พระโพธิสัตว์ที่จะมาเกิด(อุบัติ)เป็นพระพุทธเจ้าในชาติสุดท้ายนั้นจะต้องพิจารณาสิ่ง ๕ สิ่งก่อน
เรียกว่ามหาวิโลกนะ ๕ ประการคือ
๑)กาล แม้ พระโพธิสัตว์จะทรงมีบารมีเต็มเปี่ยมบังเกิดอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิตตลอดเวลา ๕๗โกฏิปี ยิ่งด้วยอีก ๖ ล้านปี แม้เมื่อตรวจดูกาลเมื่อไม่ใช่กาลก็จะไม่บังเกิด ต่อเมื่อเป็นกาลอันควรจึงจะบังเกิด กาลที่ว่านี้คือเมื่อใดอายุของมนุษย์อยู่ในระหว่าง ๑๐๐ ปี ถึง ๑๐๐,๐๐๐ ปี ในระหว่างอายุเท่านี้จึงเรียกว่ากาลอันสมควร เพราะเหตุใด?
ตอบว่า เมื่อใดอายุของ มนุษย์มากกว่าแสนปีขึ้นไป ชาติ (ความเกิด) ชรา(ความแก่) มรณะ(ความตาย)จะไม่ปรากฏเป็นที่ประจักษ์แก่สัตว์ทั้งหลาย ชื่อว่าพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าทั้งหลายอันจะทำให้พ้นจากพระไตรลักษณ์ก็ จะไม่มี เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดังนี้ สัตว์ทั้งหลายก็จะพูดว่า พระพุทธเจ้าตรัสอะไร แล้วไม่สำคัญเพื่อจะฟัง เพื่อจะเชื่อ แต่นั้นก็จะไม่มีการตรัสรู้ เมื่อไม่มีการตรัสรู้ คำสอนก็จะไม่นำสัตว์ออกจากทุกข์ เพราะฉะนั้นจึงกล่าวว่าไม่ใช่กาล
ในกาลเมื่อมนุษย์ถอยลงไปกว่า ๑๐๐ ปีก็ไม่ใช่กาล ถามว่าเพราะเหตุไร? ตอบว่า เพราะ ในกาลนั้นสัตว์ทั้งหลายมีกิเลสหนา(มากๆ) โอวาทที่ให้แก่สัตว์ที่มีกิเลสหนาย่อมไม่ดำรงอยู่ในฐานะเป็นโอวาท(คงตั้ง อยู่เหมือนเป็นคำด่ามั้ง) เหมือนไม้เท้าขีดลงไปในน้ำย่อมหายไปทันที เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่กาล
๒) ทวีป ทรงตรวจดูทวีปทั้ง ๔ ว่าควรจะอุบัติในทวีปใด ทรงเห็นว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมบังเกิดในชมพูทวีป
๓) ประเทศ ทรงตรวจดูแล้วว่าควรจะบังเกิดในมัชฌิมประเทศ
๔) ตระกูล ทรงตรวจดูว่าในขณะนั้นเขานิยมว่าตระกูลใดประเสริฐ ตระกูลกษัตริย์หรือพราหมณ์ประเสริฐ
๕) พระมารดา ทรง ตรวจดูพระมารดาว่า ธรรมดาพระพุทธมารดาไม่เป็นหญิงเหลาะแหละ ไม่เป็นนักเลงสุรา บำเพ็ญบารมีมาแล้วถึงแสนกัป ตั้งแต่เกิดมามีศีล ๕ ไม่ขาด ก็หญิงเช่นนี้จักเป็นพระมารดาของเราดังนี้.