ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: มีปีติ และ สุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ทางนี้แลหนอ..พึงเป็นทางเพื่อตรัสรู้  (อ่าน 13544 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.

ภาพที่ ๖ : ทรงบรรลุปฐมฌานตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ขณะประทับใต้ร่มหว้าในพิธีแรกนาขวัญ
ที่มา : สมุดภาพพระพุทธประวัติ ฉบับอนุรักษ์ภาพเขียนทางพระพุทธศาสนา โดย ครูเหม เวชกร


ทรงบรรลุปฐมฌานตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ขณะประทับใต้ร่มหว้าในพิธีแรกนาขวัญ

ภาพนี้เป็นตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะโคตมะมีพระชนมายุ ๗ ปี พระราชบิดาตรัสให้ขุดสระโบกขรณี ๓ สรภายในพระราชนิเวศน์ ให้เป็นที่สำราญพระทัยพระโอรส สระโบกขรณี คือ สระที่ปลูกดอกบัวประทับในสระ แล้วพระราชทานเครื่องทรง คือ จันทน์สำหรับทาผ้าโพกพระเศียร ฉลองพระองค์ผ้าทรงสะพัก พระภูษาทั้งหมดเป็นของมีชื่อมาจากเมืองกาสีทั้งนั้น

ตอนที่เห็นในภาพนี้ เป็นตอนที่เจ้าชายประทับนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ ที่ภาษาปฐมสมโพธิเรียกว่า 'ชมพูพฤกษ์' ซึ่งคนไทยเราเรียก "ต้นหว้า" นั่นเอง เหตุที่เจ้าชายมาประทับอยู่ใต้ต้นหว้าแห่งนี้ ก็เพราะพระราชบิดาทรงจัดให้มีพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ที่ทุ่งนานอกเมืองกบิลพัสดุ์ ตามพระราชประเพณี พระราชบิดาซึ่งเสด็จแรกนาด้วยพระองค์เอง หรือจะเรียกว่าทรงเป็นพระยาแรกนาเสียเองก็ได้ ได้โปรดให้เชิญเสด็จเจ้าชายไปด้วย

ภาพที่เห็นนี้อีกเหมือนกัน จะเห็นเจ้าชายประทับนั่งขัดสมาธิอยู่ลำพังพระองค์เดียว ไม่เห็นพระสหาย พระพี่เลี้ยง และมหาดเล็กอยู่เฝ้าเลย เพราะทั้งหมดไปชมพระราชพิธีแรกนากัน เจ้าชายเสด็จอยู่ลำพัง พระองค์ภายใต้ต้นหว้าที่กวีท่านพรรณาไว้ว่า 

   "กอปรด้วยสาขาแลใบ อันมีพรรณอันเขียว ประหนึ่งอินทนิลคีรี มีปริมณฑลร่มเย็ เป็นรมณียสถาน..." 

พระทัยอันบริสุทธิ์ และอย่างวิสัยผู้จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในภายหน้า ได้รับความวิเวกก็เกิดเป็สมาธิขั้นแรกที่เรียกว่า "ปฐมฌาน"


@@@@@@@

แรกนาเสร็จตอนบ่าย พระพี่เลี้ยงวิ่งมาหาเจ้าชาย ได้เห็นเงาไม้ยังอยู่ที่เดิมเหมือนเวลาเที่ยงวัน ไม่คล้อยตวงตะวันก็เกิดอัศจรรย์ใจ จึงนำความไปกราบพระเจ้าสุทโธนะให้ทรงทราบ พระราชบิดาเสด็จมาทอดพระเนตรก็เกิดความอัศจรรย์ในพระทัย แล้วก็ทรงออกพระโอษฐ์อุทานว่า

    "กาลเมื่อวันประสูติ จะให้น้อมพระองค์ลงถวายนมัสการพระกาฬเทวินดาบสนั้น ก็ทำปาฎิหาริย์ขึ้นไปยืนเบื้องบนชฎาพระดาบส อาตมก็ประณตเป็นปฐมวันทนาการครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้อาตมก็ถวายอัญชลีเป็นทุติยวันทนาการคำรบสอง"

พระเจ้าสุทโธทนะทรงไหว้พระพุทธเจ้าที่สำคัญ ๓ ครั้งด้วยกัน
     - ครั้งแรกเมื่อภายหลังประสูติที่ดาบสมาเยี่ยม เห็นท่านดาบสไหว้ก็เลยไหว้
     - ครั้งที่สอง ก็คือ ครั้งทรงเห็นปาฏิหาริย์
     - ครั้งที่สาม คือ ภายหลังพระพุทธเจ้าเสด็จออกผนวช ได้สำเร็จพระพุทธเจ้า แล้วเสด็จกลับไปโปรดพระพุทธบิดาครั้งแรก

______________________________________
ขอบคุณที่มา : https://84000.org/tipitaka/picture/f06.html




สิทธัตถะกุมารเจริญอานาปานสติกัมมัฏฐาน

เมื่อครั้งสิทธัตถะกุมารมีพระชนมายุ ๗ พรรษา พระองค์ได้โดยเสด็จพร้อมพระเจ้าสุทโทธนะพระราชบิดาในพระราชพิธีวัปปมงคล (แรกนาขวัญ) ตามพระราชประเพณี สิทธัตถะกุมารได้ประทับใต้ต้นชมพูพฤกษ์หรือต้นหว้า ครั้นถึงเวลาพระเจ้าสุทโธทนะทรงไถแรกนา บรรดาพระพี่เลี้ยงนางนมที่เฝ้าถวายบำรุงรักษาสิทธัตถะกุมารพากันออกมาดูพิธีนั้นเสียหมด คงปล่อยให้สิทธัตถะกุมารประทับ ณ ภายใต้ร่มไม้หว้าพระองค์เดียว

เมื่อสิทธัตถะกุมารเสด็จอยู่พระองค์เดียว ได้ความสงัดเป็นสุข ก็ทรงนั่งขัดสมาธิเจริญอานาปานสติกัมมัฏฐาน ยังปฐมฌานให้บังเกิด ในเวลานั้นเป็นเวลาบ่าย เงาแห่งต้นไม้ทั้งหลาย ย่อมชายไปตามแสงตะวันทั้งสิ้น แต่เงาไม้หว้านั้นดำรงทรงรูปปรากฏเป็นปริมณฑลตรงอยู่ดุจเวลาตะวันเที่ยง เป็นมหัศจรรย์ เมื่อนางนมพี่เลี้ยงทั้งหลายกลับมา เห็นปาฏิหาริย์ดังนั้นก็พลันพิศวง จึงรีบไปกราบทูลพระเจ้าสุทโธทนะ

ครั้นได้ทอดพระเนตรเห็นปาฏิหาริย์เป็นมหัศจรรย์เช่นนั้น ก็ยกพระหัตถ์ถวายอภิวันทนาการ ออกพระโอฐดำรัสว่า เมื่อวันเชิญมาให้ถวายนมัสการพระกาฬเทวิลดาบส ก็ทรงทำปาฏิหาริย์ขึ้นไปยืนบนชฏาพระดาบส อาตมะก็ประณตครั้งหนึ่งแล้ว และครั้งนี้อาตมะก็ถวายอัญชลีเป็นวาระที่สอง ตรัสแล้วให้เชิญพระกุมารเสด็จคืนเข้าพระนคร ด้วยความเบิกบานพระทัย

____________________________________________
ขอบคุณที่มา : https://www.panmai.com/สิทธัตถะกุมารเจริญอานาปานสติกัมมัฏฐาน/




วิเวกชํ ปีติสุขํ...มคฺโค โพธิยา – มรรคาแห่งโพธิญาณ

วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหริตา สิยา นุ โข เอโส มคฺโค โพธิยาติ
แปลว่า มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ทางนี้แลหนอ พึงเป็นทางเพื่อตรัสรู้


ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงได้รับนิมนต์พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ ไปเสวยภัตตาหาร ที่ปราสาทโกกนุท ของโพธิราชกุมาร ในเมืองสุงสุมารคีรี ภายหลังภัตมีการสนทนา (ม.ม.๑๓/๔๘๘/๔๔๓) เจ้าชายโพธิ กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า พระองค์มีความเห็นว่า คนจะถึงความสุข ด้วยความสุขหาได้ไม่ ความสุขต้องลุถึงได้ด้วยความทุกข์ยาก

พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า ครั้งก่อนโน้น เมื่อยังไม่ตรัสรู้ พระองค์ก็เคยคิดอย่างนั้น คือมีความเห็นว่า คนจะถึงความสุขด้วยความสุขหาได้ไม่ ความสุขต้องลุถึงได้ด้วยความทุกข์ยาก

ต่อมา พระองค์ก็ได้เสด็จออกผนวช ทรงเที่ยวค้นคว้าว่า อะไรดี จริงแท้ แสวงหาสันติวรบท และได้ทดลองลัทธิวิธีต่างๆ ตลอดจนการบําเพ็ญตบะทรมานร่างกายอย่างรุนแรงมากมาย รวมแล้วนานถึง ๖ ปี จนในที่สุดทรงสรุปได้ว่าทั้งหมดนั้นมิใช่ทางให้ลุถึงจุดหมาย และได้ตรัสแก่ พระองค์เองชัดลงไปว่า “มรรคาแห่งโพธิพึงเป็นอย่างอื่น”

@@@@@@@

เมื่อทรงละเลิกตัดความคิดในแนวทางของการทดลองที่ผ่านมาทิ้งโล่งไป ก็เกิดความนึกได้ชัดขึ้นมาในพระทัยถึงประสบการณ์ เมื่อครั้งยังทรงเป็นกุมารน้อย ในวันมีพระราชพิธีวัปปมงคล พระราชบิดาทรงประกอบพิธีแรกนา ตอนใกล้ถึงตัวพิธีสําคัญ คนทั้งหลายรวมทั้งชาววังที่ดูแลใกล้ชิด พากันไปดูอยู่ที่บริเวณพิธีทั้งหมด ทิ้งให้เจ้าชายน้อยอยู่องค์เดียวในร่มต้นหว้า เมื่อทรงนั่งอยู่ลําพังในบรรยากาศสงบสงัด ภายใต้ร่มไม้ที่เย็นสบาย จิตของพระองค์ได้สนิทแน่วเป็นสมาธิ ทรงได้ประสบการณ์ชีวิตที่จิตเข้าถึงฌานเริ่มแรก (ปฐมฌาน) ดังที่ ทรงบรรยายไว้ว่า

    "สีตายํ ชมฺพุฉายายํ นิสินฺโน วิวิจฺเจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหริตา"
    "เรานั่งอยู่ใต้ร่มไม้หว้าที่เย็นสบาย ปลอดจากกาม ปลอดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าถึงปฐมฌาน มีวิตักกะ มีวิจาร มีปิติ และสุขเกิดแต่วิเวกอยู่"


ปลอดจากกามก็อย่างที่ว่าแล้ว ใจโล่งไม่มีเรื่องของอยากของใคร่อะไรๆ มาหน่วงเหนี่ยวดึงรั้งกักกั้นจิตให้ติดข้องค้างคา ตลอดจนไม่คิดหวงห่วงกังวลว่าจะมีใครมายุ่งมาแย่ง ฯลฯ ใจก็ปลอดโปร่ง

พร้อมกันนั้น จิตก็ปลอดจากบรรดาอกุศลธรรม นอกจากไม่มัวคิดอยากได้นั่นอยากเอานี่แล้ว ก็ไม่มีความขัดเคืองขุ่นใจ ไม่หดหู่ง่วงเหงา ไม่ซึมเซาท้อแท้ ไม่ฟุ้งซ่านวุ่นวายใจ ไม่ว่าวุ้นสับสนคลางแคลง ข้องใจสงสัยลังเล(-๑) ใจจึงปลอดโปร่งโล่งเบา เบิกบานแจ่มใส

____________________________
(-๑) มีคําอธิบายว่า ที่ว่าปลอดจากอกุศลธรรมทั้งหลายนั้น คือ ปราศจากนิวรณ์ ๕ อันได้แก่ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา (วินย.อ.๑/๑๕๕)

@@@@@@@

จุดรวมของเรื่องก็คือ ทรงเข้าถึงฌาน ซึ่งรู้กันว่ามีสมาธิเป็นแกน เป็นตัวตั้ง ในกรณีนี้เป็นฌานที่ ๑ ซึ่งพร้อมด้วยปิติ และความสุข ที่เกิดจากความปลอดโปร่งโล่งเบา ไม่มีอะไรกดทับจิต ปิดบังปัญญาดังว่านั้น

เมื่อเหตุการณ์และประสบการณ์ที่ประจักษ์แก่พระองค์เองนี้ ผุดชัดขึ้นมาในพระทัย ก็ทําให้ทรงพระดําริว่า มรรคาแห่งโพธิคงจะใช้นี่ละ.! (สิยา นุ โข เอโส มคฺโค โพธิยา) และโดยความรู้ตามที่สติทวนระลึกให้ ก็ทรงมั่นพระทัยว่า ใช่แน่ อย่างนั้น

จากนั้นยังได้ทรงตรวจสอบพระองค์เองด้วยว่า ทรงมีความหวาดพระทัยกลัวความสุขที่ปลอดกาม ปลอดอกุศลธรรมอยู่หรือไม่ (ถ้ายังติดใจห่วงการบําเพ็ญตบะ ก็จะหวาดต่อการปฏิบัติที่สุขสบาย) และก็ทรงชัดแก่พระองค์เองว่า ไม่ทรงกลัวความสุขที่ปลอดโปร่งเป็นอิสระ ซึ่งไม่ต้องขึ้นต่อกาม ปลอดจากอกุศลธรรม

พระโพธิสัตว์ทรงเลิกอดอาหาร และเสวยอาหารให้ร่างกายมีกําลัง โดยดําเนินตามทางสายกลาง ทรงเข้าถึงฌานที่ ๑ ขึ้นไป จนถึงฌานที่ ๔ แล้วใช้จิตที่เป็นกัมมนีย์จากฌานนั้น ทํางานเพื่อปัญญา ได้บรรลุวิชชา ๓ ตรัสรู้ อริยสัจ ๔ สิ้นอวิชชา หมดอาสวะ ลุถึงวิมุตติ อันเป็นวิสุทธิ เกษม สันติ สุข คือนิพพาน เป็นอันถึงโพธิที่เป็นจุดหมายของมรรคา ซึ่งเรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทานั้น

__________________________________
ขอบคุณที่มา : "ชื่นชมรมณีย์ สู่สี่ภาวนา" สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต)






พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓ ภาษาบาลี อักษรไทย
พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๕ สุตฺต. ม. มชฺฌิมปณฺณาสกํ


[๕๐๕] ตสฺส มยฺหํ ราชกุมาร เอตทโหสิ อภิชานามิ โข ปนาหํ ปิตุ สกฺกสฺส กมฺมนฺเต สีตายํ ชมฺพุฉายายํ นิสินฺโน วิวิจฺเจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหริตา สิยา นุ โข เอโส มคฺโค โพธิยาติ ฯ 

ตสฺส มยฺหํ ราชกุมาร สตานุสารีวิญฺญาณํ อโหสิ เอเสว มคฺโค โพธิยาติ ฯ   

ตสฺส มยฺหํ ราชกุมาร เอตทโหสิ กินฺนุ โข อหํ ตสฺส สุขสฺส ภายามิ ยนฺตํ สุขํ อญฺญเตฺรว กาเมหิ อญฺญตฺร อกุสเลหิ ธมฺเมหีติ ฯ ตสฺส มยฺหํ ราชกุมาร เอตทโหสิ น โข อหํ ตสฺส สุขสฺส ภายามิ ยนฺตํ สุขํ อญฺญเตฺรว กาเมหิ อญฺญตฺร อกุสเลหิ ธมฺเมหีติ ฯ

{๕๐๕.๑} ตสฺส มยฺหํ ราชกุมารํ เอตทโหสิ น โข ตํ สุกรํ สุขํ อธิคนฺตุํ เอวํ อธิมตฺตกสิมานํ ปตฺตกาเยน    ยนฺนูนาหํ โอฬาริกํ อาหารํ อาหาเรยฺยํ โอทนํ กุมฺมาสนฺติ ฯ โส โข อหํ ราชกุมาร โอฬาริกํ อาหารํ อาหาเรสึ  โอทนํ กุมฺมาสํ ฯ

เตนโข ปน มํ (๑-) ราชกุมาร สมเยน ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู ปจฺจุปฏฺฐิตา โหนฺติ ยนฺโน สมโณ โคตโม ธมฺมํ   อธิคมิสฺสติ ตํ โน อาโรเจสฺสตีติ ฯ ยโต โข อหํ ราชกุมาร โอฬาริกํ อาหารํ อาหาเรสึ โอทนํ กุมฺมาสํ อถ เม เต ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู นิพฺพิชฺช ปกฺกมึสุ พาหุลฺลิโก สมโณ โคตโม ปธานวิพฺภนฺโต อาวตฺโต พาหุลฺลายาติ (๒-) ฯ

______________________________
@ เชิงอรรถ : (๑-) สี. เม ฯ ,(๒-) สี. พาหุลฺยาย ฯ

{๕๐๕.๒} โส โข อหํ ราชกุมาร โอฬาริกํ อาหารํ อาหาเรตฺวา พลํ คาเหตฺวา วิวิจฺเจว กาเมหิ ฯเปฯ
             ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหาสึ ฯ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา ฯเปฯ   
             ทุติยํ ฌานํ ...
             ตติยํ ฌานํ ...
             จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหาสึ ฯ

____________________________________
ที่มา : https://84000.org/tipitaka/read/pali_item_s.php?book=13&item=505&items=1

@@@@@@@

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๕ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์

กลับเสวยพระกระยาหารหยาบ

[๕๐๕] ดูกรราชกุมาร อาตมภาพได้มีความคิดเห็นว่า เราจำได้อยู่ เมื่องานวัปปมงคลของท้าวศากยะผู้พระบิดา เรานั่งอยู่ที่ร่มไม้หว้าอันเยือกเย็น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ทางนี้แลหนอ พึงเป็นทางเพื่อตรัสรู้.

อาตมภาพได้มีความรู้สึกอันแล่นไปตามสติว่าทางนี้แหละ เป็นทางเพื่อตรัสรู้.

อาตมภาพได้มีความคิดเห็นว่า เราจะกลัวแต่สุขซึ่งเป็นสุขเว้นจากกาม เว้นจากอกุศลธรรมหรือ. และมีความคิดเห็นต่อไปว่า เราไม่กลัวแต่สุขซึ่งเป็นสุขเว้นจากกาม เว้นจากอกุศลธรรมละ. การที่บุคคลผู้มีกายผอมเหลือเกินอย่างนี้ จะถึงความสุขนั้น ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงบริโภค อาหารหยาบ คือข้าวสุก ขนมสดเถิด. อาตมภาพจึงบริโภคอาหารหยาบ คือข้าวสุก ขนมสด.

ก็สมัยนั้น ปัญจวัคคีย์ภิกษุ บำรุงอาตมภาพอยู่ด้วยหวังว่า พระสมณโคดมจักบรรลุธรรมใด ก็จักบอกธรรมนั้นแก่เราทั้งหลาย. นับแต่อาตมภาพบริโภคอาหารหยาบคือข้าวสุก ขนมสด. ปัญจวัคคีย์ภิกษุก็พากันเบื่อหน่ายจากอาตมภาพหลีกไปด้วยความเข้าใจว่า พระสมณโคดมเป็นผู้มักมาก คลายความเพียรเวียนมาเพื่อความเป็นผู้มักมากไปเสียแล้ว.

     ครั้นอาตมภาพบริโภคอาหารหยาบมีกำลังขึ้นแล้ว ก็สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย บรรลุปฐมฌาน มีวิตกมีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่.
     บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขผู้ได้ฌานเกิดแต่สมาธิอยู่.           
     มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ และเสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ตติยฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข.         
     บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่.

__________________________________
ที่มา : https://84000.org/tipitaka/read/byitem_s.php?book=13&item=505&items=1&modeTY=2
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 21, 2024, 08:44:26 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ