ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พระพุทธบาทตากผ้า จ.ลำพูน  (อ่าน 4590 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออนไลน์ ออนไลน์
  • กระทู้: 29335
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
พระพุทธบาทตากผ้า จ.ลำพูน
« เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2011, 12:03:04 pm »
0

พระพุทธบาทตากผ้า จ.ลำพูน

มณฑปประดิษฐานรอยพระพุทธบาทอยู่บนเนินเขาสูง ที่วัดพระพุทธบาทตากผ้า อ.ป่าซาง จ.ลำพูน (ภาพจาก www.flickr.com/photos/doiboipete)

คมชัดลึก :จ.ลำพูน มีงานประเพณีสรงน้ำพระพุทธบาทตากผ้า ต.มะกอก อ.ป่าซาง ระหว่างวันที่ 1-31
พฤษภาคม 2554


 พระพุทธบาทตากผ้า อยู่บนเนินสูง ในวัดพระพุทธบาทตากผ้า ตั้งอยู่ระหว่างดอยม่อนช้างกับดอยเครือ นับถือกันว่าเป็นรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าที่มาประทับไว้ตรงบริเวณที่นำผ้าจีวรมาตาก มีรอยตารางบนผาหินที่เชื่อว่าคือรอยตากผ้าจีวรพระพุทธเจ้า

ตำนานเล่าว่า ครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จมาสู่ดินแดนสุวรรณภูมิ หลังจาริกและประทับพระบาทในที่ต่างๆ แล้ว เมื่อเสด็จมาถึงบนลานผาลาด (คือบริเวณที่ตั้งวัดพระพุทธบาทตากผ้าปัจจุบัน) สถานที่ที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยจะประดิษฐานปาทเจดีย์ จึงทรงหยุดพักผ่อน แล้วให้พระอานนท์นำเอาจีวรไปตากบนผาลาดใกล้กับที่ประทับ หลังจากนั้นทรงอธิษฐานเหยียบพระบาทประดิษฐานรอยไว้บนผาลาดนี้ และตรัสทำนายว่าสถานที่แห่งนี้จะปรากฏชื่อว่า “พระพุทธบาทตากผ้า”

 ความศรัทธาของผู้คนต่อรอยพระพุทธบาทแห่งนี้ คงสืบจากความเชื่อดั้งเดิมในการนับถือลักษณะภูมิประเทศทางธรรมชาติที่สูง เช่น ภูเขา เนินเขา โขดหิน เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพราะใกล้ชิดเบื้องบน มีในอุษาคเนย์มาอย่างน้อยราว 3,000 ปีมาแล้ว ก่อนรับพุทธศาสนา

 การที่คนให้ความสำคัญแก่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ แลเห็นโครงสร้างความคิดของกลุ่มคนในท้องถิ่นที่สัมพันธ์กับลักษณะภูมิประเทศทางธรรมชาติ และสิ่งที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติ ความสัมพันธ์กันทั้งสามอย่างนี้เป็นสิ่งที่ตอบสนองการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ ทั้งในมิติทางสังคมและจิตวิญญาณ (ศรีศักร วัลลิโภดม อธิบายไว้ในบทความเรื่อง “ภูเขาศักดิ์สิทธิ์กับความเป็นสากล” ในวารสาร เมืองโบราณ ปีที่ 25 ฉบับที่ 3 (กรกฎาคม-กันยายน 2542))


 พระพุทธบาทตากผ้า นับเป็นตัวอย่างของความศักดิ์สิทธิ์ดั้งเดิมครั้งนับถือศาสนาผี ผูกเข้ากับศาสนาใหม่ สะท้อนผ่านตำนานประเพณีพิธีกรรมของคนอยู่จนทุกวันนี้
         
"เรือนอินทร์ หน้าพระลาน"

ที่มา  http://www.komchadluek.net/detail/20110520/98016/พระพุทธบาทตากผ้าจ.ลำพูน.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออนไลน์ ออนไลน์
  • กระทู้: 29335
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
วัดพระพุทธบาทตากผ้า ต.มะกอก อ.ป่าซาง จ.ลำพูน
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2011, 12:15:40 pm »
0
วัดพระพุทธบาทตากผ้า

เป็นวัดที่มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมเยอะมากในช่วงเทศกาลปีใหม่ครับ ตั้งอยู่ที่ ต.มะกอก อ.ป่าซาง จ.ลำพูน

บริเวณหน้าวัด

บริเวณวัดก็มีสภาพเป็นผาลาด มีพื้นดินส่วนใหญ่เป็นหินศิลาแลง มีเจดีย์อยู่ด้านหลังวัด ซึ่งเจดีย์ตั้งอยู่บนภูเขา มีทางเดินเป็นบันไดนาคขึ้นไป ประมาณ 400 กว่าขั้น หรือถ้าใครขึ้นไม่ไหวก็สามารถนำรถขึ้นไปได้ครับ ซึ่งด้านบนภูเขาจะมีเจดีย์ มีวิหารที่สวยงาม จิตรกรรมฝาผนังภายในวิหารเขียนบอกเรื่องราวความเป็นมาของจังหวัดลำพูน

อุโบสถที่มีรอยพระพุทธบาท

ตามตำนานที่บอกกล่าวกันมาว่า พระพุทธเจ้าทรงอธิฐานประทับรอบพระบาท ณ สถานที่แห่งนี้ เพื่อเป็นที่สักการะบูชาของพุทธบริษัททั้งหลาย หลังจากนั้นทรงพักผ่อนอิริยาบถและรับสั่งให้พระอานนท์นำจีวรของพระองค์ไปซัก และตากไว้บริเวณผาลาดใกล้ๆบริเวณที่ประทับ ซึ่งปรากฏเป็นรูปรอบตารางคล้ายๆ รอยจีวรบนแผ่นศิลา ลักษณะของรอยตากผ้าจีวร เป็นรูปตารางสี่เหลี่ยมผืนผ้า คล้ายผืนนาของชาวมคธ อินเดียเพราะมีการนำลักษณะของผืนนามาเป็นตัวอย่างในกาตัดเย็บจีวร

รอยตากผ้า

ป้ายอธิบาย


ในบริเวณวัดครับ นอกจากนี้ก็มีถ้ำฤาษีอยู่ใต้พื้นดินมีลักษณะเป็นถ้ำเล็กๆครับ

ถ้ำฤาษี

ลักษณะของถ้ำจะเป็นลักษณะตัวยู U เป็นถ้ำไม่ใหญ่ครับ มีรูปปั้นฤาษีอยู่ด้วย ส่วนเรื่องประวัติ ความเป็นมาหรือเรื่องราวผมไม่ทราบนะครับ ต่อไปก็จะพาไปดูรอยเท้าของพระพุทธเจ้าซึ่งได้ทรงประทับไว้ ซึ่งพระสงฆ์และทายกทายิกา อ.ป่าซางร่วมกันสร้างวิหารครอบอุโมงค์พระพุทธบาทอีกชั้นหนึ่งและครูบาศรี วิชัย (ครูบาศีลธรรม)ได้เป็นประธานสร้างวิหารจตุรมุขแทนหลังเก่าที่ชำรุด ในปี พ.ศ.2472 ภายในวิหารก็จะมีรอยพระพุทธบาท

ภายในวิหารครับ

รอยพระพุทธบาท

หลวงพี่หล้า บอกว่าเกิดจากการตั้งอธิษฐานจิตของพระพุทธเจ้า เพื่อให้เป็นรอยเท้าที่ใหญ่ ครับ

อีกมุมของพระพุทธบาท

พระสังคจาร์ย

อีกมุมหนึ่ง ครับ

ที่มา  http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=471.0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 22, 2011, 12:23:14 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออนไลน์ ออนไลน์
  • กระทู้: 29335
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: พระพุทธบาทตากผ้า จ.ลำพูน
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2011, 12:22:44 pm »
0


พระสุพรหมยานเถร (พรหมา พรหมจักโก)
วัดพระพุทธบาทตากผ้า จ.ลำพูน


ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย
ครูบามีนามเดิมว่า พรหมา พิมสาร ถือกำเนิดเมื่อวันอังคารที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๑ ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๐ (เดือน ๑๒ เหนือ ปีจอ พ.ศ. ๒๔๔๑) ณ บ้านป่าแพ่ง อ.ป่าซาง จ.ลำพูน (ป่าซางปัจจุบัน) เป็นบุตรของคุณพ่อเป็ง และคุณแม่บัวถา มีพี่น้องร่วมกัน ๑๓ คน โดยท่านเป็นคนที่ ๗ โดยพี่น้องของครูบาต่อมาได้บวชเป็นพระตลอดชีวิตจำนวน ๓ ท่าน ได้แก่ พี่ชายคนที่ ๖ ของท่านคือ พระสุธรรมยานเถร (ครูบาอินทรจักรรักษา) และ น้องชายคนที่ ๘ คือ พระครูสุนทรคัมภีรญาณ (ครูบาคัมภีระ วัดดอยน้อย)

บิดามารดาเป็นผู้มีฐานะพอมีอันจะกิน มีอาชีพทำนา ทำสวน ประกอบสัมมาอาชีวะ ไม่มีการยิงนกตกปลา ไม่เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ และไม่มีการเลี้ยงหมูขาย มีความขยันถี่ถ้วนในการงาน ปกครองลูกหลานโดยยุติธรรม ไม่มีอคติ หนักแน่นในการกุศล ไปนอนวัดรักษาศีลอุโบสถเป็นประจำทุกวันพระ บิดาท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ได้ถึงแก่กรรมในสมณเพศเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๔ อายุ ๙๐ ส่วนมารดาของท่านได้นุ่งขาวรักษาอุโบสถศีลทุกวันพระตลอดอายุได้ถึงแก่กรรม เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๗ อายุ ๗๐

เมื่อเด็กชายพรหมาวัยพอสมควรได้ช่วยพ่อแม่ทำงาน งานประจำคือตักน้ำ ตำข้าว ปัดกวาดทำความสะอาดบ้านเรือนเป็นการตอบแทนบุญคุณของบิดามารดาเท่าที่พอจะทำ ได้ตามวิสัยของเด็ก ครูบาพรหมมาได้เรียนหนังสืออักษรลานนาและไทยกลางที่บ้านจากพี่ชายที่ได้บวช เรียนแล้วได้สึกออกไป เพราะสมัยนั้นตามชนบทยังไม่มีโรงเรียนสอนกันอย่างปัจจุบันแม้แต่กระดาษจะ เขียนก็หายาก ผู้สอนคือพี่ชายก็มีงานมาก ไม่ค่อยได้อยู่สอนเป็นประจำ จึงเป็นการยากแก่การเล่าเรียน อาศัยความตั้งใจและความอดทนเป็นกำลังจึงพออ่านออกเขียนได้

ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา
เมื่ออายุ ๑๕ ปี ครูบาได้ขอบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดป่าเหียง ตำบลแม่แรง อำเภอปากบ่วง (ป่าซางในปัจจุบัน) จ.ลำพูน โดยมีเจ้าอธิการแก้ว ขัตติโย เป็นพระอุปัชฌาย์ และเมื่ออายุครบบวช จึงได้ทำการอุปสมบท ณ วัดป่าเหียง เมื่อวันที่ ๑๖ ม.ค. ๒๔๖๑ เจ้าอธิการแก้ว ขัตติโย (ครูบาขัตติยะ) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ฮอน โพธิโก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์สม สุวินโท เป็นพระอนุสาวนาจารย์ได้รับฉายาว่า"พรหมจักโก" ซึ่งท่านได้หมั่นศึกษาเล่าเรียน และได้สอบผ่านนักธรรมในปี พ.ศ.๒๔๖๒

ลุถึงอายุ ๒๔ พรรษาที่ ๔ วันอังคารที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๔ เดือนเพ็ญ ๘ (เดือน ๑๐ทางหนือ) ซึ่งเป็นวันเข้าพรรษา ครูบาพรหมาได้ตัดสนใจกราบลาพระอุปัชฌาย์ โยมพ่อ โยมแม่ พร้อมทั้งญาติพี่น้องเพื่อออกไปอยู่ป่าบำเพ็ญสมณธรรม เมื่อเดินทางออกจากวัด ท่านได้มุ่งตรงสู่ดอยน้อย ซึ่งตั้งอยู่ฝากแม่น้ำปิง เขต อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ระยะทางประมาณ ๑๒ กิโลเมตร มีสามเณรอุ่นเรือน (ต่อมาเป็นพระอธิการอุ่นเรือน โพธิโก วัดบ้านหวาย) ติดตามไปด้วย วันต่อมาก็มีท่านพระครูพิทักษ์พลธรรม (ครูบาหวัน วัดป่าเหียง) ได้กรุณาติดตามไปอีกท่าหนึ่ง โดยได้พักจำพรรษาอยู่ในศาลาเก่าคนละหลัง บำเพ็ญสมณธรรมได้รับความอุปถัมภ์จากญาติโยมที่อยู่แถวนั้นเป็นอย่างดี

พอออกพรรษาท่านครูบาพร้อมคณะที่ติดตามได้พากันเดินทางกลับมาคาราวะพระ อุปัชฌาย์ พักอยู่ ๓ คืนก็ได้กราบลาท่านพระอุปัชฌาย์เพื่อเดินทางสู่ป่า พอได้เวลาประมาณตี ๓ ก็ถือเอาบาตร จีวรกับหนังสือ ๒-๓ เล่ม พร้อมทั้งกาน้ำและผ้ากรองน้ำและออกเดินทางเข้าสู่ป่า เพื่อแสวงหา ความสงบ บำเพ็ญสมณธรรมให้เต็มความสามารถน้อมจิตไปในทางปฏิบัติ

ครูบาท่านออกธุดงค์ ไปตามป่าเขาเกือบทุกจังหวัดในภาคเหนือ เดินทางเข้าไปเขตพม่าและจำพรรษาอยู่ในเขตพม่าเป็นเวลานาน ๕ ปี หรือตามหมู่บ้านกระเหรี่ยงชาวเขา จนท่านครูบาสามารถพูดภาษากระเหรี่ยงได้เป็นอย่างดี

เมื่อคราวจำพรรษาอยู่ในที่ต่างๆ ท่านถือธุดงค์วัตร อยู่ป่าเป็นวัตร ออกบิณฑบาตเป็นกิจวัตร ฉันภัตตาหารวันละ ๑ มื้อ นุ่งห่มผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ภายหลังจากที่ท่านครูบาพรหมาได้ออกจาริกธุดงค์ไปตามป่า ตามนิคมต่างๆ หลายแห่งเป็นเวลา ๒๐ พรรษา ท่านได้ต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคได้รับความสุข ความทุกข์ ความลำบาก บางครั้งไม่ได้ฉันท์ภัตตาหาร ๑-๒ วัน ท่านเพียรพยายามอดทนด้วยวัตรปฏิบัติอันเคร่งครัดที่สุด

หลังจากที่ท่านได้เดินธุดงค์ไปตามป่าและตามนิคมหลายที่หลายแห่งเป็นเวลา นานหลายสิบปี ได้รับความสุข ความทุกข์ทรมาน ได้ผ่านประสบการณ์มามากต่อมากแล้ว ท่านก็ได้มาพักอยู่วัดป่าหนองเจดีย์ ตำบลท่าตุ้ม อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ซึ่งเป็นวัดร้างมาหลายร้อยปี ตามคำนิมนต์ของครูบาอาจารย์ญาติโยม ได้มาประจำอยู่ที่นั้น ๔ พรรษา หลังจากนั้นก็ได้ย้ายมาอยู่วัดพระพุทธบาทตากผ้า อันเป็นปูชนียสถานสำคัญแห่งหนึ่งในจังหวัดลำพูน ซึ่งเป็นวัดร้างมาตั้งพันกว่าปีได้ อยู่ได้พรรษาเดียวก็ได้ย้ายไปอยู่ป่าม่อนมะหิน ประจำอยู่ที่นั่น ๒ พรรษาแล้วได้ย้ายไปอยู่วัดป่าหนองเจดีย์อีก ๒ พรรษา

พ.ศ.๒๔๙๑ ท่านจึงได้กลับมาจำพรรษา ณ วัดพระพุทธบาทตากผ้า และได้จำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งนี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม้ท่านจะชราภาพและได้จำพรรษาในวัดเป็นประจำแล้ว แต่ท่านยังถือธุดงค์ศรัทธาเป็นประจำ ในฤดูแล้งปีไหนมีโอกาส ท่านก็อุตส่าห์พาภิกษุสามเณรไปเดินธุดงค์อยู่ตามป่าหรือป่าช้าเป็นครั้งคราว เพื่อให้ลูกศิษย์ลูกหาได้ทราบปฏิปทาในการเดินธุดงค์ แล้วกลับมาจำพรรษาที่วัดพระพุทธบาทตากผ้า บำเพ็ญสมณธรรมอยู่ยังวัด

ท่านพร่ำสอนลูกศิษย์ลูกหาให้อยู่ในศีลธรรม จัดตั้งสำนักโรงเรียนพระปริยัติ นักธรรมบาลี จัดตั้งสำนักปฏิบัติธรรมวิปัสสนากัมมัฏฐาน พัฒนาวัดพระพุทธบาทตากผ้าให้เจริญรุ่งเรืองจนได้รับการยกย่องว่าเป็นวัด พัฒนาตัวอย่างที่มีความสำคัญทางศาสนาแห่งหนึ่งของจังหวัดลำพูน และด้วยการสั่งสมบุญบารมี คุณงามความดีของท่านนี้เองทำให้

ท่านได้รับความเคารพศรัทธาจากพระภิกษุสงฆ์ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ศรัทธาประชาชนทุกเพศทุกวัยทั้งในประเทศ และนานาประเทศ พระครูบาเจ้าพรหมา พรหมจักโก ทรงไว้ซึ่งคุณแห่งพระสุปฏิปันโน พระอริยสงฆ์ ผู้มีความบริสุทธิ์ ปราศจากกิเลสโดยสิ้นเชิงมีจริยาวัตรอันงดงาม มีวัตรปฏิบัติเคร่งครัด มีปฏิปทาอันอุดมและมั่นคง บำเพ็ญสมณธรรมอยู่เนืองนิจ คือผู้นำประโยชน์ความสุข ความสงบให้เกิดแก่หมู่คณะ ทรงไว้คือสังฆรัตนะคุณควรบูชาสักการะแก่มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย

มรณภาพ
ครูบาเจ้าพรหมจักรได้บำเพ็ญสมณธรรมจนเข้าสู่วัยชราภาพ สังขารของท่านชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา อาการเจ็บไข้ได้ป่วยจึงเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ท่านครูบาเจ้าได้เข้ารับการรักษา ณ โรงพยาบาลนครเชียงใหม่ ก่อนที่ท่านครูบาท่านจะละสังขาร ท่านครูบาได้ตื่นจากจำวัด แต่เช้าปฏิบัติธรรมตามกิจวัตร เมื่อถึงเวลาท่านลุกนั่งสมาธิ สำรวมจิตตั้งมั่นสงบระงับ ครูบาเจ้าพรหมจักรได้ดับขันธ์ (มรณภาพ) ในท่านั่งสมาธิภานา เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๒๗ เวลา ๐๖.๐๐ น.อายุ ๘๗ ปี ๖๗ พรรษา

คณะศิษยานุศิษย์ได้ตั้งศพบำเพ็ญกุศลเป็นเวลา ๓ ปี ได้รับพระราชทานเพลิงศพ วันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๑ ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จมาพระราชดำเนินพระราชทานเพลิงครูบาเจ้าพรหมจักรด้วยพระองค์เอง หลังจากพระราชทานเพลิงเสร็จสิ้นแล้วได้เก็บอัฐิ ปรากฏว่าอัฐิของครูบาเจ้าพรหมจักรได้กลายเป็นพระธาตุ มีวรรณะสีต่างๆ หลายสี

ธรรมโอวาท
๑. คนโง่เอาใจไว้ที่ปาก คนฉลาดเอาปากไว้ที่ใจ
๒. "ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอให้ท่านทั้งหลายจงเก็บกำข้อธรรมะไว้ประจำจิตประจำใจ ธรรมะที่ควรตั้งไว้ในจิตในใจนั้น ท่านแสดงไว้ ๔ ประการด้วยกัน

ข้อ ๑. ปัญญา ความรอบรู้
ข้อ ๒. สัจจะ ความจริงใจ คือประพฤติสิ่งใดก็ให้ได้จริง
ข้อ ๓. จาคะ สละสิ่งเป็นข้าศึกแก่ความจริงใจ และ
ข้อ ๔. อุปปสมะ สงบใจจากสิ่งเป็นข้าศึกแก่ความสงบรวมเป็น ๔ ประการด้วยกัน


ท่านทั้งหลาย ธรรมะ ๔ ประการนี้ ท่านเรียกว่า อธิษฐานธรรม คือ ธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ มี ๔ อย่างตามใจความที่ได้กล่าวมานี้"

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.amulet.in.th/forums/view_topic.php?t=602
ที่มา  http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=471.0
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ