อุปมา 3 ที่นำมาแสดงให้ท่านอ่านในวันนี้ มีิจุดประสงค์เพื่อให้ท่านรู้สถานะของตนเอง ว่าตอนนี้เราเปรียบเหมือนไม้ชนิดไหน และเป็นคำตอบเบื้องต้นว่า ทำไม เราถึงปฏิบัติ ไม่ได้เสียที ทำไมจึงไม่สำเร็จในธรรมอันที่ควร
ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุด อาตมาอยากให้ทุกท่าน ใคร่ครวญพิจารณาธรรมอันเป็นเหตุให้ท่านทั้งหลายพากเพียรภาวนากันอยู่นี้เพื่ออะไรกันแน่
การภาวนาไม่ใช่แฟชั่น
การภาวนาไม่ใช่เรื่องที่ควรทำตาม ๆ กัน
การภาวนาไม่ใช่เรื่องของคนที่ไม่พร้อม และไม่มีเป้าหมาย
คำตอบนี้ย้อนหลังไป 4 ปี ครั้งที่อาตมาไปเดินขึ้นดอยตุง คนเดียว ตอนนั้นเดินไป ๆ รู้สึก เหงา นะ ตอนนั้นมีความรู้สึก ว่าอ้างว้าง เปล่าเปลี่ยวและ สติ มันถามตนเองขณะเดินอยู่ขณะนั้นว่า บ้าหรือป่าว มาเดินคนเดีิยวทำไม ทำไปเพื่ออะไรกันเนี่ย ทำแล้วจะได้อะไร ?
เห็นหรือไม่ว่า บางครั้งแม้เราตั้งเป้าหมายไปแล้ว แต่ภาวะที่เราไม่บำเพ็ญเผาผลาญเพื่อเป้าหมายบางครั้งมันก็ดึงสติเราออกไปนอกลู่ นอกทางได้เช่นเดียวกัน ตอนนั้นอาตมายืนสงบสำรวมใจทบทวนเป้าหมายใหม่ และก็ได้คำตอบ จึงเิดินขึ้นถึงพระธาตุดอยตุง
อยากให้ท่านทั้งหลาย ทบทวนเป้าหมายการภาวนากันให้มาก ว่าท่านมาภาวนากันเพื่ออะไร ?
ท่านก็จะได้คำตอบและเหตุผลในการภาวนา กันเอง และจะสำเร็จตามที่ปรารถนาและต้องการ
เจริญธรรม


อ่านแล้ว ซึ้งครับตรงนี้ มีเนื้อหาที่สำคัญเป็นกำลังใจ ในการภาวนามากขึ้น เลยนะครับ ผมเองก็ไม่ค่อยมีเวลาในการภาวนาครับ เพราะงานของผมส่วนใหญ่ จะเป็นตอนดึก เรียกว่า กะดึกครับ ออกจากงานก็นอนกลายเป็นมนุษย์ค้างคาวไปแล้วนะครับ เมื่อได้อ่านบทความกระทู้นี้แล้วรู้สึก ว่าเราขาดการทบทวนเป้าหมายในการภาวนา อย่างนี้ชีวิตเราจึงภาวนาแบบเคว้งคว้าง เลยนะครับ
สาธุ เพื่อจะได้ทบทวนเป้าหมายในการภาวนาใหม่นะครับ
ขอบคุณมากครับ
