.
"สันโดษ" กับ การบริโภคปัจจัย ๔ ของสงฆ์เป็นที่ทราบกันดีว่า ชุมชนสงฆ์เป็นชุมชนพิเศษที่พระพุทธเจ้าทรงตั้งขึ้นมา เพื่อรองรับบุคคลจากทุกชนชั้นวรรณะที่สละบ้านเรือนออกบวช เพื่อหวังการเข้าถึงเป้าหมายสูงสุดของชีวิต เป็นชุมชนของผู้มีอุดมการณ์ชีวิตอย่างเดียวกัน คือ การสละความสุขทางวัตถุ (สามิสสุข) เพื่อมาค้นหาความสุขที่ประณีตขึ้นไป หรือความสุขที่เป็นอิสระจากวัตถุ (นิรามิสสุข) และเป็นชุมชนของผู้ไม่มีการประกอบอาชีพ และไม่ครอบครองทรัพย์สมบัติ
การออกแบบชุมชนในลักษณะอย่างนี้ มองผิวเผินเหมือนต้องการจะให้เป็นสังคมปิดหรือสังคมที่ตัดขาดจากโลกภายนอก แต่ความจริงแล้ว หาเป็นเช่นนั้นไม่ จุดที่ผู้เขียนมองว่า เป็นช่องทางที่พระพุทธเจ้าเปิดเอาไว้เพื่อให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนสงฆ์กับชุมชนภายนอก คือ การกำหนดไม่ให้พระสงฆ์ประกอบอาชีพ และครอบครองทรัพย์สมบัติ นี้คือ การจงใจที่จะให้พระสงฆ์ฝากชีวิตในเรื่องปัจจัย ๔ ไว้กับชาวบ้าน
นี้คือ ช่องทางที่เปิดไว้เพื่อให้มีการสื่อสารกันและการพึ่งพาอาศัยกัน ระหว่างชุมชน ๒ ชุมชน โดยแต่ละชุมชนต่างก็เป็นทั้งผู้ให้และผู้รับในเวลาเดียวกัน กล่าวคือ ชุมชนฆราวาสเป็นผู้ให้ปัจจัย ๔ และเป็นผู้รับหลักธรรมคำสอนจากชุมชนสงฆ์ ในส่วนชุมชนสงฆ์ก็เป็นผู้ให้หลักธรรมคำสอนและเป็นผู้รับปัจจัย ๔ จากชุมชนฆราวาสเช่นเดียวกัน เรียกง่าย ๆ เป็นระบบความสัมพันธ์ระหว่างการให้ “ทาน” (อามิสทาน) กับการให้ “ธรรม” (ธรรมทาน)
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองในแง่ชุมชนสงฆ์ในฐานะผู้เข้าไปสัมพันธ์กับชุมชนฆราวาสในด้านปัจจัย ๔ และมองในแง่การบริหารจัดการปัจจัย ๔ ภายในชุมชนสงฆ์เอง ผู้เขียนมองว่า หลักธรรมที่จะรักษาความสัมพันธ์ให้ราบรื่นมากที่สุด คือ “สันโดษ” เพราะสันโดษ คือ จิตสำนึกร่วมหรือสมณสัญญาของนักบวชทุกคน ที่ได้สลัดออกจากโลกแห่งวัตถุมาสู่โลกนามธรรม คุณค่าของการเสพบริโภควัตถุเพื่อหาความสุข จึงแทบจะไม่มีความหมายเลยในสายตาของนักบวช
@@@@@@@
ดังนั้น วาทะที่เรามักจะได้ยินบ่อย ๆ เช่น การพึ่งพาปัจจัย ๔ ของพระภิกษุเหมือนกับ การใช้น้ำมันหล่อรื่นหยอดเพลาเกวียนเพื่อให้เกวียนวิ่งไปได้สะดวก หรือการเข้าไปขอปัจจัย ๔ จากชาวบ้าน ให้ทำเหมือนกับการที่แมลงผึ้งไปดูดน้ำหวานจากดอกไม้ โดยไม่ทำให้กลีบและเกสรดอกไม้ชอกช้ำ
หรือ พุทธพจน์ที่ตรัสเตือนภิกษุผู้อยู่ป่าว่า
“ควรเป็นผู้สันโดษ เลี้ยงง่าย มีกิจน้อย มีความประพฤติเบา มีอินทรีย์สงบ มีปัญญารักษาตน ไม่คะนอง ไม่ยึดติดในตระกูลทั้งหลาย”
พึงสังเกตว่า เวลาที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงสันโดษ ส่วนมากจะตรัสในบริบทที่สัมพันธ์กับการเข้าไปเกี่ยวข้องกับชุมชนฆราวาสทั้งสิ้น หรือหลักการพิจารณาอาหารบิณฑบาตก่อนบริโภคที่ว่า
ท่านพระโคดมพระองค์นั้น เสวยพระกระยาหาร ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ คือ
(๑) ไม่เสวยเพื่อเล่น
(๒) ไม่เสวยเพื่อมัวเมา
(๓) ไม่เสวยเพื่อประดับ
(๔) ไม่เสวยเพื่อตกแต่ง
(๕) เสวยเพื่อดำรงพระวรกายนี้ไว้
(๖) เสวยเพื่อยังพระชนม์ให้เป็นไปได้
(๗) เสวยเพื่อป้องกันความลำบาก
(๘) เสวยเพื่อทรงอนุเคราะห์พรหมจรรย์
ด้วยทรงพระดำริว่า
“เพียงเท่านี้เราก็จักกำจัดเวทนาเก่า จักไม่ให้เวทนาใหม่เกิดขึ้น ร่างกายของเราจักดำเนินไปสะดวก ไม่มีโทษ และอยู่สำราญ”
หลักการบริโภคทั้ง ๘ ประการนี้ แม้จะเน้นการบริโภคเพื่อเกื้อกูล หรือเพื่ออนุเคราะห์แก่การประพฤติพรหมจรรย์ ซึ่งอาจจะทำให้มองไม่เห็นมิติทางสังคมเด่นชัดเท่าที่ควร แต่ก็ถือว่ามีเจตนารมณ์ทางสังคมแทรกอยู่ในนั้น โดยเฉพาะ ๔ ข้อแรก คือ ไม่ให้บริโภคเพื่อเล่น เพื่อมัวเมาเพื่อประดับ และเพื่อตกแต่ง
โดยความหมาย ก็คือ การห้ามไม่ให้ชุมชนสงฆ์ยึดเอาวัตถุนิยม หรือบริโภคนิยมเป็นจุดหมายในตัวของมันเอง หากแต่ให้อาศัยในฐานะเป็นเครื่องมือหรือเป็นวิถีทางเท่านั้น
แน่นอนว่า เมื่อชุมชนสงฆ์มีอุดมการณ์ในการเกี่ยวข้องกับปัจจัย ๔ อย่างนี้ หลักสันโดษจึงเป็นสำนึกร่วมหรือสมณสัญญาอย่างหนึ่งของชุมชน นักบวชจึงจะช่วยพยุงให้อุดมการณ์แบบนี้ดำรงอยู่ได้
ระบบความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนสงฆ์กับชุมชนฆราวาส ที่ตั้งอยู่บนฐานของการบริโภคปัจจัย ๔ ดังจะเห็นได้จาก
หลักความชอบธรรมในการบริโภค ๔ อย่าง คือ
๑) เถยยบริโภค การบริโภคอย่างขโมย ได้แก่ การบริโภคของภิกษุผู้ทุศีล มีคุณสมบัติไม่สมควรกับเพศหรือภาวะของตน มีเพียงเครื่องนุ่งห่มและอาการภายนอกที่เป็นเครื่องหมายของนักบวชเท่านั้น การบริโภคปัจจัย ๔ ของชาวโลกของภิกษุประเภทนี้ จึงเป็นเหมือนการขโมยหรือ แอบลักเขากิน เพราะไม่มีความชอบธรรมในการบริโภคเลย
๒) อิณบริโภค การบริโภคอย่างเป็นหนี้ ได้แก่ การบริโภคของภิกษุผู้มีศีล แต่บริโภคโดยไม่ได้พิจารณา เช่น ฉันอาหารไม่พิจารณาว่า เราฉันเพียงเพื่อให้ร่างกายดำรงอยู่ได้ ยังชีวิตให้เป็นไปได้ ให้มีสภาพเกื้อหนุนแก่การปฏิบัติธรรม มิใช่ฉันเพื่อโก้เก๋ สนุกมัวเมา ติดในรส เป็นต้น เรียกว่าเป็นการบริโภคอย่างขาดจิตสำนึกในเป้าหมายของการบริโภค
๓) ทายัชชบริโภค การบริโภคอย่างทายาท ได้แก่ การบริโภคของพระอริยบุคคลประเภทต้น ๆ ที่ยังเข้าไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ ถือว่าเป็นผู้มีสิทธิในการบริโภคโดยชอบธรรม ในฐานะเป็นทายาทของพระพุทธเจ้า แต่ก็ถือว่า ยังไม่มีความชอบธรรมอย่างเต็มที่ เพราะยังมีภาระต่อการที่จะพัฒนาตนต่อไป เหมือนทายาทที่บริโภคสมบัติของวงศ์ตระกูล ถือว่าเป็นผู้มีสิทธิโดยชอบธรรมในฐานะเป็นทายาท แต่ก็ยังไม่ได้ครอบครองสมบัตินั้นอย่างเต็มที่
๔) สามิบริโภค การบริโภคอย่างเป็นเจ้าของ ได้แก่ การบริโภคของพระอรหันต์ ซึ่งเป็นผู้พ้นจากการเป็นทาสของตัณหาแล้ว เป็นผู้มีคุณความดีสมควรแก่ของที่เขาถวายอย่างแท้จริง ในสิทธิสมบูรณ์ในการรับและบริโภคปัจจัย ๔ อย่างแท้จริง
จะเห็นว่า สำนึกอย่างหนึ่งในการบริโภคปัจจัย ๔ ของพระสงฆ์ที่พ่วงมากับสันโดษ คือ สำนึกในเรื่องความชอบธรรมในการบริโภค ภิกษุจะมีความชอบธรรมในการบริโภคปัจจัย ๔ ของชาวโลกมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับว่า มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมมากน้อยเพียงไร นี้คือ สำนึกอย่างหนึ่งที่ภิกษุจะต้องเตือนตนอยู่เสมอในการบริโภค
@@@@@@@
เป็นอันว่า การตั้งชุมชนสงฆ์โดยให้พึ่งพาปัจจัย ๔ จากชุมชนฆราวาสนั้น นับว่าเป็นการวางเงื่อนไขที่มีความซับซ้อนและลึกซึ้งมาก ไม่ได้มีความหมายในมิติของการบริโภคเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นการเปิดช่องทางให้มีการสื่อสาร การแลกเปลี่ยน และการพึ่งพาอาศัยกันระหว่างชุมชน ๒ ชุมชนอย่างแยบยลที่สุด คือ เป็นระบบความสัมพันธ์ที่มีแกนกลางอยู่ที่สำนึกในเรื่องคุณธรรม กล่าวคือ การรับปัจจัย ๔ ของพระสงฆ์ ก็ไม่ได้รับด้วยความรู้สึกที่จะหาความสุขจากการเสพวัตถุ หากแต่รับด้วยสำนึกในเรื่องสันโดษและพันธสัญญาในการที่จะพัฒนาตนให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อให้มีความชอบธรรมต่อการที่จะบริโภคปัจจัยของเขา
ในขณะเดียวกัน การให้ทานของชาวบ้านก็ไม่ได้ให้เพราะถูกบังคับหรือให้ด้วยความจำใจ หากแต่ให้ด้วยสำนึกในเรื่องการบริจาคหรือการเสียสละ เพื่อบูชาคุณของบุคคลผู้มีคุณธรรมและมีอุดมการณ์ในการสละโลก เพื่อค้นหาคุณค่าสูงสุดของชีวิต
ดังที่ ท่านพระธรรมปิฎกได้กล่าวไว้ว่า
"ชุมชน(สงฆ์) แลกเอาความเป็นอิสระของตน ด้วยการไม่เข้ายุ่งเกี่ยวกับผลประโยชน์ต่าง ๆ ในสังคม และไม่วุ่นกับสถาบันต่าง ๆ ที่กำหนดกันไว้ของสังคมนั้นโดยตรง ชุมชนนี้มีระบบความเป็นอยู่ของตนเอง ที่อาศัยความมีจิตใจอิสระเป็นพื้นฐาน และเกื้อกูลแก่สังคม ด้วยการดำรงสืบทอดธรรมให้แก่สังคม และด้วยระบบชีวิตที่เป็นอิสระนั้น สมาชิกของชุมชนนี้ไม่รับเอาผลประโยชน์ตอบแทนการทำงานของตน เป็นอยู่เพียงด้วยทักขิณาอันเกิดจากการเจียดส่วนอุทิศบูชาธรรมของคนในสังคมใหญ่ ในรูปที่เรียกว่า บิณฑบาต เป็นต้น
โดยไม่ทำให้เกิดความกระทบกระเทือน แก่ความเป็นอยู่หรือชีวิตประจำวันของเขา เป็นเหมือนหมู่ผึ้งที่เที่ยวสัญจรไปเก็บรวบรวมเกษรและน้ำหวานนานาพรรณไม้มา ทำน้ำผึ้งและสร้างรังของตน โดยไม่ทำให้ดอกไม้ชอกซ้ำ แม้แต่สีและกลิ่นก็ไม่ให้เสื่อมเสีย พร้อมกันนั้น ก็ช่วยให้พืชพรรณต่าง ๆ เจริญงอกงามขยายพันธุ์แพร่หลายออกไป
สมาชิกของชุมชน คือ สงฆ์นี้ อาศัยผู้อื่นเป็นอยู่ จึงมีพันธะโดยธรรมและจึงเป็นอิสระที่จะประพฤติประโยชน์สุขของคนทั่วไป ชีวิตของท่านจึงขึ้นต่อทุกคน แต่ไม่ขึ้นต่อใครเลย ท่านอาศัยทุกคน จึงเป็นของทุก ๆ คน แต่ไม่เป็นของใครเลย"
@@@@@@@
จากข้อเสนอ ๕ ประการของพระเทวทัต ๕ ประการ ที่ว่า
๑) ให้ภิกษุอยู่ป่าตลอดชีวิต ห้ามเข้าบ้าน
๒) ให้เที่ยวบิณฑบาตตลอดชีวิต ห้ามรับกิจนิมนต์
๓) ให้ถือผ้าบังสุกุลตลอดชีวิต ห้ามรับผ้าที่คหบดีถวาย
๔) ให้อยู่โคนต้นไม้ตลอดชีวิต ห้ามอยู่ในที่มุงบัง
๕) ห้ามฉันปลาและเนื้อตลอดชีวิต
ถ้ามองแบบผิวเผิน อาจจะเห็นว่าเป็นข้อเสนอที่ดี เพราะเป็นการส่งเสริมให้ภิกษุถือเคร่งครัด ดังจะเห็นได้ว่า มีภิกษุใหม่ถึง ๕๐๐ รูป ให้การสนับสนุนแนวคิดของพระเทวทัต แต่ทำไมพระพุทธเจ้าถึงไม่ยอมรับข้อเสนอเหล่านี้ หลายคนอาจจะให้เหตุผลว่า เพราะเป็นข้อเสนอที่ตึงเกินไป ยากต่อการนำไปปฏิบัติ หรือ เพราะพระเทวทัตมีแผนที่จะสร้างศรัทธา แล้วยึดตำแหน่งพระศาสดาจากพระพุทธเจ้า
ผู้เขียนคิดว่า เหตุผลเหล่านี้พอฟังได้ แต่เหตุผลเบื้องลึกที่เราไม่ควรมองข้าม คือ ข้อเสนอทั้ง ๕ ข้อเหล่านี้ ล้วนเป็นข้อเสนอที่ขัดต่อระบบความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนสงฆ์กับชุมชนฆราวาสที่พระพุทธเจ้าออกแบบไว้ทั้งสิ้น เช่น การให้อยู่ป่าตลอดชีวิต ห้ามเข้าบ้าน หรือให้ถือผ้าบังสุกุลตลอดชีวิต ห้ามรับผ้าที่เขาถวาย เป็นต้น
สมมติว่า ชุมชนสงฆ์ยึดถือตามนี้อะไรจะเกิดขึ้น แน่นอนว่า ระบบความสัมพันธ์แบบเกื้อกูลกันจะต้องสิ้นสุดลง ชุมชนสงฆ์จะกลายเป็นชุมชนปิดที่ตัดขาดจากโลกภายนอก และชุมชนฆราวาสจะไม่ได้ประโยชน์ในเชิงคุณธรรมจากผู้นำทางจิตวิญญาณขอขอบคุณ :-
ภาพจาก : pinterest
ที่มา : สารนิพนธ์ เรื่อง "สันโดษกับความรับผิดชอบต่อสังคม" โดย พระมหาสมบูรณ์ วุฑฺฒิกโร,ดร คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย