ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พบเมืองโบราณของ ชาวมายา ขนาดใหญ่แห่งใหม่ ซ่อนตัวอยู่ในป่าทึบของเม็กซิโก  (อ่าน 806 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.

ที่มาของภาพ, Getty Images | คำบรรยายภาพ, แม้จะไม่มีภาพถ่ายของเมืองดังกล่าว แต่เมืองนี้ก็มีวัดพีระมิดที่คล้ายคลึงกับในภาพ ซึ่งอยู่ในเมืองใกล้ ๆ กันที่ชื่อกาลักมุล (Calakmul)


พบเมืองโบราณของชาวมายาขนาดใหญ่แห่งใหม่ ซ่อนตัวอยู่ในป่าทึบของเม็กซิโก

มีการค้นพบเมืองมายาขนาดใหญ่ที่หายสาบสูญไปเป็นเวลาหลายศตวรรษภายใต้ผืนป่าทึบในประเทศเม็กซิโก

นักโบราณคดีพบพีระมิด สนามกีฬา ถนนเชื่อมต่อระหว่างเขตต่าง ๆ และโรงละครกลางแจ้งในมลรัฐกัมเปเช ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ

การค้นพบครั้งนี้ใช้เทคโนโลยีที่มีชื่อว่า "ไลดาร์" (Lidar) ซึ่งเป็นการสำรวจด้วยเลเซอร์ที่สามารถตรวจจับสิ่งปลูกสร้างใต้พืชพรรณหนาทึบได้

เมืองที่พบนี้ถูกเรียกว่า วาเลเรียนา (Valeriana) และเชื่อว่าเป็นเมืองที่มีความหนาแน่นรองลงมาจากเมืองกาลักมุล (Calakmul) ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งโบราณคดีของชาวมายาที่ใหญ่ที่สุดในละตินอเมริกา

นักโบราณคดีค้นพบแหล่งโบราณคดีทั้งหมดสามแห่ง ซึ่งมีขนาดเทียบเท่ากับกรุงเอดินเบอระของสกอตแลนด์ และการค้นพบนี้เกิดขึ้นโดย "บังเอิญ" เมื่อหนึ่งในนักโบราณคดีค้นหาข้อมูลออนไลน์


@@@@@@@

“ผมเสิร์ชกูเกิลไปจนถึงประมาณหน้าที่ 16 และเจอรายงานการสำรวจด้วยเลเซอร์จากองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมของเม็กซิโก” ลุค ออลด์-โธมัส นักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยทูเลน ในสหรัฐฯ อธิบาย

มันคือการสำรวจโดยใช้เทคโนโลยีไลดาร์ คือใช้การปล่อยสัญญาณเลเซอร์หลายพันครั้งจากเครื่องบิน เพื่อตรวจวัดระยะเวลาที่แสงสะท้อนกลับมาและสร้างแผนที่วัตถุที่ซ่อนอยู่ด้านล่าง

แต่หลังจากออลด์-โธมัสประมวลผลข้อมูลด้วยวิธีที่นักโบราณคดีใช้ เขาพบสิ่งที่หลายคนมองข้ามไปว่าใต้พืชพรรณเหล่านั้นมีเมืองโบราณขนาดใหญ่ซ่อนอยู่ ซึ่งคาดว่าเคยมีประชากรสูงสุดระหว่าง 30,000-50,000 คน ในช่วงปี ค.ศ. 750 ถึง 850 ตัวเลขดังกล่าวมากกว่าจำนวนประชากรในภูมิภาคนี้ในปัจจุบัน ออลด์-โธมัสและทีมของเขาตั้งชื่อเมืองนี้ว่า วาเลเรียนา ตามชื่อของบึงน้ำที่อยู่ใกล้เคียง

ศาสตราจารย์มาร์เชลโล คานูโต ผู้ร่วมวิจัยกล่าวว่า การค้นพบนี้เปลี่ยนแปลงมุมมองในโลกตะวันตกที่มองว่าป่าเขตร้อนเป็น "จุดที่อารยธรรมสิ้นสุดลง" และชี้ให้เห็นว่าภูมิภาคนี้เคยเป็นที่ตั้งของวัฒนธรรมที่มั่งคั่งและซับซ้อน

แม้จะยังไม่ทราบแน่ชัดว่าสาเหตุที่เมืองนี้ถูกละทิ้งคืออะไร แต่นักโบราณคดีกล่าวว่าสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงเป็นปัจจัยสำคัญ



คำบรรยายภาพ, ซากโบราณสถานถูกค้นพบทางตะวันออกของเม็กซิโก ในมลรัฐกัมเปเช


เมืองวาเลเรียนามี "ลักษณะของการเป็นเมืองหลวง" และมีความหนาแน่นของสิ่งปลูกสร้างรองจากกาลักมุล ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียง 100 กิโลเมตร

เมืองนี้ "ซ่อนตัวอยู่ในที่แจ้ง" เนื่องจากมันอยู่ห่างจากถนนสายหลักใกล้เมืองซปูจิล (Xpujil) ซึ่งปัจจุบันชาวมายาส่วนใหญ่อาศัยอยู่เพียง 15 นาทีโดยการเดิน

ยังไม่มีภาพถ่ายของเมืองที่หายสาบสูญแห่งนี้ เพราะ "ยังไม่มีใครเคยไปถึงที่นั่น" ตามที่นักวิจัยกล่าว อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านในพื้นที่อาจเคยสงสัยว่ามีซากโบราณสถานซ่อนอยู่ใต้เนินดิน

เมืองแห่งนี้ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 16.6 ตารางกิโลเมตร และมีศูนย์กลางใหญ่สองแห่ง โดยแต่ละแห่งมีอาคารขนาดใหญ่และตั้งอยู่ห่างกันประมาณ 2 กิโลเมตร ซึ่งเชื่อมต่อกันด้วยบ้านเรือนหนาแน่นและถนน

ภายในเมืองมีลานกว้างสองแห่งที่มีพีระมิดสำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ซึ่งชาวมายาใช้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซ่อนสมบัติต่าง ๆ เช่น หน้ากากหยก และใช้ฝังศพผู้คน

นอกจากนี้ ยังมีลานสำหรับเล่นเกมบอลโบราณ รวมถึงมีหลักฐานเกี่ยวกับอ่างเก็บน้ำ ซึ่งบ่งชี้ว่าพวกเขาใช้ประโยชน์จากภูมิประเทศเพื่อรองรับประชากรจำนวนมาก

ออลด์-โธมัสและศาสตราจารย์คานูโตทำการสำรวจพื้นที่ทั้งหมดสามแห่งในป่า ซึ่งพวกเขาค้นพบอาคารจำนวน 6,764 แห่งที่มีขนาดแตกต่างกัน


@@@@@@@

ศาสตราจารย์เอลิซาเบธ เกรแฮม จากมหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในการวิจัยนี้ กล่าวว่า ผลการวิจัยสนับสนุนข้อสันนิษฐานที่ว่าชาวมายาอาศัยอยู่ในเมืองที่ซับซ้อน ไม่ใช่อยู่ในหมู่บ้านที่แยกจากกัน

“ประเด็นคือ ภูมิทัศน์นี้เคยมีการตั้งถิ่นฐานอย่างหนาแน่นในอดีต ไม่ใช่พื้นที่รกร้างหรือ ‘ป่า’ อย่างที่ตาเปล่ามองเห็น” เกรแฮมกล่าว

งานวิจัยนี้ยังชี้ว่า การล่มสลายของอารยธรรมมายาตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 800 เป็นต้นมา ส่วนหนึ่งเกิดจากประชากรที่หนาแน่นเกินไปจนไม่สามารถรับมือกับปัญหาสภาพภูมิอากาศได้

“มันชี้ว่าดินแดนแห่งนี้เต็มแน่นไปด้วยผู้คนเมื่อเกิดภัยแล้ง และไม่มีความยืดหยุ่นเหลืออยู่อีกแล้ว ระบบทั้งหมดอาจล่มสลายลงเมื่อผู้คนเริ่มอพยพออกไป” ออลด์-โธมัสกล่าว

นอกจากนี้ สงครามและการพิชิตภูมิภาคโดยนักล่าอาณานิคมชาวสเปนในศตวรรษที่ 16 ยังมีส่วนในการทำลายรัฐเมืองมายาต่าง ๆ ด้วย



ที่มาของภาพ, Getty Images | คำบรรยายภาพ, หลักฐานของซากโบราณสถานถูกค้นพบโดยเครื่องบินที่ใช้เรดาร์ในการทำแผนที่ใต้ผืนป่าทึบ


เมืองสาบสูญอีกมากอาจถูกค้นพบ

ศ.คานูโต อธิบายว่า เทคโนโลยีไลดาร์ได้ปฏิวัติวิธีการที่นักโบราณคดีสำรวจพื้นที่ที่ปกคลุมด้วยพืชพรรณ เช่น ในเขตร้อน โดยเปิดเผยโลกของอารยธรรมที่สาบสูญ

ในช่วงแรกของอาชีพ ศ.คานูโตกล่าวว่าการสำรวจต้องทำด้วยการเดินเท้าและใช้มือสำรวจทีละนิ้วด้วยเครื่องมือพื้นฐาน แต่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การใช้เทคโนโลยีไลดาร์ในภูมิภาคเมโสอเมริกาได้สร้างแผนที่ซึ่งครอบคลุมพื้นที่มากกว่าที่นักโบราณคดีทำได้ในเวลาหนึ่งศตวรรษถึงสิบเท่า

ลุค ออลด์-โธมัส ระบุว่าผลงานของเขาชี้ให้เห็นว่ามีแหล่งโบราณคดีอีกมากมายที่นักโบราณคดียังไม่รู้จัก และจากการค้นพบแหล่งโบราณคดีใหม่จำนวนมากนี้ ทำให้การขุดค้นพวกมันทั้งหมดอาจเป็นไปไม่ได้

"ผมต้องไปที่วาเลเรียนาสักครั้ง เพราะมันอยู่ใกล้ถนนมาก จะไม่ไปได้อย่างไร แต่ผมยังบอกไม่ได้ว่าจะมีโครงการวิจัยที่นั่นหรือไม่" ออลด์-โธมัส กล่าว

"ข้อเสียของการค้นพบเมืองมายาใหม่ ๆ ในยุคของไลดาร์ก็คือ มีเมืองมากเกินกว่าที่เราจะศึกษาทั้งหมดได้" เขาเสริม

งานวิจัยนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ Antiquity







Thank to : https://www.bbc.com/thai/articles/cr7nerggml3o
จอร์จินา แรนนาร์ด : ผู้สื่อข่าววิทยาศาสตร์ | 30 ตุลาคม 2024
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ