.
‘Ganesha for all’ | อนุสนธิ์จากงานคเณศจตุรถีที่ทับแก้ว“มีประจำเดือนเข้าร่วมพิธีได้ไหมคะ ?” “กำลังท้องอยู่จะมาขอรับการเจิมได้ไหม?”
เสียงใสๆ ของนักศึกษาถามขึ้น ขณะที่ผมกำลังเตรียมพิธีบูชาตามแบบฮินดู ในเทศกาลคเณศจตุรถีครั้งที่สอง (ระดับมหาวิทยาลัย) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างองค์การนักศึกษา และภาควิชาปรัชญามหาวิทยาลัยศิลปากร โดยผมทำหน้าที่ผู้ช่วยพราหมณ์หรือปูชารี และง่วนอยู่กับการตระเตรียมของบนปะรำที่จัดขึ้นนั้น
คำถามข้างต้นมีผู้ร่วมงานบางท่านไม่กล้าเข้ามาถามเอง ได้แต่ยืนอยู่ไกลๆ แล้วฝากนักศึกษาซึ่งเป็นสตาฟฟ์ของงานมาถามอีกทอดหนึ่ง
พอได้ยินคำถามแล้ว ผมรู้สึกอะไรบางอย่างจึงรีบบอกไปทันทีว่า “ทุกคนเข้าร่วมพิธีได้ทั้งหมด ไม่มีข้อห้ามอะไรทั้งสิ้น”
เมื่อพิธีเริ่มต้นขึ้น ผมจึงคว้าไมค์ขึ้นมาพูดว่า
“ขอเชิญทุกคนมาร่วมพิธี เข้ามานั่งใกล้ๆ ได้เลย ไม่ต้องกังวลว่ากำลังมีประจำเดือนอยู่ หรือเป็นใครอะไรยังไง เพราะพระคเณศองค์นี้ทรงมีพระทัยกว้างขวางใหญ่โต ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร เพศไหน วรรณะไหน จะเป็นคนบริสุทธิ์หรือมีมลทิน จะคนบาปหรือคนบุญ จะคิดอย่างไรกับตนเอง พระองค์ก็ยินดีต้อนรับทั้งหมด ขอแค่เพียงเข้ามาด้วยใจนอบน้อม”
ผมมิได้คิดคำพูดพวกนี้ขึ้นมาเพื่อจะเอาใจคนร่วมงาน ทว่า ก่อนที่จะพูดขึ้นนั้น ผมย้อนนึกไปถึงว่างานคเณศจตุรถีมีขึ้นมาด้วยเหตุใด
@@@@@@@
ร้อยกว่าปีก่อน พาล คงคาธร ติลัก นักเคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราชชาวอินเดีย พยายามทำให้งานคเณศจตุรถี ซึ่งปกติก็บูชากันตามบ้านอยู่แล้ว กลายเป็นงาน “สาธารณะ” เพื่อจะรวมผู้คนเข้าด้วยกัน เขาไม่เห็นเทพองค์ใดที่จะมีพลังในการรวมผู้คนยิ่งไปกว่าพระคเณศอีกแล้ว เพราะพระองค์แทบจะไม่มีข้อห้ามอะไรเลย เป็นเทพที่อยู่ในทุกบ้านของทุกๆ คน ทุกๆ ชนชั้นวรรณะ
เทพองค์นี้แหละที่สามารถสลายความต่างของคนได้มากที่สุด งานคเณศจตุรถีซึ่งมีวาระทางการเมืองในการต่อต้านอังกฤษจึงได้เกิดขึ้นนับแต่บัดนั้น
“สรวชนิก คเณศมโหตสวะ” เป็นคำโปรยของงานคเณศที่อินเดีย ซึ่งแปลว่า “งานเทศกาลพระคเณศแห่งชนทั้งผอง”
ผมจำได้ว่าครั้งหนึ่งเมื่ออยู่ที่อินเดีย ณ ริมหาดเจาปัตติ เมืองมุมไบ สถานที่แห่พระคเณศเพื่อไปลอยทะเลส่งเสด็จ บริเวณริมถนนหน้าหาดมีซุ้มใหญ่แจกอาหาร ผมเดินไปใกล้ๆ แล้วพบว่า ซุ้มหนึ่งเป็นของของคนฮินดู และอีกซุ้มเป็นของชาวมุสลิม ต่างมาช่วยกันแจกอาหารให้ผู้คนที่เข้ามาร่วมงานไม่ว่าจะนับถือศาสนาอะไร
งานของฮินดูที่ชาวมุสลิมออกมาทำโรงทานด้วย มันก็น่าดูชมนะครับ
ภาพคนนับพันในงานคเณศจตุรถีที่ทับแก้ว ล้วนมาจากคนละที่ ต่างเข้ามาหาพระคเณศด้วยความศรัทธาและความหวัง
เผอิญผมได้อยู่ในตำแหน่งใกล้ “ศูนย์กลางของมณฑล” คือใกล้องค์เทวรูปในซุ้มที่ตกแต่งอย่างสวยงาม บนพื้นเวทีซึ่งขึ้นได้เฉพาะผู้ปฏิบัติงานคือพราหมณ์และเจ้าภาพเท่านั้น ทำให้ผมได้เห็นมุมมองพิเศษที่อาจต่างจากคนอื่นสักหน่อย
จากมุมนั้นเอง ผมเห็นคลื่นมหาชนต่อคิวยาวเหยียดเพื่อจะมารับพร แต่ละคนเข้ามาก้มให้พราหมณ์เจิมหน้าผากและรับของแจก “เทวประสาท” ไม่ว่าจะเป็นผลไม้หรือนมข้าวโอ๊ตกลับไปกินที่บ้าน
คนเหล่านั้นสลายหายไปเป็นหนึ่งเดียวในกระแสศรัทธาร่วมกัน แม้แต่ตัวผมก็หลอมรวมกับผู้ศรัทธาเหล่านั้นไปด้วย ในบางห้วงบางขณะ เหมือนหนึ่งตัวตนหายไป
เสื่อและเก้าอี้ถูกจับจองจนหมด ไม่ว่าทีมงานจะตระเตรียมไว้มากแค่ไหนก็ตาม แต่ผู้คนก็ยังยอมยืนร่วมพิธีอยู่รอบๆ เสียงขานรับ “นมะ” (ขอความนอบน้อมจงมี) ต่อท้ายมนต์ของพราหมณ์ดังขึ้นอยู่ไม่ขาด
พิธีแห่ส่งเสด็จที่ยิ่งใหญ่และสนุกสนาน กระทั่งพราหมณ์เองก็เล่นสนุกกับพวกเราด้วย ท่านเอาสีป้ายหน้าพวกเรา ร้องเพลงและเต้นรำไปจนเทวรูปได้ถูกส่งลอยน้ำไปในสระแก้วของมหาวิทยาลัยนั่นเอง
@@@@@@@
ปีนี้ดูเหมือนว่างานคเณศจตุรถีในเมืองไทยเริ่มกลับมาเป็นที่สนใจและได้จัดขึ้นทั่วทุกหัวระแหง แต่ละงานมีความแตกต่างกันออกไปตามความรู้ความเข้าใจของผู้จัด
ย้อนนึกถึงงานคเณศจตุรถีครั้งแรกที่ภาควิชาปรัชญาจัดขึ้น ในปี 2552 ต้องสารภาพว่า คนที่เป็นต้นคิดในการจัดครั้งแรกนั้นไม่ใช่ผม แต่เป็นอาจารย์ธีรศักดิ์ โอภาสบุตร อดีตหัวหน้าภาควิชาปรัชญา (ซึ่งท่านเป็นคาทอลิก) พอเห็นว่าผมมีความรู้และเคยไปดูพิธีที่อินเดีย จึงสนับสนุนให้จัดงานขึ้น
เราช่วยกันปั้นเทวรูปจากดินเกาะนกบริเวณสระแก้ว โดยมีอาจารย์ชัชวาลย์ วรรณโพธิ์ และอาจารย์พิพัฒน์ สุยะ ร่วมกันทำด้วย
ปีนั้นพิธีจัดขึ้นเพียงวันเดียว กลางลานทรงพลของคณะอักษรศาสตร์ มีเต็นท์เล็กๆ เท่าเต็นท์ขายของเป็นปะรำพิธี มีคนร่วมงานแค่หลักสิบ โดยมีรองศาสตราจารย์กัญญารัตน์ เวชชศาสตร์ อาจารย์อาวุโสของคณะมาเป็นประธานให้ และท่านก็มาทุกปีจนถึงทุกวันนี้
จากนั้นมา งานของเราก็ค่อยๆ ใหญ่ขึ้น ปีที่สองเทวรูปขนาดใหญ่เท่าคน ผมเกิดอยากให้เหมือนอินเดียที่งานควรจะมีลักษณะเป็นเทศกาลจริงๆ จึงไปขอให้อาจารย์จากศูนย์วัฒนธรรมอินเดียมาแสดงการร่ายรำภารตะนาฏยัม ไปขอให้ร้านขายของที่อยู่ในพื้นที่โรงอาหารมาขายอะไรให้นักศึกษากินบ้าง ซึ่งได้แค่บาร์บีคิวรถเข็นมาเจ้าเดียว
พอปีที่สามเราจัดงานกันหลายวัน เทวรูปที่เราปั้นก็ใหญ่สักเท่าครึ่งของคนได้ ปีนั้นมีไฮไลต์คือ “พิธีคเณศวิวาห์” ครั้งแรกในเมืองไทย ท่านบัณฑิตวิทยาธร สุกุลพราหมณ์ ประธานปุโรหิตฮินดูแห่งประเทศไทยมาเป็นประธานให้ในวันแรก คนจากศูนย์วัฒนธรรรมอินเดียก็มา งานสนุกสนานมาก
ผมชวนนักศึกษาทำละครเรื่องพระคเณศวิวาห์ เพื่อสมโภช เล่นกันเองดูกันเองพอให้เพลินใจตามประสามือสมัครเล่น
จากนั้นบางปีก็ซบเซา บางปีก็มีอะไรสนุกๆ เท่าที่เราจะค้นคว้ามาได้ ปีหนึ่งเราจัดสหัสระโมทกโหมะ คือถวายบูชาไฟด้วยขนมโมทกะพันลูกตามที่เขียนไว้ในคัมภีร์ นักศึกษามาช่วยปั้นขนมกันจ้าละหวั่น ถวายไปในกูณฑ์บูชาไฟจนมืดค่ำ
@@@@@@@
ครั้นจัดต่อเนื่องจนครบแปดปี ผมอธิษฐานไว้ว่าจะทำงานนี้เป็นปีสุดท้ายแล้วจะขอพักก่อน ที่ถือแปดปีก็เพราะเลขประจำพระคเณศเป็นเลขแปด เพราะท่านมีแปดองค์และแปดอวตาร (อัษฏวินายก/อัษฏาวตาร) อีกทั้งช่วงเวลางานคเณศจตุรถีมักใกล้สิ้นสุดปีงบประมาณ เรื่องการเงินแบบราชการทำให้เราทำงานลำบากมากขึ้นเรื่อย
เผอิญปีนั้นภาควิชาได้งบประมาณมามากพอสมควร จึงได้จัด “คเณศยาคะ” หรือพิธีกรรมตามขนบพระเวทในการยัชญะ ปีนั้นท่านอาจารย์ลลิต โมหัน วยาส ครูของผมมาเป็นผู้ประกอบพิธีในวันแรก
ลุถึงปีที่แล้ว องค์การนักศึกษาเห็นคุณค่าว่า งานคเณศจตุรถีที่ภาควิชาจัดมาตลอดนั้นสมควรจะเป็นงานประเพณีของมหาวิทยาลัยได้ จึงสนับสนุนให้กลายเป็นงานระดับใหญ่ขึ้นจากที่หายไปสักพัก ผมจึงได้เห็นงานคเณศจตุรถีอย่างที่ฝันเอาไว้ คืองานที่เป็นเทศกาลจริงๆ มีการแสดงทางวัฒนธรรม การบรรยายวิชาการ ออกร้าน ตลาด ดนตรี ฯลฯ
@@@@@@@
มาปีนี้เป็นปีที่สองในระดับมหาวิทยาลัยเช่นกัน แม้จะมีหลายสิ่งขลุกขลัก โดยเฉพาะเรื่องการประชาสัมพันธ์ แต่ผมก็อาจพูดได้ว่า ในบรรดาโครงการทั้งหลายของมหาวิทยาลัยนั้น โครงการคเณศจตุรถีน่าจะเป็นงานที่คนภายนอกหรือชุมชนเข้ามาร่วมในมหาวิทยาลัยศิลปากรมากที่สุด
เอกลักษณ์สำคัญในงานของเราคือนอกเหนือจากพิธีกรรมที่จะได้เข้าร่วมด้วยศรัทธา คนร่วมก็ควรจะต้องได้รับความรู้กลับไปด้วย เพราะทุกขั้นตอนพิธีจะบรรยายเป็นภาษาไทย ซึ่งต่างจากที่อื่นๆ
ตอนนี้ผมกำลังนั่งคิดว่า อะไรจะดีไปกว่าการที่มหาวิทยาลัยเปิดพื้นที่ให้คนเข้ามาร่วมกิจกรรมอย่างไม่แบ่งแยก ให้เขาได้รับสิ่งที่ต้องการเท่าที่เราจะให้ได้ ส่วนในฐานะผู้จัด อะไรคือ “สาร” ที่เราควรจะเสนอออกไปเรื่อยๆ จากงานนี้
ที่สำคัญ ผมคิดว่างานคเณศจตุรถีควรกลายเป็นงานที่เราสามารถผลักดันประเด็นต่างๆ ทางสังคมได้ด้วย นอกเหนือจากความเข้าใจความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่มีอยู่แล้ว ประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม ประวัติศาสตร์ ความหลากหลายทางเพศ ความเท่าเทียม ความเมตตากรุณา ฯลฯ ทำอย่างไรให้ประเด็นเหล่านี้แนบเนียนไปกับส่วนต่างๆ ของงานโดยเฉพาะในด้านพิธีกรรม
แม้บทความชิ้นนี้อาจไม่ได้ให้อะไรท่านผู้อ่านมากนัก นอกจากบอกเล่าความเป็นมาและแฝงความรู้สึกบางอย่างของผม ซึ่งก็ยากจะอธิบาย แต่หวังใจว่าท่านผู้อ่านจะเกิดความคิดดีๆ และถ้ามีก็วานบอกด้วย จักขอบคุณยิ่ง
ท้ายที่สุด หากงานคเณศจตุรถีสามารถกลายเป็น งาน “คเณศสำหรับทุกคน” หรือ Ganesha for all ตามสปิริตเดิมจริงๆ คงเป็นสิ่งที่งดงามอย่างยิ่ง • ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 20 - 26 กันยายน 2567
คอลัมน์ : ผี-พราหมณ์-พุทธ
ผู้เขียน : คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง
เผยแพร่ : วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ.2567
website :
https://www.matichonweekly.com/column/article_801527เครดิตภาพ : องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์