ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: “ไขปริศนากลุ่มปราสาทตาเมือน” ร่องรอยแห่งศรัทธาบนเส้นทางความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา  (อ่าน 74 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29390
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.

ปราสาทตาเมือนธม (ภาพจาก มติชนออนไลน์, 2 กรกฎาคม 2568)


“ไขปริศนากลุ่มปราสาทตาเมือน” ร่องรอยแห่งศรัทธาบนเส้นทางความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา

กลุ่มปราสาทตาเมือนเป็นโบราณสถานที่อยู่บนหน้าสื่อและเป็นที่กล่าวถึงอย่างมาก ตั้งแต่ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาปะทุขึ้น เนื่องจากตั้งอยู่บริเวณช่องเขาตาเมือน (ตาเมียง) จุดเชื่อมต่อระหว่างดินแดนเขมรสูงกับเขมรต่ำ ซึ่งมีแนวเทือกเขาพนมดงรักเป็นปราการธรรมชาติ ปราสาทกลุ่มนี้จึงตั้งอยู่บนเส้นทางคมนาคมสำคัญแต่โบราณ โดยมีบทบาทหน้าที่ของตนเองอย่างชัดเจน

เรื่องนี้มีการอธิบายไว้ในรายการ ไขความรู้จากครูกรมศิลป์ ตอน “ไขปริศนากลุ่มปราสาทตาเมือน” มี นายทศพร ศรีสมาน ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา เป็นวิทยาการ ดำเนินรายการโดย นายสิทธิพร บุปผา นักวิชาการเผยแพร่ กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมศิลปากร เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2568



ปราสาทตาเมือนธม (ภาพจาก กรมศิลปากร)


รู้จักกลุ่มปราสาทตาเมือน

ผอ. ทศพร เผยว่า กลุ่มปราสาทตาเมือน เป็นกลุ่มปราสาทใกล้แนวชายแดนไทย-กัมพูชา อยู่ที่บ้านหนองคันนา ต. ตาเมียง อ. พนมดงรัก จ. สุรินทร์ มีอยู่ด้วยกัน 3 หลัง ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือน

ในกลุ่มปราสาทดังกล่าว ปราสาทตาเมือนธม มีขนาดใหญ่ที่สุด (ธม แปลว่า ใหญ่) เป็นศิลปะเขมรโบราณ เป็นเทวสถานที่สร้างถวายองค์พระศิวะ ในศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกาย บนเส้นทางโบราณของคนในอดีต เชื่อว่าใช้ช่องตาเมือนเพื่อการสัญจรมาแล้วหลายร้อยปี หรือเป็นพันปี

กรมศิลปากรเข้าไปศึกษาและสำรวจปราสาทตาเมือนธมและประกาศขึ้นทะเบียนตั้งแต่ พ.ศ. 2478 หลังจากช่วง พ.ศ. 2503-2504 อาจารย์มานิต วัลลิโภดม ได้ไปสำรวจพร้อมบันทึกภาพ-จัดทำแผนผังต่าง ๆ ไว้ เป็นการดำเนินการในช่วงแรก

หลักฐานโบราณคดีบริเวณปราสาทตาเมือนธมคือ ร่องรอยจารึกด้วยอักษรปัลลวะ เรียกว่า “จารึกตาเมือนธม 1” มีอายุระหว่างพุทธศตวรรษ 12-13 สลักอยู่บนแผ่นหินธรรมชาติ ต่อมาเป็นหลักฐานในช่วงพุทธศตวรรษที่ 15-16 จากอิทธิพลดินแดนเขมรต่ำที่แผ่เข้ามาในบริเวณดังกล่าว ซึ่งตัวปราสาทที่เราเห็นในปัจจุบันก็สร้างขึ้นในช่วงนั้น

ความสำคัญของปราสาทตาเมือนธม คือเป็นปราสาทที่สร้างคร่อมอยู่บนแนวพะลานหิน ปราสาทองค์ประธานซึ่งปกติจะมีศิวลึงค์ประดิษฐานตามคติไศวนิกายเป็นศิวลึงค์ธรรมชาติ เรียก “สวยัมภูลึงค์” คือดัดแปลงหินธรรมชาติทำเป็นตัวลึงค์นั่นเอง

ลักษณะโดยทั่วไป ตัวปราสาทหันหน้าลงทิศใต้ มีบันไดลงพื้นที่ราบด้านล่าง ประกอบด้วยปราสาทประธาน โคปุระ มณฑป มุขกระสัน ภายในอาคารนอกจากสวยัมภูลึงค์แล้วจะมีประติมากรรมรูปโคนนทิหมอบหันหน้าไปหาศิวลึงค์ เป็นสิ่งยืนยันว่าเป็นเทวสถานของพระศิวะ ข้าง ๆ กันมีอาคารบรรณาลัย และปราสาทเล็ก ๆ อีก 2 หลัง สร้างขนาบกัน

@@@@@@@

ปราสาทตาเมือนโต๊ด คือปราสาทอีกหลังที่อยู่ลึกเข้ามาในดินแดนประเทศไทย และกรมศิลปากรขึ้นทะเบียนโบราณสถานพร้อมกันกับตาเหมือนธม แต่จะมีขนาดเล็กกว่า (โต๊ด แปลว่า เล็ก) รูปแบบอาคารเป็น “อโรคยาศาล” หรือสถานพยาบาล สร้างขึ้นในสมัย พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (พุทธศตวรรษที่ 18) ด้วยสถาปัตยกรรมแบบเดียวกันกับอโรคยาศาลอีก 30 กว่าแห่งที่พบในประเทศไทย

ปราสาทตาเมือนโต๊ดเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเส้นทางราชมรรคา เพื่อเชื่อมโยงดินแดนต่าง ๆ ในพระราชอำนาจของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ดังมีจารึกว่าทรงสร้างอโรคยาศาลถึง 102 แห่งทั่วราชอาณาจักรในสมัยของพระองค์ ซึ่งปราสาทตาเมือนโต๊ดถือเป็นอโรคยาศาลหลังแรก (ในดินแดนที่ปัจจุบันคือไทย) ที่เชื่อมเมืองพระนครกับเมืองพิมาย



ปราสาทตาเมือนโต๊ด ศาสนสถานประจำอโรคยศาล สร้างโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7


สุดท้ายคือ ปราสาทตาเมือน หลังที่อยู่ลึกสุดในดินแดนไทย เป็นโบราณสถานที่เรียกว่า “วหนิคฤหะ” หรือบ้านมีไฟ สร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เช่นกัน มีจารึกเล่าเรื่องเส้นทางราชมรรคาพร้อมพระราชบัญชาให้สร้างบ้านมีไฟจากเมืองพระนครมายังพิมาย 17 หลัง โดยพบในไทย 9 หลัง กัมพูชาอีก 8 หลัง ปราสาทตาเมือนเป็นบ้านมีไฟหลังแรกในดินแดนไทยอีกเช่นกัน และกรมศิลปากรดำเนินการขุดแต่งบูรณะไปบ้างแล้ว

บทบาทหน้าที่ในฐานะ วหนิคฤหะ ของปราสาทตาเมือนคือเป็นศาสนสถานประจำที่พักคนเดินทาง หรือจุดพักแรมนั่นเอง โดยตัวอาคารจะมีช่องหน้าต่างให้คนเดินทางสังเกตเห็นแสงไฟที่ส่องสว่างอยู่ข้างใน



ปราสาทตาเมือน ศาสนสถานประจำที่พักคนเดินทาง


เนื่องจากสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ผู้ทรงนับถือพุทธศาสนานิกายมหายาน และพบโบราณวัตถุเนื่องในมหายาน เช่น ประติมากรรมพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ปราสาทตาเมือนโต๊ดกับตาเมือนจึงถือเป็นพุทธสถานพุทธมหายานเหมือนกัน แต่มีหน้าที่ต่างกัน

งานบูรณะโดยกรมศิลปากร

ผอ. ทศพร เล่าว่า ตั้งแต่ประกาศขึ้นทะเบียนปราสาทเหล่านี้เป็นโบราณสถานเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2478 และ อ. มานิต พร้อมด้วย อ. จำรัส เกียรติก้อง เข้ามาสำรวจตรวจสอบแล้วบันทึกข้อมูลไว้ ถือเป็นแม่แบบที่เป็นประโยชน์ต่อทีมบูรณะที่เข้ามาทำงานในรุ่นหลัง ๆ เป็นอย่างมาก

หลังจากทางกองทัพภาค 2 ทำถนนเข้าไปถึงพื้นที่ของกลุ่มปราสาท จึงเกิดโครงการเพื่อเตรียมศึกษา ขุดแต่ง และสำรวจ ปราสาทกลุ่มข้างต้น โดยสำนักศิลปากรที่ 6 นครราชสีมา (ปัจจุบันคือสำนักศิลปากรที่ 10) เมื่อ พ.ศ. 2532 และเริ่มขุดแต่งอย่างจริงจังใน พ.ศ. 2534

อย่างไรก็ตาม พ.ศ. 2544 ได้เกิดปัญหาชายแดนขึ้น จึงมีคำสั่งให้หยุดการทำงานจนกว่าจะมีความชัดเจน ซึ่งระหว่างนั้นสำนักศิลปากรก็พัฒนาไปหลายส่วนแล้วแต่ยังไม่สมบูรณ์ สภาพตัวปราสาทและบริเวณโดยรอบที่เราเห็นในปัจจุบันจึงเป็นผลจากการที่กรมศิลปากรบูรณะไปบ้างแล้วนั่นเอง

@@@@@@@

ผอ. ทศพร เผยด้วยว่า งานของสำนักศิลปากรที่ 10 ในปีนี้ (2568) ยังมีโครงการสำคัญ ๆ อีกหลายโครงการ เช่น การขุดค้นแหล่งโบราณคดี “โนนพลล้าน” ซึ่งจะพิสูจน์ความเก่าแก่ของชุมชนโบราณในเขตเมืองนครราชสีมา งานบูรณะและพัฒนาโบราณสถาน “พระนอน” ที่วัดธรรมจักรเสมาราม อ. สูงเนิน จ. นครราชสีมา

รวมไปถึงโครงการอนุรักษ์โบราณสถาน “ปราสาทบ้านบุใหญ่” อ. สูงเนิน จ. นครราชสีมา ที่กรมศิลปากรตั้งใจจะพัฒนาทักษะนายช่างในกำกับด้วยการใช้วิธี “อนัสตีโลซิส” เพื่อบูรณะปราสาทผ่านโครงการดังกล่าวด้วย

ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา ทิ้งท้ายว่า สำหรับโบราณวัตถุต่าง ๆ ที่พบจากกลุ่มปราสาทตาเมือน เช่น จารึก รูปเคารพ หรือชิ้นส่วนประดับตัวสถาปัตยกรรม ส่วนใหญ่เก็บรวบรวมไว้ที่พิพัธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดสุรินทร์ สามารถไปเยี่ยมชมกันได้

อ่านเพิ่มเติม :-

    • ปราสาทตาเมือนธม จ. สุรินทร์ อายุเกือบ 1,000 ปี แหล่งอุดมจารึกแห่งอีสานใต้
    • ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควาย
    • ตามรอย “ราชมรรคา” ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มหาราชองค์สุดท้ายแห่งกรุงยโสธรปุระ






ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 7 สิงหาคม พ.ศ.2568
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 7 สิงหาคม 2568
website : https://www.silpa-mag.com/history/article_156649
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 08, 2025, 09:34:22 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ