ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: การพิสูจน์อัตลักษณ์พระสมเด็จฯ  (อ่าน 81 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29474
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
การพิสูจน์อัตลักษณ์พระสมเด็จฯ
« เมื่อ: ตุลาคม 04, 2025, 08:54:56 am »
0
.



การพิสูจน์อัตลักษณ์พระสมเด็จฯ

การพิสูจน์อัตลักษณ์พระสมเด็จฯ นั้นเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากในกระบวนการพิสูจน์พระสมเด็จฯตามหลักการพิสูจน์หลักฐาน โดยเมื่อสามารถกำหนดอัตลักษณ์ (ลักษณะเฉพาะตัว) จากพระสมเด็จฯองค์ต้นแบบหรือองค์ครูได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการพิสูจน์อัตลักษณ์พระสมเด็จฯ

อัตลักษณ์ของพระสมเด็จฯนั้นหมายถึง ลักษณะเฉพาะตัวของพระสมเด็จฯซึ่งเป็นลักษณะที่มีในพระสมเด็จฯแท้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม คุณลักษณะบางอย่างของพระสมเด็จฯที่ถึงแม้จะยังไม่สามารถกำหนดให้เป็นอัตลักษณ์ของพระสมเด็จฯได้ (คือไม่ได้มีปรากฏในพระสมเด็จฯแท้เท่านั้น อาจพบในพระชนิดอื่นด้วยแต่ไม่มากนัก)

แต่เมื่อพิจารณาประกอบกับข้อมูลสนับสนุนที่น่าเชื่อถือแล้วพบว่ามี “คุณค่าในทางการพิสูจน์สูงเพียงพอ” (คือช่วยบอกความแท้ของพระสมเด็จฯได้ระดับหนึ่ง) ก็ควรที่จะนำมาเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์ฯด้วยเช่นกัน เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในองค์พระสมเด็จฯที่ได้รับการพิสูจน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบางองค์ที่เมื่อตรวจพิสูจน์แล้วไม่ปรากฏความสอดคล้องกับอัตลักษณ์ที่ชัดเจนนัก


@@@@@@@

องค์ประกอบสำคัญในขั้นตอนการพิสูจน์อัตลักษณ์พระสมเด็จฯ

“ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตนำเสนอองค์ประกอบสำคัญ 3 อย่าง ที่ใช้ในการพิสูจน์อัตลักษณ์พระสมเด็จฯ คือ วิธีการพิสูจน์ เครื่องมือที่ใช้ในการพิสูจน์ และ ผู้พิสูจน์ (ที่ต้องมีองค์ความรู้ในเรื่องพระสมเด็จฯรวมถึงเรื่องวิธีการและเครื่องมือที่ใช้ในการพิสูจน์เป็นอย่างดี) ปัจจัยสำคัญที่นำมากำหนดว่าจะใช้วิธีการพิสูจน์แบบใด โดยอุปกรณ์ชนิดไหนนั้น ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งที่กำลังพิสูจน์นั้นคืออะไร เป็นอัตลักษณ์ (ลักษณะเฉพาะตัวของพระสมเด็จฯ) แบบใด หรือเป็นคุณลักษณะบางอย่างที่อาจไม่ถึงกับเป็นอัตลักษณ์ (แต่มีคุณค่าในทางการพิสูจน์หลักฐานสูงเพียงพอ) แบบไหน

ในการพิสูจน์พระสมเด็จฯนั้น จะต้องมีการพิจารณาถึงอัตลักษณ์หรือคุณลักษณะอื่นๆหลายด้านประกอบกัน เช่นพิมพ์ทรง เนื้อหามวลสาร ธรรมชาติความเก่า และอาจมีด้านอื่นๆอีกที่สามารถนำมาประกอบการพิจารณาได้ด้วยเช่นกัน รวมถึงจะต้องมีการใช้หลักการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน เข้ามาช่วยในการตัดสินใจ เพื่อให้ได้ข้อสรุปในระดับที่น่าเชื่อถือตามหลักการพิสูจน์หลักฐาน

ตรียัมปวาย ได้พูดถึงวิธีการและเครื่องมือ ที่ใช้ในการวิเคราะห์พิสูจน์พระสมเด็จฯไว้หลายอย่างด้วยกันในหนังสือปริอรรถาธิบาย เล่มที่ 1 โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับ การทดสอบเนื้อพระสมเด็จฯ โดย “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตสรุปความบางส่วนที่น่าสนใจมานำเสนอเพื่อประโยชน์ในทางการศึกษาดังต่อไปนี้

@@@@@@@

การทดสอบความละเอียดของเนื้อพระ - เมื่อใช้แว่นขยายกำลังประมาณ 10 เท่า จะสามารถเห็นเมล็ดผงวิเศษวรรณะหม่น และอนุภาคของเกสรดอกไม้ ฯลฯ ซึ่งประกอบด้วยวรรณะต่างๆกัน ถ้าจัดมุมแสงให้เหมาะ ถ้าเป็นพระที่มีทรายเงินทรายทองจะปรากฏทอแสงเป็นประกายระยิบระยับเล่นกับแสงสว่าง (ของปลอมจะเห็นเมล็ดแร่ เมล็ดทราย ผงเกสรดอกไม้ ลักษณะเป็นเส้นคล้ายเศษยาฉุนวรรณะน้ำตาลไหม้แกมม่วงหรือเมล็ดผงวรรณะขาว ขนาดย่อมเยามาก ฯลฯ คละเคล้าเต็มเนื้อไปหมด หรือเป็นผิวพระขาวๆเป็นเกล็ดย่อมๆทำนองเนื้อตกกระ)

การทดสอบความนุ่ม - เมื่อมองด้วยตาปกติ เนื้อที่นุ่มจัดๆสายตาจะซึมซับความนุ่มได้ สำหรับเนื้อนุ่มที่มีผิวมันเพราะผ่านการใช้มาพอสมควร หรือเนื้อที่ผ่านการลงรักเก่าน้ำเกลี้ยงมาก่อน เมื่อรักล่อนออกหมด ไม่ปรากฏฝ้านวลแป้งโรยพิมพ์และไม่ปรากฏการแตกลายงา (เนื้อหนึกนุ่มมักจะไม่เกิดการแตกลายงา) ซึ่งหมายความว่า เป็นเนื้อหนึกนุ่มจัดและยังมีเชื้อน้ำมันตังอิ๊วหรือน้ำมันจันทน์เหลือตกค้างอยู่ในเนื้อ

เนื้อนุ่มจัดทั้ง 2 ลักษณะนี้ การลูบสัมผัสด้วยปลายนิ้วมือ จะสามารถสัมผัสความนุ่มของเนื้อได้ชัดเจน และเมื่อใช้กรรมวิธีความแห้งบริสุทธิ์ (การกำจัดความชื้นหรือน้ำมันและการสรงน้ำพระ) เนื้อพระที่นุ่มจัดๆ (เช่นเนื้อเกสรดอกไม้ เนื้อกระแจะจันทน์) จะปรากฏสีขาวนวลๆ หรือ แป้งโรยพิมพ์ ส่วนเนื้อที่มีความแกร่งสูงๆ (เช่นเนื้อปูนแกร่ง เนื้อขนมตุ้บตั้บ) จะไม่เกิดฝ้านวลผิวแป้งโรยพิมพ์ (ของปลอมที่ผ่านการใช้สัมผัส เสียดสีกับเนื้อถูกเหงื่อนานปี จะนุ่มนวลขึ้นคล้ายของจริง แต่ยังมีลักษณะเป็นเนื้อเปียกหรือมีความใหม่สดหลงเหลืออยู่)

การทดสอบความแกร่ง – เมื่อใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วกลางจับขอบพระทั้งสองข้าง ขยับพระให้สูงกว่าแผ่นหินอ่อน 2-3 มิลลิเมตรแล้วปล่อยลงให้กระทบ จะมีเสียงดัง “กริ๊กๆ” พร้อมกับการพริ้วไหวตัวของพระ มีความสดใสกังวาน และหนักแน่น เป็นคลื่นเสียงสูงและเข้มจัด พระจะพริ้วไหวทันกับจังหวะขยับที่เร็วถี่ขึ้น (ของปลอม จะเป็นเสียง “แป๊กๆ” หรือมีลักษณะฟ่ามๆ ทึบๆ แสดงว่าเนื้อยังขาดความแกร่งหรือยังไม่ยุบตัวแน่นสนิท การพริ้วไหวตัวมีน้อยมาก ไม่สามารถขยับให้เร็วถี่ขึ้นตามความต้องการได้)

ตรียัมปวาย บอกด้วยว่าการทดสอบแบบนี้ เป็นการใช้ผัสสะทั้งสาม คือโสตสัมผัส (หูฟังเสียง) จักษุสัมผัส (ตาดูความพลิ้วไหว) และโผฏฐัพพสัมผัส (การขยับพระบนหินอ่อน) มีผลต่อการพิจารณาพระสมเด็จฯที่แน่นอนที่สุด ถ้าหากใช้ประกอบกันอย่างใกล้ชิดกับหลักการอื่นๆ

ตรียัมปวายบอกด้วยว่า เนื้อของวัดบางขุนพรหมที่ไม่ผุกร่อนหรือฟ่ามฝ่อจะมีเสียงกระทบใส กังวาน และความพริ้วไหวถี่กว่าเนื้อของวัดระฆังฯ แต่ความหนักแน่นของเสียงน้อยกว่า ประเภทเนื้อหนึกนุ่มจัดๆ จะมีเสียงหนักแน่นและเข้มจัดแต่ความสดใสมีน้อย ส่วนพระสกุลสมเด็จฯ ซึ่งมีอายุการสร้างใกล้เคียงพระสมเด็จฯ จะมีเสียงกระทบและความพริ้วไหวระดับต่ำกว่าพระสมเด็จฯเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นรุ่นใหม่ๆจะมีเสียงกระทบและความพริ้วไหวกระเดียดมาทางของปลอม

การทดสอบความหนึก - ตรียัมปวายอธิบายว่า ความหนึกไม่ปรากฏลักษณะของตัวเองเป็นเอกเทศ ไม่อาจทดสอบได้โดยตรง แต่อาจใช้การเปรียบเทียบจากผลการทดสอบความนุ่มและความแกร่ง ดังที่กล่าวมาข้างต้น (อย่างไรก็ตาม ลักษณะของความหนึกอาจสามารถ เปรียบเทียบจากการมองด้วยสายตาไปยัง หินสามชนิด คือ เนื้อหินสีเขียว หินอ่อน และหินปูน โดยบอกว่า เนื้อหินอ่อนจะมีความหนึกกว่าเนื้อหินอีก 2 ชนิด โดยเนื้อหินสีเขียวจะแกร่งเกินไป และหินปูนก็หนึกนุ่มเกินไป)





นอกจากนี้ ตรียัมปวาย ยังได้อธิบายถึงการทดสอบลักษณะของเนื้อพระสมเด็จฯแบบอื่นอีกด้วย ประกอบด้วย การทดสอบทรายเงินทรายทอง (ใช้การมองผ่านแว่นขยาย) แป้งโรยพิมพ์ (ทดสอบโดยกรรมวิธีแห้งบริสุทธิ์ โดยการกำจัดความชื้นหรือน้ำมันและการสรงน้ำพระ) การลงทองร่องชาดเก่า (ใช้สายตาสังเกตลักษณะของทองเก่าชาดเก่า) การลงรักเก่าทองเก่า (ใช้สายตาสังเกตลักษณะของรักเก่าทองเก่า โดยรักมีสองประเภทคือรักเก่าน้ำเกลี้ยงจะต้องมีทองเก่าฉาบอยู่ข้างหน้าเสมอ และรักเก่าน้ำดำ

ตรียัมปวายบอกด้วยว่า รักเก่าทองเก่ามีเฉพาะของวัดระฆังฯ ส่วนของบางขุนพรหม มีเฉพาะทองเก่าหรือทองกรุเท่านั้น) การแตกลายงา (ใช้สายตาสังเกต และการสัมผัสด้วยปลายนิ้ว) การแตกลายสังคโลก (ใช้สายตาสังเกต และการสัมผัสด้วยปลายนิ้ว) ความฉ่ำ (เป็นการใช้สายตาพิจารณาเงาสว่างซึ่งทำให้เกิดขึ้นด้วยกรรมวิธีเสริมความฉ่ำและเงาสว่าง และการสัมผัสด้วยปลายนิ้ว)

อาจารย์ประกิต หลิมสกุล หรือพลายชุมพล แห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เคยบอกว่า นักเลงพระสมเด็จฯสมัยก่อน จะใช้เงาสว่างในพระที่มีความฉ่ำ เป็นตัวชี้วัดพระแท้ ความซึ้ง (ใช้การพิจารณาด้วยสายตา ใช้ความรู้สึกที่เกิดจากประสบการณ์)

เมื่อเสร็จสิ้นการตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์พระสมเด็จฯแล้ว ข้อมูลที่ได้นั้นจะนำไปสู่ขั้นตอนสำคัญอีกขั้นตอนหนึ่ง คือขั้นตอนการรับรองพระสมเด็จฯว่าเป็นพระสมเด็จฯแท้ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตหรือไม่ ซึ่งจะต้องมีการนำ “หลักการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน” มาประกอบการพิจารณาด้วย โดย “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” จะขออนุญาตนำเสนอรายละเอียดในโอกาสที่เหมาะสมต่อไป

@@@@@@@

บทสรุป

ในปัจจุบันมีการนำเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์หลายอย่างเพื่อใช้วิเคราะห์พิสูจน์องค์พระ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจ อย่างไรก็ตามอัตลักษณ์ หรือคุณลักษณะหลายๆอย่างของพระสมเด็จฯนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่มีเทคโนโลยีสูงหรือราคาแพงมาวิเคราะห์ สามารถใช้เครื่องมือธรรมดาๆเช่นกล้องที่มีกำลังขยายต่ำๆบวกกับประสบการณ์ความชำนาญของผู้วิเคราะห์ก็สามารถวิเคราะห์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ชนิดนั้นๆไม่ว่าจะถูกหรือแพง ถูกใช้ไปในการวิเคราะห์หรือพิสูจน์อะไร ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์นั้น มีคุณค่าในทางการพิสูจน์หลักฐานแค่ไหน ถ้าไม่มีหรือมีน้อยก็แทบจะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการวิเคราะห์ด้วยเครื่องมือชนิดนั้น อุปมาเหมือนการตรวจธนบัตร ว่าเป็นของแท้หรือของปลอม ซึ่งต้องรู้ด้วยว่าสิ่งที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวหรืออัตลักษณ์ของธนบัตรนั้นคืออะไร

การตรวจหาอัตลักษณ์บางอย่างเช่นลายน้ำของธนบัตร (กรณีที่ของปลอมยังไม่สามารถทำเลียนแบบได้) โดยใช้กล้องขยายกำลังไม่สูงนักเพื่อดูว่าสอดคล้องกับที่ปรากฏในธนบัตรของจริงหรือไม่ ย่อมเป็นการตรวจพิสูจน์ที่บอกว่าเป็นของแท้หรือของปลอมได้ ในทางกลับกัน ถ้าใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่มีเทคโนโลยีและราคาสูงเพื่อตรวจลักษณะบางอย่างของธนบัตรที่ข้อมูลที่ได้จากการตรวจพิสูจน์ ไม่ได้บอกถึงความแตกต่างกันระหว่างธนบัตรแท้กับธนบัตรปลอม การตรวจสอบนั้นก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย

@@@@@@@

ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่เพจ พระสมเด็จศาสตร์ โดย พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ และขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่กรุณาเอื้อเฟื้อรูป พระสมเด็จวัดระฆังฯ องค์ครูอีกองค์หนึ่ง เพื่อให้ความรู้ และขอขอบคุณท่านเจ้าของพระท่านปัจจุบัน

พระองค์นี้เป็นพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ใหญ่ ที่มีความงดงามมาก มีเนื้อหนึกนุ่ม มีคราบรักเก่าหลุดล่อนหลงเหลือให้เห็นตามร่องหลุมทั้งบริเวณด้านหน้าและด้านหลังองค์พระ ไม่ปรากฏการแตกลายงาเนื่องจากเป็นเนื้อหนึกนุ่ม เนื้อค่อนข้างมีความซึ้งฉ่ำ มีคราบน้ำปูนเป็นแผ่นสีขาวคล้ายแป้งโรยพิมพ์ปรากฏเป็นหย่อมตามผิวด้านหน้า มีวรรณะขาวอมเหลือง

มีองค์ประกอบพระสมเด็จฯแท้ ทั้ง 3 อย่างปรากฏให้เห็น คือเม็ดพระธาตุ รอยหนอนด้น และรอยรูพรุนเข็ม พิมพ์ทรงถูกต้องตามตำรา ตัดขอบชิดด้านซ้ายมือองค์พระทำให้ไม่เห็นเส้นกรอบแม่พิมพ์ ด้านหลังเป็นแบบหลังเรียบ มีรอยยุบย่นแยก รอยริ้วระแหงให้เห็น มีขอบปริกระเทาะ (รอยปูไต่) ให้เห็นทั้งสี่ด้าน แสดงให้เห็นถึงธรรมชาติความเก่า ซึ่งมักพบในพระสมเด็จวัดระฆังฯ เป็นองค์ต้นแบบที่ดีเพื่อใช้ในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระสมเด็จวัดระฆังฯ ติดตามอ่านบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่คอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ

ผู้เขียน พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ อดีตตำรวจพิสูจน์หลักฐาน
เพจเฟซบุ๊ก – พระสมเด็จศาสตร์




Thank to : https://www.thairath.co.th/lifestyle/amulet/2886285
1 ต.ค. 2568 11:10 น. | ไลฟ์สไตล์ > พระเครื่อง > ไทยรัฐออนไลน์
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ