ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ดอกบัวสามเหล่า กับ บุคคลสี่จำพวก  (อ่าน 4184 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29288
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ดอกบัวสามเหล่า กับ บุคคลสี่จำพวก
« เมื่อ: มิถุนายน 02, 2011, 08:39:06 pm »
0
ดอกบัวสามเหล่ากับบุคคลสี่จำพวก โดย พระมหาบุญไทย ปุญญมโน


          มีคนมาถามว่าการที่พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบบุคคลกับดอกบัวสี่เหล่านั้น มาจากพระไตรปิฎกเล่มไหน คำถามนี้ดูเหมือนกับว่าผู้ถามจะเชื่ออย่างสนิทใจว่าพระพุทธเจ้าทรงเปรียบ เทียบบุคคลกับดอกบัวสี่เหล่าจริง ความเชื่อนี้ส่วนหนึ่งคงได้มาจากหลักสูตรนักธรรมชั้นโทเป็นแน่ เมื่อตอบไปว่าดอกบัวมีเพียงสามเหล่า คนถามแสดงอาการว่าเริ่มจะไม่เห็นด้วยกับคำตอบที่ได้รับ 

   เมื่อ เห็นอาการจึงได้เปิดพระไตรปิฎกมาอ้างว่าที่มาของดอกบัวสามเหล่านั้นมาจากพระ วินัยไตรปิฎก มหาวรรค(4/9/11)ความว่า “เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆนั้น ทรงเกิดปริวิตกว่าธรรมที่พระองค์ตรัสรู้นั้นมีความลึกซึ้งยากที่คนจะเข้าใจ จนกระทั่งท้าวสหัมบดีพรหมได้กราบทูลอาราธนาให้พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม เพราะสัตว์ทั้งหลายจำพวกที่มีธุลีในจักษุน้อยมีอยู่ เพราะไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อม ผู้รู้ทั่วถึงธรรมยังมีอยู่

 ในตอนนั้นพระพุทธเจ้าได้ ทรงพิจารณาสัตวโลกเปรียบด้วยดอกบัว ความว่า “พระผู้มีพระภาค ทรงทราบคำทูลอาราธนาของพรหม และทรงอาศัยความกรุณาในหมู่สัตว์ จึงทรงตรวจดูสัตวโลกด้วยพุทธจักษุ เมื่อตรวจดูสัตว์โลกด้วยพุทธจักษุได้ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลายที่มีธุลีคือกิเลส ในจักษุน้อยก็มี ที่มีธุลีคือกิเลสในจักษุมากก็มี ที่มีอินทรีย์แก่กล้าก็มี ที่มีอินทรีย์อ่อนก็มี ที่มีอาการดีก็มี ที่มีอาการทรามก็มี ที่จะสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี ที่จะสอนให้รู้ได้ยากก็มี ที่มีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัยอยู่ก็มี

 
มีอุปมาเหมือนดอกอุบลในกออุบล ดอกปทุมในกอปทุม หรือดอกบุณฑริกในกอบุณฑริก ที่เกิดแล้วในน้ำ เจริญแล้วในน้ำ งอกงามแล้วในน้ำ บางเหล่ายังจมในน้ำ อันน้ำเลี้ยงไว้ บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ บางเหล่าตั้งอยู่พ้นน้ำ อันน้ำไม่ติดแล้ว”จึงได้รับอาราธนาสหัมบดีพรหมเพื่อที่จะแสดงธรรมแก่สรรพ สัตว์ 

ข้อความที่ปรากฎในพระวินัยตอนนี้ทรงเปรียบบุคคลด้วยดอกบัวสามเหล่าคือบางเหล่า จมน้ำ บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ บางเหล่าตั้งอยู่พ้นน้ำ แต่คนส่วนมากมักจะเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าทรงเปรียบ เทียบบุคคลเหมือนกับดอกบัวสี่เหล่า เพราะในหลักสูตรนักธรรมชั้นโทได้แสดงว่าบุคคลสี่ประเภทไว้ซึ่งเป็นข้อความ


ที่มาจากอังคุตรนิกาย จตุกกนิบาต (2/133/183) ความว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลสี่จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลกคือ

(1) อุคฆฏิตัญญู ผู้อาจรู้ธรรมแต่พอท่านยกหัวข้อขึ้นแสดง
(2) วิปจิตัญญู ผู้อาจรู้ธรรมต่อเมื่อท่านอธิบายความแห่งหัวข้อนั้น
(3) เนยยะ ผู้พอแนะนำได้
(4) ปทปรมะ ผู้มีบทเป็นอย่างยิ่ง 


ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลสี่จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก”

 ในอุคฆฏิตัญญุสูตร  อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต (21/133/350) ก็ได้แสดงว่าด้วยบุคคลสี่จำพวกความว่า“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลสี่จำพวกนี้มีปรากฏอยู่ในโลกคืออุคฆปฏิตัญญู บุคคล วิปจิตัญญูบุคคล เนยยบุคคล ปทปรมบุคคล" 

  ต้องแยกประเด็นกันระหว่างดอกบัวกับบุคคล เนื้อหาในพระไตรปิฎกไม่ได้เปรียบเทียบกันแต่อย่างใด แยกกันแสดงคนละครั้ง ต่างกรรมต่างวาระกัน ส่วนการเปรียบเทียบกันนั้นมีปรากฎในอรรถกถาหลายครั้ง หลายหน
 ดังที่แสดงในอรรถกถาพระ สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม 2 ภาค 1 หน้าที่ 148 ได้เปรียบเทียบบุคคลสี่จำพวกกับดอกบัวสี่เหล่าความว่า


“บุคคลสี่จำพวกคืออุคฆฏิตัญญู  วิปจิตัญญู  เนยยะ   ปทปรมะ ก็เปรียบเหมือนดอกบัวสี่เหล่านั้นแล 
ในบุคคลสี่จำพวกนั้น 

(1) อุคฆฏิตัญญู  ได้แก่บุคคลที่ตรัสรู้ธรรมพร้อมกับเวลาที่ท่านยกขึ้นแสดง


(2) วิปจิตัญญู ได้แก่บุคคลที่ตรัสรู้ธรรมเมื่อท่านแจกความแห่งคำย่อโดยพิสดาร

(3) เนยยะ ได้แก่บุคคลที่ตรัสรู้ธรรมโดยลำดับด้วยความพากเพียรท่องจำ ด้วยการไต่ถาม ด้วยทำไว้ในใจโดยแยบคาย  ด้วยคบหาสมาคมกับกัลยาณมิตร   

(4) ปทปรมะ ได้แก่บุคคลที่ไม่ตรัสรู้ธรรมได้ในชาตินั้นแม้เรียนมาก ทรงไว้มาก สอนเขามากอรรถกถาได้อธิบายต่อไปว่า ในบทนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูหมื่นโลกธาตุเช่นกับ ดอกบัว ได้ทรงเห็นแล้วว่าบุคคลจำพวกอุคฆฏิตัญญู ดุจดอกบัวจะบานในวันนี้  บุคคลจำพวกวิปจิตัญญู ดุจดอกบัวจักบานในวันพรุ่งนี้  บุคคลจำพวกเนยยะดุจดอกบัวจักบานในวันที่สาม และบุคคลจำพวกปทปรมะดุจดอกบัวอันเป็นภักษาแห่งปลาและเต่า


   พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงตรวจดูได้ทรงเห็นโดยอาการทั้งปวงอย่างนี้ว่าสัตว์มี กิเลสเพียงดังธุลีในจักษุน้อย มีประมาณเท่านี้  สัตว์มีกิเลสเพียงดังธุลีในจักษุมากมีประมาณเท่านี้ แม้ในสัตว์เหล่านั้นจำพวกที่เป็น อุคฆฏิตัญญู มีประมาณเท่านี้ ในสัตว์สี่จำพวกนั้น การแสดงธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า  ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่บุคคลสามจำพวกใน อัตภาพนี้แล พวกปทปรมะจะมีวาสนาเพื่อประโยชน์ในอนาคต"

อีกแห่งหนึ่งมีคำอธิบายใน อรรถกถาพระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม 1 ภาค 2 หน้าที่ 452  ความว่า “ในดอกอุบลเหล่านี้ เหล่าใดขึ้นพ้นน้ำรออยู่เหล่านั้น  คอยรับสัมผัสแสงอาทิตย์จะบานในวันนี้ เหล่าใดตั้งอยู่เสมอน้ำ เหล่านั้นก็จะ บานในวันพรุ่งนี้ เหล่าใดจมเหล่านั้นก็จักเป็นภักษาของปลาและเต่าอย่าง เดียว ดอกบัวเหล่านั้นท่านแสดงไว้ยังไม่ขึ้นสู่บาลีก็พึงแสดง   
 
            เหมือนอย่างว่า   ดอกไม้สี่อย่างเหล่านั้นฉันใด บุคคลสี่จำพวกคืออุคฆฏิตัญญู วิปัจจิตัญญู  เนยยะ  ปทปรมะ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ในบุคคล ๔ เหล่านั้น

บุคคลใดตรัสรู้ธรรมพร้อมกับเวลายกหัวข้อธรรม  บุคคลนี้ท่านเรียกว่า  อุคฆฏิตัญญู
 
บุคคลใดตรัสรู้ธรรมเมื่อท่านแจกอรรถแห่งภาษิตสังเขปได้โดยพิสดาร บุคคลนี้ท่านเรียกว่า  วิปัจจิตัญญู 

บุคคลใดใส่ใจโดยแยบคายทั้งโดยอุเทศทั้งโดยปริปุจฉา ซ่องเสพคบหาเข้าใกล้กัลยาณมิตรจึงตรัสรู้ธรรมบุคคลนี้ท่านเรียกว่า เนยยะ

บุคคลใด  ฟังมากก็ดี  กล่าวมากก็ดี ทรงจำมากก็ดี  สอนมากก็ดี  ก็ยังไม่ตรัสรู้ธรรมในชาตินั้น บุคคลนี้ท่านเรียกว่า  ปทปรมะ



 บรรดาบุคคลเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูหมื่นโลกธาตุ   ซึ่งเป็นเสมือนดอกบัวเป็นต้น   ก็ได้ทรงเห็นว่าอุคฆฏิตัญญู เปรียบเหมือนดอกไม้บานในวันนี้  วิปัจจิตัญญู เปรียบดอกไม้บานในวันพรุ่งนี้ เนยยะเปรียบเหมือนดอกไม้บานในวันที่สาม ปทปร มะ เปรียบเหมือนดอกไม้ที่เป็นภักษาของปลาและเต่า  ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงเห็น

ก็ทรงเห็นโดยอาการทุกอย่างอย่างนี้ว่า สัตว์มีประมาณเท่านี้ มีกิเลสธุลีในปัญญาจักษุน้อย เหล่านี้มีกิเลสธุลีในปัญญาจักษุมาก บรรดาสัตว์เหล่านั้น พระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมให้สำเร็จประโยชน์ในอัตภาพนี้เท่า นั้นแก่บุคคลสามประเภท ในจำนวนบุคคลเหล่านั้นปทปมะ มีวาสนาเพื่อประโยชน์ในอนาคตกาล

 ในอรรถกถาพระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาตเล่ม 1 ภาค 1 หน้าที่ 373   พระโสณโกฬวิสเถระกระทำความเพียรอย่างหนักแต่ก็ยังไม่บรรลุธรรมะจึงได้คิดว่า เราไม่ใช่อุคฆฏิตัญญูบุคคล หรือไม่ใช่วิปจิตัญญูบุคคล ไม่ไช่ไนยบุคคล  เราพึงเป็นปทปรมบุคคลแน่แท้  เราจะประโยชน์อะไรด้วยบรรพชา เราจะสึกออกไปบริโภคโภคะและกระทำบุญ   

ในที่สุดพระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสบอกกัมมัฏฐานแก่พระเถระเพื่อให้ประกอบความ เพียรเพลา ๆ ลงบ้าง  ฝ่ายพระโสณเถระได้พระโอวาทในที่ต่อพระพักตร์ของพระทศพล ไม่นานนักก็ตั้งอยู่ในพระอรหัตตผล  ต่อมาภายหลังพระศาสดาทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้ ปรารภความเพียร


 ใน พระไตรปิฎกกับอรรถกถาเนื้อหามิได้แตกต่างกัน แม้ในครั้งแรกพระพุทธเจ้าจะทรงแสดงดอกบัวไว้สามเหล่า แต่ได้แสดงบุคคลไว้สี่จำพวก เมื่อนำมาอธิบายเปรียบเทียบกับดอกบัว พระอรรถกถาจารย์ก็อาจจะเล็งเห็นว่าดอกบัวประเภทสุดท้ายคือประเเภทที่สี่ ยังไม่ได้ผุดขึ้นมาจากดิน พระพุทธเจ้าจึงมิได้ยกขึ้นมาแสดงไว้ พระอรรถกถาจารย์ท่านก็บอกไว้เหมือนกัน

จากหลักฐานมาจากคำว่า "ดอกบัวเหล่าใดจมก็จักเป็นภักษาของปลาและเต่าอย่างเดียว ดอกบัวเหล่านั้น ท่านแสดงไว้ยังไม่ขึ้นสู่บาลี" คำว่า "ไม่ยกขึ้นสู่บาลี"หมายถึงไม่ได้แสดงในพระไตรปิฎก ดังนั้นคนประเภทสุด ท้ายคือผู้ที่สอนไม่ได้ก็เหมือนกับดอกบัวที่ยังไม่ได้เกิดนั่นแล ใครที่มีหลักฐานอื่นนอกไปจากนี้ขอเชิญวิพากย์วิจารณ์ได้ ยังมิได้สรุปความคิดและมิได้สงวนความเห็นแต่ประการใด


          ตั้งใจว่าจะเขียนสั้นๆ แต่พอเขียนแล้วยาวขึ้นทุกที น่าจะจัดอยู่ในกลุ่มเนยยะคือพอจะแนะนำได้ จึงได้รู้จักกับพระพุทธศาสนา แต่บุคคลประเภทปทปรมะนั้นสอนไม่ได้แนะนำไม่ได้ เกิดมาเป็นมนุษย์เสียเวลาไป โดยไร้ประโยชน์

พระมหาบุญไทย  ปุญญมโน
เรียบเรียง

ที่มา http://www.mbu.ac.th/index.php?option=com_content&task=view&id=2275&]http://www.mbu.ac.th/index.php?option=com_content&task=view&id=2275&Itemid=148
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 06, 2011, 11:16:53 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

patra

  • RDNpromote
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรมรรค
  • *
  • ผลบุญ: +100/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 971
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ดอกบัวสามเหล่า กับ บุคคลสี่จำพวก
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มิถุนายน 06, 2011, 08:50:26 am »
0
อ้างถึง
บุคคลใดตรัสรู้ธรรมพร้อมกับเวลายกหัวข้อธรรม  บุคคลนี้ท่านเรียกว่า  อุคฆฏิตัญญู
 
บุคคลใดตรัสรู้ธรรมเมื่อท่านแจกอรรถแห่งภาษิตสังเขปได้โดยพิสดาร บุคคลนี้ท่านเรียกว่า  วิปัจจิตัญญู

บุคคลใดใส่ใจโดยแยบคายทั้งโดยอุเทศทั้งโดยปริปุจฉา ซ่องเสพคบหาเข้าใกล้กัลยาณมิตรจึงตรัสรู้ธรรมบุคคลนี้ท่านเรียกว่า เนยยะ

บุคคลใด  ฟังมากก็ดี  กล่าวมากก็ดี ทรงจำมากก็ดี  สอนมากก็ดี  ก็ยังไม่ตรัสรู้ธรรมในชาตินั้น บุคคลนี้ท่านเรียกว่า  ปทปรมะ



พระพุทธเจ้า พระองค์ทรงตรัสแสดง เรื่อง บัวสี่เหล่า เพื่อให้เราเข้าใจสังคมว่า ไม่ใช่ว่าจะมีแต่คนที่ภาวนา
แม้คนที่ไม่ภาวนา ก็มี คนที่ใฝ่การภาวนา ก็ใช่ว่า จะสำเร็จ ที่ไม่สำเร็จ เวียนว่ายตายเกิด กันอีกก็มี
ดังนั้น เรื่องนี้ ให้พิจารณากับมาที่ตัวเรา ไม่ใช่ให้ไปมองที่สังคม เพราะธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ดีแล้ว

ในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด เป็นธรรมที่เหมาะแกเราเอง มิใช่เหมาะแก่ใคร

 :s_hi:
บันทึกการเข้า
ข้าพจ้า สนับสนุนการเผยแผ่ พระกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ