จิญจมานวิกา
พุทธศาสนิกชนที่ได้เคยทำบุญย่อมเคยสดัปพุทธชัยมงคลคาถา หือ “พาหุง” ที่กล่าวถึงสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การอ้างถึงพระพุทธานุภาพ เพื่อนำชัยมงคลมาให้แก่ผู้ฟังและผู้สวด โดยพระพุทธชัยมงคลคาถามีทั้งหมด ๘ บท และมีความหมายแตกต่างกันทั้งแปดบท กล่าวคือ บทที่ ๑ สำหรับเอาชนะศัตรูหมู่มาก เช่นในการสู้รบ
บทที่ ๒ สำหรับเอาชนะใจคนที่กระด้างกระเดื่องเป็นปฏิปักษ์
บทที่ ๓ สำหรับเอาชนะสัตว์ร้าย หรือคู่ต่อสู้
บทที่ ๔ สำหรับเอาชนะโจร
บทที่ ๕ สำหรับเอาชนะการแกล้งใส่ร้ายกล่าวโทษหรือคดีควา
บทที่ ๖ สำหรับเอาชนะการโต้ตอบ
บทที่ ๗ สำหรับเอาชนะเล่ห์เหลี่ยมกโลบาย
บทที่ ๘ สำหรับเอาชนะทิฐิมานะของคน กล่าวโดยเฉพาะสำหรับพระคาถาบทที่ ๕ ที่อ้างพระพุทธานุภาพในการชนะผู้ใส่ร้าย กล่าวโทษนั้น กล่าวว่า
“กัตวานะ กัฏฐมุทรํ อิวะ คัพภินียา
จิญจายะ ทุฏฐวจนํ ชนกายะมัชเฌ
สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภวตุ เม ชยมังคลานิ” คำแปล-นางจิญจมานวิกา ใช้ไม้มีสัณฐานกลมใส่ท้อง ทำอาการประหนึ่งว่ามีครรภ์ เพื่อกล่าวร้ายพระพุทธเจ้า องค์พระจอมมุนีก็เอาชนะได้ ด้วยวิธีสงบ ระงับพระทัยท่ามกลางหมู่คน ด้วยเดชะอันนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่เรา
สำหรับความเป็นมาของพระพุทธชัยมงคลคาถาบทนี้ มีประวัติว่า ในสมัยพุทธกาลนั้น เหล่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมชวนกันประชุมสโมสรกระทำสักการบูชา แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างเนืองแน่นอยู่เป็นนิจ อันเป็นเหตุให้พวกเดียรถีร์ทั้งหลายเกิดโทมนัสด้วยความอิจฉาในพระพุทธเจ้ายิ่งนัก ทั้งนี้เพราะลาภสักการะทั้งปวงที่เคยบังเกิดแก่พวกตนนั้นก็มิได้มีต่อไป กลับไปเกิดแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพวกเดียรถีร์จึงคิดหาอุบายเพื่อจะทำให้พระพุทธเจ้าเสื่อมเสียจากลาภสักการะ จึงนำความไปปรึกษานางจิญจมานวิกาผู้มีรูปอันอุดมล้ำเลิศกว่านารีทั้งหลายเป็นที่ยั่วยวนใจแก่บุรุษเพศยิ่งนัก ทั้งนี้ด้วยประสงค์จะให้นางได้กล่าวโทษแก่พระสมณะโคดมด้วยกลอุบายอันแยบคาย
นางจิญจมานวิกาเมื่อรับคำแห่งพวกเดียรถีย์แล้ว ก็ทำอุบายโดยแกล้งเดินไปสู่วิหารแห่งพระพุทธองค์ในตอนใกล้ค่ำ แล้วแอบซ่อนอยู่จนถึงเวลาค่ำปลอดตาคน นางก็กลับเข้าสู่สำนักพวกเดียรถีย์ ครั้นเวลาใกล้รุ่งก็กลับไปสู่วิหารแห่งพระพุทธองค์อีกครั้ง แล้วก็แกล้งสยายผมเดินออกจากวิหารทำประหนึ่งว่าได้เข้าไปอาศัยในอาศรมและหลับนอนที่นั่นตลอดคืน เมื่อผู้ใดพบเห็นนางและถามกิจอันนางได้กระทำ นางก็จะตอบว่าได้เข้าไปอยู่ในวิหารแห่งพระพุทธเจ้ามาตลอดคืน เพราะนางกับพระพุทธเจ้านั้นได้สมัครสังวาสอยู่กินกันฉันสามีภริยาเป็นเวลาหลายวันแล้ว
มหาชนทั้งปวงที่ได้ยินดังนั้นเป็นปุถุชนก็บังเกิดความสงสัยในพระพุทธองค์ ไม่แน่แก่ใจ ลังเลอยู่ก็มี ที่กล่าวว่านางจิญจมานวิกาแกล้งมายาใส่ใคล้พระองค์ก็มี
ฝ่ายนางจิญจมานวิกานั้นเมื่อกระทำอยู่เช่นนั้นได้ประมาณสามสีเดือนก็กระทำกลมายาให้เห็นสมจริง โดยเอาผ้าพันอุทรแสดงลักษณะดังหญิงมีครรภ์ แล้วจึงแกล้งกล่าวประจานแก่คนทั้งปวงว่า ที่นางเกิดมีครรภ์ขึ้นมาก็เพราะได้สมัครรักใคร่กับพระสมณะโคดม ฝ่ายพาลชนก็เชื่อถ้อยคำของนางเพราะเห็นสมจริงครั้นอยู่ต่อมาได้ประมาณแปดเดือน นางจิญจมานวิกาจึงเอาเชือกผูกท้อนไม้รัดให้แนบแน่นเข้ากับอุทรของตนแล้วเอาผ้าคลุมลงมา แกล้งเอาไม้ทุบบริเวณมือและเท้าของตนให้บวมขึ้นดั่งลักษณะหญิงที่ใกล้จะให้กำเนิดแก่ทารก พร้อมทั้งทำร่างกายให้ดูเศร้าหมอง
ครั้นเย็นวันหนึ่งขณะที่พระพุทธองค์แสดงธรรมแก่ชนทั้งหลาย นางจิญจมานวิกาจึงมายืนอยู่หน้าพระพักตร์ของพระองค์ แล้วกล่าวประจานพระองค์ที่เป็นเหตุให้นางตั้งครรภ์ แล้วก็ทอดทิ้งมิได้ดูแลอนุเคราะห์นางให้เหมาะสม ดีแต่จะสมัครรักใคร่ชมเชยเท่านั้น แล้วได้บริภาษพระพุทธองค์ด้วยถ้อยคำหยาบช้าประการต่างๆ แต่พระพุทธองค์หาหวั่นไหวไม่ ตรัสตอบแก่นางไปว่า ความครั้งนี้เท็จจริงประการใดหามีผู้ใดรู้เห็นไม่ มีแต่พระองค์กับนางเท่านั้นที่ทราบ
ที่มาของภาพ จากจิตรกรรมฝาผนังวิหารวัดพระธาตุจอมปิง อ.เกาะคา จ.ลำปาง
เหตุครั้งนี้บันดาลให้สมเด็จพระอมรินทราธิราชบังเกิดความเดือดร้อน ด้วยนางจิญจมานวิกาเจรจามุสาวาทใส่โทษแก่พระพุทธเจ้าด้วยถ้อยคำอันหาความจริงมิได้ จึงดำริจะให้ชนทั้งปวงประจักษ์แจ้งในความจริง จึงมีเทวบัญชาให้เทวดาสี่องค์ เนรมิตกายเป็นหนูเข้าไปกัดเชือกที่ใช้ผูกท่อนไม้ที่รัดไว้ที่อุทรของนางจิญจมานวิกา
เทพทั้งสี่เมื่อรับเทวบัญชาแล้วก็กระทำตาม โดยเนรมิตกายเป็นหนูกัดเชือกจนขาด ไม้ก็ตกลงมาจากอุทรของนางถูกเท้าทั้งสองของนางขาดออกไปดุจถูกเฉือนด้วยของมีคมฉันนั้น คนทั้งหลายเห็นดังนั้นก็บังเกิดความโกรธ ชวนกันบริภาษทุบตีและขับไล่นางจิญจมานวิกาจนระบมและลำบากยิ่งนัก แล้วก็ชวนกันฉุดบ้าง ลากบ้างจนนางออกมานอกอารามแห่งพระพุทธองค์พอลับพระเนตรแห่งพระองค์เท่านั้น พระแม่ธรณีก็บันดาลแหวกพระธรณีเป็นช่องบังเกิดเปลวไฟมหากาฬมาหุ้มคลุมร่างของนางจิญจมานวิกา ให้ตกลงสู่อเวจีนรกได้รับทุกขเวทนาหาที่เปรียบมิได้
สำหรับในยุคปัจจุบันที่มีการใส่ร้ายกล่าวหากันอยู่เป็นนิจ และเกิดในทุกวงการไม่เว้นแม้แต่วงการสงฆ์ และวงการศึกษา พุทธศาสนิกชนทั้งหลายที่ประสบพบเหตุการณ์ดังกล่าว ควรมีสติระลึกถึงพระพุทธชัยมงคลคาถาดังกล่าว และระลึกอยู่เสมอว่าผู้กระทำกรรมอันใดไว้ ย่อมได้รับผลกรรมดังกล่าว การที่มีคนกล่าวหาใส่ร้ายป้ายสี โดยที่เราไม่ได้ทำความผิด หรือมิได้กระทำตามข้อกล่าวหา แม้จะมีผู้โฉดเขลาเบาปัญญาหลงเชื่อตามคำป้ายสีนั้น แต่สีที่ป้ายก็ย่อมไม่มีความคงทน ย่อมหลุดออกมาให้เห็นเนื้อแท้สักวัหนึ่ง
การที่เราเมินเฉยต่อคำกล่าวหาว่าร้ายนั้น เป็นบทพิสูจน์ความกล้าหาญทางจริยธรรมประการหนึ่ง การไม่แก้ข้อกล่าวหานั้น มิใช่เป็นเพราะเรากลัวผู้กล่าวหา แต่เราหวังผลอันหอมหวานของการเพิกเฉยดังกล่าวนั้นต่างหาก เนื่องจากประการแรก เราได้มีโอกาสฝึกตนให้มีสติ ให้รู้อารมณ์ที่มากระทบจากการถูกกล่าวหาดังกล่าว ประการที่สอง เราได้รับความงาม จากการปฏิบัติธรรมข้อขันติ และโสรัจจะ ซึ่งเป็นธรรมที่ทำให้เกิดความงาม การมีขันติ ได้แก่ ความอดทน และโสรัจจะ ความสงบเสงี่ยมนั้น ย่อมไม่ทำให้เราแสดงกิริยาอาการอันไม่งดงาม หรืองดกล่าววาจาที่ไม่ไพเราะออกมาได้ และประการที่สาม เป็นการรอเวลาที่พิสูจน์กฎแห่งกรรม กล่าวคือ ผู้ที่ประทุษร้ายบุคคลผู้ไม่ประทุษร้ายตอบ ย่อมได้รับโทษ ๑๐ ประการ
หากเราเกิดความเดือดร้อนใจจากข้อกล่าวหาว่าร้ายดังกล่าว จนไม่อาจจะระงับใจได้แล้ว ขอให้ได้สาธยายท่องพระพุทธชัยมงคลคาถาบทที่ ๕ ดังกล่าวนี้ และรำลึกถึงพระพุทธจริยาวัตรในตอนนี้ พร้อมกับนึกว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐเลิศกว่าผู้ใดในไตรโลกยังถูกกล่าวหาว่าร้าย สำหรับเราผู้เป็นปุถุชนนั้น ย่อมไม่อาจจะล่วงโลกธรรมดังกล่าวได้เช่นกันที่มาของภาพข้างบน จากจิตรกรรมฝาผนังวิหารพระเจ้าละโว้ วัดพระบรมธาตุหริภุญชัย อ.เมือง จ.ลำพูน
ที่มา http://www.angelfire.com/country/thanyawat/Jinjamanviga.html