้จะเห็นอะไรกระจ่างขึ้น เพราะคนเราทำบุญ
ทำบาปสลับกันได้ ไม่มีใครทำบุญทำบาปร่วมกันอย่างใดอย่างหนึ่งได้ตลอดไป และนั่นก็แปลว่า คู่บุญ
อาจหมายถึงคู่ที่ร่วมทำบุญกันมามากกว่าร่วมทำบาป ส่วนคู่บาปก็อาจหมายถึงคู่ที่ร่วมทำบาป
กันมากกว่าร่วมทำบุญ

มองอย่างนี้อคติจะลดลงอย่างฮวบฮาบทันที ประเภทขัดเคืองใจนิดหน่อยก็เหมาว่านี่คู่เวรของเรา หรือประเภทต้องตาต้องใจเมื่อเริ่มพบก็เหมาว่านี่แหละคู่แท้ของฉัน เราจะเห็นตามจริงว่า ถ้าต้องตาเมื่อเห็นถ้าเย็นใจเมื่อใกล้ อันนั้นก็เป็นคะแนนทางความรู้สึกด้านดีชั้นแรก

ต่อเมื่อมีความผูกพันผ่านเหตุการณ์ดีร้าย หรือที่เรียกง่ายๆว่าร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน ตรงนั้นค่อยเป็นคะแนนสะสมในชั้นต่อๆมา กระทั่งปักใจเชื่อได้ว่าเป็นคู่บุญกันจริงๆ

http://dungtrin.com/prepare/archieve/prepare064.htm
เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว ฉบับวันที่ ๑ ธ.ค. ๒๕๔๘


ความรู้สึกด้านดีชั้นแรกในระยะแรกพบสบตานั้น เป็นผลบุญจากการอยู่ร่วมกันมาก่อนในอดีตชาติ
ส่วนการร่วมทุกข์ร่วมสุขผ่านเหตุการณ์ดีร้ายต่างๆมาด้วยกัน เป็นบุญใหม่ที่เกิดจากการเกื้อกูลในปัจจุบัน
ชาติ พระพุทธเจ้าตรัสว่าความรักจะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากเหตุปัจจัยทั้งอดีตและปัจจุบัน
ประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็นของเก่าหรือของใหม่ บุญที่สร้าง ‘คู่บุญ’ ขึ้นมาจะเหมือนๆกัน


พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ได้แก่

๑) มี ศรัทธา ไปในแนวทางเดียวกัน เช่นถือศาสดาองค์เดียวกัน เชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องกรรมวิบาก
ด้วยกัน เชื่อว่าโลกกลมหรือโลกแบนเหมือนๆกัน เชื่อแนวทางในการดำรงชีวิตรูปแบบเดียวกัน เป็นต้น
เมื่อศรัทธาไม่ตรงกันก็คุยเรื่องไม่ตรงกัน เมื่อคุยเรื่องไม่ตรงกันก็คุยกันได้ไม่นาน เมื่อคุยกันได้ไม่นานก็
เบื่อกันเร็ว


อันนี้คือความจริงที่เกิดขึ้นกับทุกรูปนาม ไม่จำเพาะเฉพาะคู่รักเท่านั้น ขนาดเพื่อนกันแต่เชื่อ
ไม่เหมือนกันยังยากที่จะเป็นเพื่อนสนิทเลยครับ ศรัทธาที่ร่วมกันปลูกฝังให้มั่นคงย่อมทำหน้าที่สร้าง
สายตาที่มองไปในทิศเดียวกัน ไม่ก่อความรู้สึกเป็นอื่นจากกัน

๒) มี ศีล อันเป็นเครื่องหอมทางใจเสมอกัน คือมีความคิดงดเว้นข้อประพฤติผิดแบบเดียวกัน เป็น
เหตุให้ไม่รังเกียจหรือหมั่นไส้กัน พรานหนุ่มกับพรานสาวทนกลิ่นอายฆ่าฟันของกันและกันได้ แต่ให้หมอ
ศัลย์ที่มีรังสีช่วยชีวิตมาเป็นคู่ผัวตัวเมียกับมือปืนร้อยศพที่ทะมึนด้วยรังสีเอาชีวิต อย่างไรก็คงทนกลิ่น
อายที่เป็นตรงข้ามของกันและกันไม่ไหว


และนั่นก็เช่นเดียวกัน ถ้าฝ่ายหนึ่งเจ้าชู้ ร้อยลิ้นกะลาวน สำส่อน
ไปเรื่อยโดยไม่สนใจความสกปรกหมกมุ่น ย่อมน่ารังเกียจยิ่งสำหรับคนใจซื่อถือความสะอาดผัวเดียวเมีย
เดียว ศีลที่ร่วมรักษาให้บริสุทธิ์ดีแล้วย่อมทำหน้าที่สร้างความอบอุ่นเชื่อมั่นในกันและกัน สนิทใจ
ไว้วางใจกันเป็นมั่นเหมาะ

๓) มี จาคะ อันเป็นวิธีคิดแบ่งปันเสมอกัน อย่างน้อยต้องเป็นผู้ให้ซึ่งกันและกันในทางใดทางหนึ่ง
ไม่ใช่มีแต่ฝ่ายหนึ่งคิดอยู่ข้างเดียว อีกฝ่ายเอาเปรียบตลอด เช่นอีกฝ่ายสละเงินให้ใช้ อีกฝ่ายสละแรง
ปรนนิบัติ เป็นต้น การเอารัดเอาเปรียบเกิดจากจาคะที่ไม่เสมอกันเป็นมูล ยิ่งหากต่างฝ่ายต่างคิดเจือจาน
คนอื่น เห็นข้าวของอะไรไม่ใช้แล้วก็คิดตรงกันว่าน่าบริจาคแก่คนที่เขาไม่มี อย่างนี้ยิ่งไปกันได้


มีโอกาสร่วมบุญกันบ่อยๆ ยิ่งให้คนอื่นมากก็ยิ่งได้ความสุขในการสละมาเสริมใยแก้วร้อยสัมพันธ์ให้กันแน่นแฟ้น
ขึ้น จาคะที่ร่วมกันยินดีโดยพร้อมเพรียงย่อมก่อความรู้สึกซึ้งใจอย่างใหญ่ เหมือนอยู่ด้วยกันจะเป็นที่พึ่ง
ให้กัน ปลอดภัยร่วมกัน ประคับประคองกัน ไม่มีวันล้มพร้อมกัน

๔) มี ปัญญา เสมอกัน กล่าวทางโลกคือคุยกันรู้เรื่อง กล่าวทางธรรมคือมีระดับการเห็นตามจริง
ใกล้เคียงกัน หรืออย่างน้อยเป็นไปไปในทางเดียวกัน ไม่ใช่พูดคนละภาษา ฝ่ายหนึ่งทำก่อนคิด อีกฝ่าย
คิดก่อนทำ หรือฝ่ายหนึ่งเอาอารมณ์พูด อีกฝ่ายพูดด้วยสติปัญญา หรือฝ่ายหนึ่งเห็นชัดว่าอะไรๆไม่เที่ยง
ความยึดมั่นถือมั่นเหลือน้อย


แต่อีกฝ่ายหนึ่งแค่เรื่องน้อยก็ยึดมั่นถือมั่นเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต ก็คงนึก
ระอาหรือหมั่นไส้ในกันเป็นอย่างยิ่ง ปัญญาที่ร่วมเสริมส่งกันและกันย่อมทำหน้าที่สร้างความร่าเริงในการ
สนทนา และความไม่พรั่นที่จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกัน

หากอดีตกาลคุณเคยครองเรือนกับผู้มีบุญเสมอกันทั้ง ๔ ข้อ (อาจหย่อนนิดหย่อนหน่อยได้) ขอเพียง
ได้มาพบกันในชาตินี้ ก็จะเกิดแรงดึงดูดที่ก่อความรู้สึกแสนดีอย่างประหลาด เหมือนเข้ากันได้ทุกอย่าง
เหมือนเห็นกันได้ทุกแง่มุมด้วยความเข้าใจกระจ่าง


และขอเพียงเกื้อกูลกันนิดๆหน่อยๆ เช่นฝ่ายหนึ่งมาถามทาง อีกฝ่ายบอกทางให้ เท่านี้ก็จะเกิดแรง
ปฏิพัทธ์ขึ้นอย่างรุนแรง ชนิดที่ฝ่ายชาย (ซึ่งมีธรรมชาติเป็นรุก) อาจยื่นข้อเสนอเดินพาไปส่ง และฝ่าย
หญิงก็ตกลงรับข้อเสนออย่างยินดีเต็มใจทันที แล้วการตกลงร่วมทางกันไปจนกว่าจะตายก็ติดตามมา
อย่างรวดเร็ว ไม่มีอะไรซับซ้อน ไม่มีเหตุการณ์น่าปวดหัว ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับคู่บุญประเภทนี้

แน่นอนว่าสายตาทั่วไปมองแล้วย่อมนึกอิจฉา โดยไม่มีใครเข้าใจต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงว่าเหตุใดจึงมี
คู่ที่น่าอิจฉาได้ปานนั้น รู้แต่ว่ามีจริง แต่ไม่รู้ว่ามีขึ้นมาได้อย่างไร ต้องต่อว่าใครที่แกล้งลำเอียง ความจริง
คือคู่บุญได้รับความยุติธรรมจากธรรมชาติกรรมวิบากต่างหาก แต่อาจเป็นความยุติธรรมที่
ลึกลับ เพราะนำอดีตชาติมาแสดงให้เห็นเป็นภาพยนตร์ตามโรงไม่ได้


http://dungtrin.com/prepare/archieve/prepare064.htm
เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว ฉบับวันที่ ๑ ธ.ค. ๒๕๔๘

 

จากที่พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัส ว่าหญิงชายจะพบกันทั้งชาตินี้และชาติหน้า ก็เพราะมีเหตุ คือ
ต่างฝ่ายต่างมีศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญาเสมอกัน คำว่า "เสมอกัน" นั้น อย่างน้อยที่สุดคือร่วม
ยินดีไปในแนวความเชื่อเดียวกัน มีใจปรารถนาจะรักษาศีล มีใจอยากสละให้ และอย่างน้อยพูดภาษา
เดียวกันรู้เรื่อง ไม่ใช่ว่าฝ่ายหนึ่งเสนอ อีกฝ่ายนอกจากไม่สนองแล้วยังเอาแต่ขัดๆๆ


ยิ่งไปกว่านั้น พระพุทธเจ้ายังเคยตรัสว่า ความรักจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยเหตุสองประการ ประการแรก
คือเคยอยู่ร่วมกันมาในอดีตชาติ ประการที่สองคือชาตินี้ได้เกื้อกูลกัน นั่นแหละความรักอย่าง
ลึกซึ้งถึงจะเกิดได้

มองด้วยข้อสรุปนี้ คู่บุญตัวจริงก็คือคนที่เคยคิดดี พูดดี ทำดีต่อกันมาก่อน รวมทั้งมีศรัทธาไป
ในทางเดียว แข็งแรงในศีลข้อเดียวกัน มีใจคิดสละประมาณเดียวกัน และอย่างน้อยต้องพูดกันรู้
เรื่องประมาณเพลินคุยได้ไม่รู้เบื่อ ประเภทใส่บาตรครั้งสองครั้ง อาจมีผลให้เกิดความรู้สึกปิ๊งๆบ้าง แต่
จะไม่มีเหตุปัจจัยส่งเสริมสนับสนุนให้ได้พบกันบ่อยๆ ได้เกื้อกูลกันโดยปราศจากอุปสรรคขัดขวางอย่าง
สิ้นเชิง พูดง่ายๆ ว่าต้องสร้างปัจจัยใหม่กันเหนื่อยพอดูครับ


http://dungtrin.net/newsletter/viewtopic.php?t=70&start=77
ดังตฤณวิสัชนา ฉบับวันที่ ๑ ก.ย. ๒๕๔๘


ถ้านับตามบันทึกของพุทธ ก็ต้องว่าคนเราแม้อยู่เคียงครองเรือน คนหนึ่งตายแล้วอาจไปสวรรค์ คนหนึ่ง
ตายแล้วอาจไปนรก ใช่จะพุ่งขึ้นหรือไหลลงตามกันเพียงเพราะอยู่เรียงเคียงหมอน มันขึ้นอยู่กับว่าก่อน
ตายแต่ละฝ่ายเดินอยู่บนทางสวรรค์หรือทางนรกเท่านั้น


ตรงข้าม คู่ผัวตัวเมียที่มีบารมีอันได้แก่ทาน ศีล สมาธิ และปัญญาเสมอกัน หรือคล้อยตามกัน
ย่อมมีโอกาสได้พบเจอบ่อยกว่าคู่อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากจิตเป็นกุศลแล้วอธิษฐานสำทับ
ร่วมกันเสมอๆ ก็จะให้ผลแรงเป็นทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ หนักแน่นมั่นคงและเป็น ‘ตัวจริง’ ของกัน
และกันอย่างยากจะหาใครมาแทนที่

(ทางนฤพาน บทที่ ๑๐ ผู้วิเศษ)

"บุพเพสันนิวาส" ตามความหมายอันแท้จริง จะต้องเคยครองคู่ ร่วมทุกข์ร่วมสุข ฝ่าฟันแล้วสุขสม
ด้วยกันมาก่อน มีลูกให้ช่วยกันเลี้ยงดูด้วยกันมาก่อน มีความจากพรากอันน่าอาลัยมาก่อน
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยสำคัญอย่างสูงคือเคยทำบุญในพุทธเขตร่วมกันมาก่อน

(จะทำบุญร่วมกันในศาสนาไหนก็ได้ ที่ไม่ใช่ลัทธิความเชื่ออันนำไปสู่อบาย แต่การทำบุญร่วมกันในพุทธ
เขต มีกำลัง มีความสว่างสูงส่งเหนือสิ่งอื่นใด)

http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/007278.htm#24

ลานดาวบอกตนเองว่าเข้าใจความหมายที่แท้จริงของ ‘คู่บุญ’ และ ‘คู่บารมี’ ก็คราวนี้เอง ถ้าเป็นคู่แท้ที่
เคยร่วมบุญร่วมบารมีกันมาก่อน ก็มิใช่ว่าจะต้องด่วนเจอทันใจเสมอไป แต่อาจรอจังหวะ
เหมาะสมที่เมื่อพบกันแล้วต่างอยู่ในภาวะพร้อมจะร่วมทางกุศลดังเดิมอีกด้วย


แรงเหวี่ยงของกรรมใหญ่ฝ่ายกุศลจะดึงดูดให้วิญญาณตามติดกันไปเรื่อยๆ คล้ายดาวแม่กับดาวบริวาร
นั่นแหละ ตราบใดเรายังมีใจเห็นดีเห็นงามกับกุศลผลบุญของเขา แล้วก็ร่วมกันทำประโยชน์ให้
สาธารณชนไม่เลิกรา เกิดใหม่ก็ได้อยู่ด้วยกันอีกเสมอไป เว้นแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพลาดไปอยู่ภพต่ำ
ปล่อยให้อีกฝ่ายโดดขึ้นไปอยู่สูงตามลำพัง ก็อาจคลาดกันระยะหนึ่ง

(กรรมพยากรณ์ : ชนะกรรม ตอนที่ ๔๑ ชนะกรรม)


การที่มีอัตภาพได้มาเจอกันแล้วรู้สึกดี ก็ถือว่าเป็นบุญเก่าที่ให้ผลเป็นกุศลวิบากอยู่แล้ว นั่นเป็นของใน
อดีตล้วนๆ นับแต่วินาทีแรกที่พบกัน แม้ว่าวิบากเก่าอาจจะยังให้ผลไม่หมดสิ้น มีแรงหนุนให้
อยากคบหา หรือมีความหนุนเนื่องให้เกิดเหตุการณ์ดีๆ ปัจจัยประกอบดีๆ ก็ต้องถือว่าทั้งสอง
ต้องเลือกเอาเอง กำหนดเอาเอง ว่าจะทำปัจจุบันให้เป็นอย่างไร ถางทางอนาคตให้ดีร้ายแค่ไหน
จะเลี้ยงความรู้สึกดีต่อกันไว้ได้นั้น บุญเก่าอาจมีส่วนในแง่ของการเอื้อปัจจัย แต่ไม่ได้เป็น
ประกันชัดเจนเหมือนบุญใหม่แน่นอน


http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/001500.htm#4

คนสองคนที่สร้างบุญมาด้วยกันหากชาติใกล้ชักชวนกันทำทานเป็นงานอดิเรก ต่างฝ่ายต่างก็ได้แดนเกิด
ร่ำรวยไม่ขัดสน พอมาเจอกัน คบกัน อยู่ด้วยกันไม่ทันไร อยากทำธุรกิจค้าขาย ก็อาจรวยไม่รู้เรื่อง
หากชาติใกล้เตือนกันและกันตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ต่างฝ่ายต่างมีรูปร่างหน้าตาต้องใจเพศตรงข้าม
พอมาเจอกัน ก็เอ็นดูเสน่หา หลงใหลในกันและกันรุนแรง ชนิดที่ใครอื่นหมื่นแสนก็ทำให้หลงไม่ได้เท่า


หากชาติใกล้อาจจูงมือกันเข้าวัดเข้าวา ฝึกภาวนาให้เกิดความตั้งมั่นทางจิตใจ เจริญปัญญาให้แก่กล้า
หวังความหลุดพ้นในที่สุดด้วยกัน ตั้งความปรารถนาว่าจะพบเพื่อเกื้อกูลกันให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ไม่ขวาง
กันและกันในเส้นทางมรรคผล พอมาเจอกัน ก็เกิดความผ่องใส เย็นรื่น แค่อยู่ด้วยกันเฉยๆก็อาจเป็นแรง
สะกิดอีกฝ่ายให้สงบลงจากทุกข์ และโน้มน้าวกันให้ใฝ่แต่เรื่องแสนดี งดงาม ไม่เป็นที่ระคายต่อกัน เจอ
พระสงฆ์องค์เจ้าก็แต่ที่ดีๆ ไม่ลุ่มหลงประเภทพาญาติโยมลงเหว

http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/001500.htm#4



มีคู่รักหลายคู่ ที่ทำบุญมาด้วยกันแค่ระดับทาน อาจรวยร่วมกัน เจอกันยิ่งรวยมหารวยเป็นบ้า
เป็นหลัง แต่ปัญญาที่จะประคองรักร่วมกันอาจขาดไป ได้กันแล้วก็เบื่อกัน ไม่ต่างกับเสพสมบัติ
ชนิดอื่นๆ ฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงอาจมักมากในกามจนต้องออกไปเลอะเทอะข้างนอก และคนมีเงินนั้น
ผิดศีลได้มากข้อนัก คงไม่ต้องขยายความ

มีคู่รักอีกหลายคู่ ที่ชวนกันรักษาศีลมาก่อน จะโกหกนั้นไม่เอา บี้มดตบยุงก็ไม่ยอม แต่ขาดทาน
บารมีร่วมกันมา ชวนกันอดออม ชวนกันตระหนี่เสียมาก เพราะไม่รู้ค่าของทาน ไม่เชื่อผลของ
ทาน เกิดมาเจอกันอาจจะรักกันดูดดื่มปานจะกลืน เพราะรูปสวยด้วยกันทั้งคู่ แต่ขอโทษ ต้องกัด
ก้อนเกลือกินจนตาย ถึงสัญญาเก่าที่เจือด้วยความบริสุทธิ์ของศีลจะดึงรั้งไม่ให้นอกใจกัน ก็อยู่ร่วมกัน
อย่างอัตคัดขัดสน ผอมแห้งแรงน้อย เจ็บออดๆแอดๆ ก็เป็นเหตุให้เกิดความเบื่อหน่ายกันและกันอัน
เนื่องจากความเป็นอยู่ได้อีก

โดยความไม่สมบูรณ์ของ ทาน ศีล ภาวนา ที่บำเพ็ญมาร่วมกัน คู่รักที่เป็นปุถุชนทั่วไปจึงมักขาด
สิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือหลายสิ่ง ที่จะเป็นปัจจัยหล่อเลี้ยงตามวิถีทางธรรมชาติ ให้มั่นคงในรักต่อกัน
หรือให้มีความสุขสดชื่นบำรุงจิตใจกันและกัน ฉะนั้นถ้าหากอยู่ด้วยกันแล้วไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง
ชนิดที่เป็นกุศล หล่อเลี้ยงให้เกิดความชุ่มชื่นใหม่ๆ ทวีขึ้นทุกๆวัน ก็เป็นธรรมดาที่ความรักจะ
โรยราลงตามธรรมชาติใจที่เบื่อหน่ายของเก่าซ้ำซากจำเจ

http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/001500.htm#4

คนส่วนใหญ่ไม่ตระหนักกันว่าบุญกรรมที่มีกำลังส่งผลสูงสุด
มีอิทธิพลดีร้าย และเป็นตัวจัดสรร เลือกคู่ครองให้เราอย่างแท้จริง
ได้แก่กรรมทางกาย วาจา ใจที่เกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
หรือที่เรียกกันง่ายๆว่า "นิสัยใจคอ" นั่นเอง
นิสัยคือพฤติกรรม หรือการกระทำที่สั่งสมจนเกิดความเคยชิน
และนั่นก็ตรงกับศัพท์บัญญัติทางพุทธคือ อาจิณณกรรม


http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/008652.htm#2

เกี่ยวกับเรื่องของเนื้อคู่หรือคู่แท้ สังสารสัตว์ที่มาจับคู่กันนั้น
ไม่ใช่มีใครดลบันดาล ไม่ใช่มีฐานะคู่กันโดยเดิม
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยกรรมสัมพันธ์ทั้งสิ้น

http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/001630.htm#27

วิธีที่จะเจอคนจริงใจกับเรา ไม่ว่าในด้านความรักหรือธุรกิจ ไม่ใช่ด้วยความบังเอิญ ทำนอง
เดียวกับที่ไม่มีใครงมเข็มในมหาสมุทรเจอโดยปราศจากเครื่องช่วย ซึ่งในที่นี้ก็คือกรรมนั่นแหละ คุณต้อง
เข้าใจหลักกรรมข้อหนึ่ง คือ เมื่อให้สิ่งใดย่อมไม่สูญเปล่า ต้องมีการสะท้อนตอบเป็นการได้รับสิ่ง
นั้นคืนมาเสมอ


ฉะนั้น หากตอนนี้อยู่ในช่วงรับความไม่จริงใจซึ่งเราเคยทำไว้กับใครมาก่อนก็ช่างเถอะ
เอาเป็นว่า ขอให้สร้างเหตุ สร้างเครื่องช่วยให้เราไปพบกับคนจริงใจในกาลข้างหน้า คือพยายาม
จริงใจกับคนอื่นโดยไม่ย่อท้อ ก็แล้วกัน

(เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่ม ๑)

หลักการดูคู่ ขอแนะว่าลองชักชวนกันทำบุญ ดูความรู้สึกผูกพันด้านดี จะแน่นอนกว่าการดูฤกษ์
ยามใดๆ ครับ แต่ผมก็เข้าใจและเห็นใจ บางคนไม่มีโอกาสเลือกมากนัก ถ้าใครคิดว่าตนเองมีบุญใน
เรื่องคู่น้อย

ผมอยากแนะนำให้ตั้งใจรักษาศีล ๕ อย่างเข้มงวด ทำทานด้วยความเบิกบานอย่างเข้าใจสัก
พัก มนุษย์เรายกระดับความมีบุญได้ในชาติเดียว เดี๋ยวถ้าบุญถึงขีดบันดาลสุขในปัจจุบันทันตา
เมื่อไหร่ บุญนั้นก็จะแปรสภาพเป็นแรงดึงดูดชักนำคนดีๆที่สมกันมาหาเราเองครับ หากถือหลัก
ความจริงนี้ ก็คงเป็นคำตอบไปในตัว ว่าเราจำเป็นต้องเชื่อเกณฑ์ชะตาราศีไหม


http://dungtrin.com/prepare/archieve/prepare064.htm
เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว ฉบับวันที่ ๑ ธ.ค. ๒๕๔๘



สิ่งที่ควรดู คือเมื่อเข้าคู่กันแล้ว

๑) รู้สึกว่าใช่หรือเปล่า (เป็นเรื่องของสัญญาที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกล้วนๆ)


๒) เกิดแต่เรื่องดีๆเมื่ออยู่ด้วยกันหรือเปล่า (วัดผลของอดีตกรรมที่ให้เป็นวิบากฝ่ายดี)

๓) ร่วมกันเปลี่ยนอุปสรรคหรือเรื่องร้ายให้กลายเป็นดีได้หรือเปล่า (ดูปัจจุบันกรรมที่เอื้อให้เกื้อกูล
ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันได้แค่ไหน)


๔) เกิดแรงบันดาลใจให้คิด พูด ทำดี ๆ ต่อกันและต่อคนรอบข้างหรือเปล่า
(ปัจจุบันกรรมที่จะให้ผลเป็นวิบากอนาคตที่สดใสหรือไม่ เท่าที่ผมพบมา คู่ที่จรรโลงใจกันด้วยบุญ เลี้ยงใจกันด้วยบุญไม่ขาดสายเท่านั้น ที่ไม่เบื่อ ไม่แห้งแล้งต่อกันเสียก่อนตาย)

สรุปคือเข้าคู่กันแล้วรู้สึกดีๆ เกิดเรื่องดี ๆ ก็ใช่เลยครับ และไม่ต้องไปหมายมั่นเอาว่านั่นคือเครื่อง
แสดงความถาวร เป็นเนื้อคู่นิรันดร์ เพราะสังสารวัฏไม่มีอะไรอย่างนั้นให้ มีแต่เปลี่ยนกับเปลี่ยนครับ จะ
เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหรือเลวลงเท่านั้น


http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/001500.htm#1

ชีวิตคู่จะประสพความสำเร็จหรือล้มเหลวใช่ว่าเกิดจากการสำคัญถูกหรือสำคัญผิดในเบื้องต้น
ที่ว่าใช่แน่เหมือนกิ่งทองใบหยก วันหนึ่งกลายเป็นใบข่อย ใบมะกรูดไปก็มาก หรือที่ว่าเหมือนดอกฟ้ากับ
หมาวัด วันหนึ่งหมาวัดกลายเป็นใหญ่เป็นโตในบ้านเมืองก็มีให้เห็น หรืออีกทางหนึ่ง ดูตอนเริ่มต้นว่ารัก
กันมาก นานไปก็อาจรักกันน้อยลง ดูตอนเริ่มต้นว่ารักกันน้อย นานไปก็อาจรักกันมากขึ้น ของแบบนี้เอา
พฤติกรรมปัจจุบันมาเป็นแนวโน้มพอได้ แต่ไม่แน่นอนเท่าไหร่นัก


(ทางนฤพาน บทที่ ๑๔ ร่วมทาง)

คู่ที่แตกต่างกันมากอาจมีความสุข มีแรงดึงดูดเข้าหากันในช่วงแรก แต่อาจไม่ใช่อย่างที่
แม่เหล็กรักความเป็นขั้วตรงข้ามได้ตลอดเวลา การอยู่กินร่วมกันในระยะยาวต้องการอะไรบางอย่าง
ชวนใจให้อยู่ใกล้กันทุกวันได้โดยไม่อึดอัด ถ้าต่างคนต่างอยากทำสิ่งที่ตัวเองพอใจแล้วลืมเลยว่าอีก
ฝ่ายอยู่ที่ไหน หรือมุมไหนของบ้าน วันหนึ่งก็กลายเป็นความห่างเหินโดยปริยาย

(ทางนฤพาน บทที่ ๑๔ ร่วมทาง)

ความเข้ากันได้ระหว่างสองบุคคลเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เป็นที่ยอมรับว่าลักษณะนิสัยใจคอของคนเราจะ
ก่อลักษณะกระแสจิตประเภทหนึ่งๆขึ้นมา ซึ่งเมื่อใกล้กันก็รู้สึกได้ว่าพอจะ 'รับ' กันได้ไหม ถัดจากนั้นยัง
มีรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆอีก ทั้งความคิด คำพูด และปฏิกิริยาที่กระทำต่อกัน เป็นตัวตัดสินว่าเข้ากัน
ได้สนิทจริงหรือไม่


ตรงนี้น่าคิดว่าถึงจะเคยร่วมบุญกันมา ทว่าเข้ากันยากด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัวของแต่ละฝ่าย แม้มีเวลา
กระดี๊กระด๊าด้วยกันในช่วงแรกอยู่บ้าง ต่อไปก็น่าจะฝ่อลงจนแหนงหน่ายในที่สุด
เคยทำบุญร่วมกันมาก็เรื่องหนึ่ง ลักษณะกระแสจิตคล้ายกันก็เรื่องหนึ่ง เจอกันแล้วเกิดอะไรขึ้น
บ้างก็เรื่องหนึ่ง มีโอกาสใช้เวลาในชีวิตด้วยกันนานช้าแค่ไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง
 
สรุปแล้วหากว่าตามหลักอนิจจัง หญิงชายในสังสารวัฏต่างท่องเที่ยวไปไกลตามลำพัง ผลัดเปลี่ยนเวียน
จับคู่ด้วยความผูกพันมากน้อย แล้วถอยฉากจากกันไปเรื่อยๆ หาคู่แท้ถาวรมิได้? ...


(ทางนฤพาน บทที่ ๑๐ ผู้วิเศษ)

ในเมื่อยังต้องติดอยู่กับความรักประจำโลก ก็ควรเป็นความรักที่เกื้อกูลกันและกันด้วยธรรมะ อยู่ร่วมกัน
ด้วยกระแสบุญกุศล หากผูกพันกับใครด้วยกระแสบุญมากกว่ากระแสบาป ก็มักได้เป็นตัวจริงของเขาหรือเธอในที่สุด

http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/008619.htm#4

อ้างอิง หนังสือวาทะดังตฤณ ฉบับความรักหลากสี ดังตฤณ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 16, 2011, 03:46:15 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ