« เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2025, 08:22:25 am »
0
.
มส. ออกโรงเข้ม จัดระเบียบคณะสงฆ์ เจ้าคณะทุกระดับต้องดูแลอย่างใกล้ชิดและสม่ำเสมอมส. ออกโรงเข้ม จัดระเบียบคณะสงฆ์ ผู้ต้องอาบัติปาราชิกพ้นสภาพทันที – เจ้าคณะทุกระดับต้องเร่งตรวจสอบ ดูแล กำกับพฤติกรรมของพระภิกษุในปกครองอย่างใกล้ชิดและสม่ำเสมอ
เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 13 กรกฎาคม 2568 ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้เป็นการประชุมคณะมหาเถรสมาคมร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งเป็นการประชุมตามกำหนด โดยปกติจะประชุมทุกวันที่ 10, 20 และ 30 ของทุกเดือน แต่วันนี้เลื่อนประชุมมาจากวันที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา เพราะตรงกับวันอาสาฬหบูชา ซึ่งปกติจะมีคณะกรรมการมหาเถรสมาคม 21 รูปเข้าร่วม โดยต้องมีองค์ประชุมเกินกึ่งหนึ่งถึงจะประชุมได้ ส่วนการประชุมในวันนี้เป็นการประชุมในวาระทั่วไป รวมถึงกรณีของพระผู้ใหญ่ที่เป็นข่าว โดยมีพระชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นคณะกรรมการฯ มาร่วมประชุมด้วย โดยใช้เวลาประชุมนานกว่า 1 ชั่วโมงครึ่ง
หลังประชุมเสร็จ นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) พร้อมด้วย รศ.ดร.ชัชพล ไชยพร รักษาราชการแทน ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม ได้แถลงข่าวถึงแนวทางดำเนินการ กรณีพระภิกษุกระทำผิดและถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดพระธรรมวินัย ประเภทครุกาบัติ
@@@@@@@
รศ.ดร.ชัชพล กล่าวว่า โดยการประชุมเถรสมาคม วาระพิเศษ ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2568 ที่ประชุมมีมติดังนี้
1. มหาเถรสมาคมน้อมรับพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชให้ดำเนินการโดยเร่งด่วน โดยมหาเถรสมาคมและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐที่มีข้อมูลและพยานหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิดของภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง
ทั้งนี้ มหาเถรสมาคมมีหน้าที่ธำรงรักษาพระธรรมวินัยและจริยาของคณะสงฆ์ หากความปรากฏว่ารูปใดต้องอาบัติปาราชิก ถือว่าสิ้นสุดความเป็นพระภิกษุทางวินัย และต้องสละสมณเพศตามกฎหมายโดยทันที ส่วนในกรณีที่แม้อาบัติยังไม่ถึงขั้นปาราชิก แต่มีความร้ายแรงรองลงมา เช่น อาบัติสังฆาทิเสสทั้ง 23 ข้อ หากผู้ต้องอาบัตินั้นดำรงตำแหน่งเจ้าคณะพระสังฆาธิการ หรือเป็นผู้ได้รับสมณศักดิ์ เมื่อความปรากฏ หรือกระบวนการนิคหากรรมพิสูจน์แล้วว่าต้องอาบัติดังกล่าว แม้จะยังคงสถานะภิกษุอยู่ ก็ถือว่าเสื่อมเสียอย่างร้ายแรง มหาเถรสมาคมจะดำเนินการปลดจากตำแหน่งเจ้าคณะพระสังฆาธิการทุกรูป และจะมีมติขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตถอดสมณศักดิ์ต่อไป
2. ในระยะเร่งด่วนเฉพาะหน้า เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ตั้งแต่ระดับเจ้าคณะใหญ่จนถึงเจ้าอาวาส ตลอดจนพระวินยาธิการ ต้องสำนึกในหน้าที่และทำตามหน้าที่ให้สมกับตำแหน่งที่ดำรงอยู่ โดยให้เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ทุกระดับดำเนินการตรวจสอบ ดูแล และกำกับพฤติกรรมของพระภิกษุในปกครองอย่างใกล้ชิดและสม่ำเสมอ ตามพระธรรมวินัย กฎหมาย กฎระเบียบ คำสั่ง มติคณะสงฆ์ และพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช หากปรากฏพฤติกรรมที่อาจเข้าข่ายละเมิดพระธรรมวินัย ให้เร่งดำเนินการสอบสวนตามกฎมหาเถรสมาคมโดยมิชักช้า แล้วรายงานต่อมหาเถรสมาคมโดยเร็ว
3. นโยบายกรณีพระภิกษุถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดพระธรรมวินัยประเภทครุกาบัติ ดังนี้
3.1 กรณีพระภิกษุกระทำความผิดทางพระธรรมวินัย หากปรากฏว่ามีมูลหรือเข้าข่ายละเมิดพระวินัย ให้เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ตามลำดับชั้นออกคำสั่งพักการปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน เพื่อประโยชน์แก่การดำเนินการตามพระธรรมวินัยและกฎหมาย และเป็นหน้าที่ของมหาเถรสมาคมและพระสังฆาธิการ ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 24-27 โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะเป็นผู้รับผิดชอบในการประสานงานและสนับสนุนการดำเนินการตามกฎหมายดังกล่าว
3.2 ให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ที่มิใช่เจ้าคณะพระสังฆาธิการ ตำแหน่งหน้าที่ปกครอง หรือมิใช่เจ้าพนักงานตามกฎหมายว่าด้วยกิจการพระพุทธศาสนาและการคณะสงฆ์ แต่พบเห็นพยานหลักฐาน หรือพฤติการณ์ กรณีพระภิกษุกระทำความผิดทางพระธรรมวินัย และมีกุศลเจตนาต่อการปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ เข้าบูรณาการความร่วมมือกับเจ้าคณะพระสังฆาธิการ พระวินยาธิการ และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อจักได้ดำเนินการตามขั้นตอนทางพระธรรมวินัย กฎหมาย และกฎมหาเถรสมาคม
3.3 ในกรณีที่ยังไม่มีคำพิพากษา การลงโทษตามกระบวนการนิคหกรรม หรือหลักฐานยืนยันความผิดอย่างชัดเจน ทั้งตามกฎหมายบ้านเมืองและพระธรรมวินัย พึงระมัดระวังการให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชน และสาธารณชน ด้วยเหตุที่ผู้ถูกกล่าวหาย่อมถูกสันนิษฐานว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจะต้องคำพิพากษา หรือคำตัดสินว่ากระทำความผิด
@@@@@@@
4. ให้เร่งปรับปรุงกลไกการทำงานเชิงบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นไปอย่างเข้มงวด รวดเร็ว รอบคอบ และรัดกุม โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติต้องทำหน้าที่เป็นหน่วยประสานหลัก ระหว่างคณะสงฆ์ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับพระภิกษุผู้ถูกกล่าวหาชอบด้วยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติทำหน้าที่รับเรื่องราว ประมวลข้อมูล ข้อเท็จจริง พร้อมเสนอแนวทางการดำเนินการต่อมหาเถรสมาคม เพื่อประกอบดำริในการตรากฎหมาย กฎระเบียบ ออกคำสั่ง หรือมีมติ หรือนำความกราบทูลสมเด็จพระสังฆราช เพื่อขอประทานพระวินิจฉัย
5. กระบวนการทั้งปวงต้องจัดลำดับความสำคัญของการตรากฎหมาย กฎระเบียบ ออกคำสั่งหรือมีมติ ตามหลักความสำคัญเชิงนโยบาย ดังนี้
5.1 หลักพระธรรมวินัย ซึ่งเป็นหลักการสูงสุดสำหรับวินิจฉัยกรณีพระภิกษุผู้กระทำละเมิดพระวินัย
5.2 หลักความยุติธรรม ปราศจากอคติ รอบคอบ รัดกุม รวดเร็ว เป็นอิสระ คำนึงถึงสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
5.3 หลักการปกครองคณะสงฆ์ตามพระธรรมวินัย กฎหมาย กฎระเบียบ คำสั่ง และมติโดยชอบ โดยเจ้าคณะพระสังฆาธิการ ผู้ปกครองคณะสงฆ์ตามลำดับ สิ้นสุดที่มหาเถรสมาคม และพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช
ทั้งนี้ การปกครองบังคับบัญชาคณะสงฆ์ต้องกระทำโดยผู้มีอำนาจตามพระธรรมวินัย และกฎหมายเท่านั้น
5.4 หลักการบังคับใช้พระธรรมวินัย กฎหมาย กฎ ระเบียบ คำสั่ง และมติ อันเป็นส่วนปกครองคณะสงฆ์ อย่างเข้มงวด จริงจังต่อผู้ละเมิดพระวินัย โดยได้ดุลยภาพกับการปกป้อง คุ้มครองผู้บริสุทธิ์ หรือผู้ถูกสันนิษฐานว่ายังบริสุทธิ์ มิให้ได้รับผลร้ายจากกระบวนการอันมิชอบด้วยพระธรรมวินัย กฎหมาย กฎ ระเบียบ คำสั่ง และมติคณะสงฆ์ อีกทั้งความเสียหายจากกระแสข้อมูลข่าวสารอันคลาดเคลื่อน
6. แนวทางการทบทวนและปรับปรุงกฎระเบียบของคณะสงฆ์ว่าด้วยการกระทำผิดพระธรรมวินัยประเภทครุกาบัติ
มหาเถรสมาคมเห็นควรขอประทานพระวินิจฉัยสมเด็จพระสังฆราช มีพระบัญชาโปรดให้แต่งตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อคุ้มครองพระพุทธศาสนาขึ้นคณะหนึ่ง โดยมีหน้าที่ศึกษาและทบทวนกฎมหาเถรสมาคมที่เกี่ยวข้องกับนิคหกรรม อำนาจตามกฎหมายของพระสังฆาธิการ พระวินยาธิการ และข้าราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
ขั้นตอนการสืบสวนสอบสวน แนวทางการสื่อสารกับสาธารณชน และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของพระภิกษุผู้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา หรือถูกสันนิษฐานว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์ รวมถึงแนวทางบูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ปัจจุบัน โดยไม่ขัดต่อพระธรรมวินัยThank to :
https://www.thairath.co.th/news/local/287018413 ก.ค. 2568 , 18:29 น. | ข่าว > ทั่วไทย > ไทยรัฐออนไลน์