ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ว่่าด้วยธรรม โดยย่อ ( ที่ควรทราบในหลักการพระพุทธศาสนา )  (อ่าน 3556 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

paisalee

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 382
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
   พระสุตตันตปิฎก  สังยุตตนิกาย  สฬายตนวรรค  [๑.  สฬายตนสังยุต]
        ๒.  ทติยปัณณาสก์  ๔.  ฉันนวรรค  ๓.  สังขิตตธัมมสูตร



               ๓. สังขิตตธัมมสูตร
               ว่าด้วยธรรมโดยย่อ
            [๘๖]    ท่านพระอานนท์นั่ง    ณ    ที่สมควร    แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ    ขอประทานวโรกาส    ขอพระผู้มีพระภาคโปรดแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์โดยย่อ    ซึ่งข้พระองค์ได้ฟังแล้ว    จะพึงหลีกออกไปอยู่คนเดียว    ไม่ประมาท    มีความเพียร    อุทิศกายและใจอยู่เถิด”
            พระผู้มีพระภาคตรัสว่า    “อานนท์    เธอเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร    จักขุเที่ยงหรือไม่เที่ยง”
            “ไม่เที่ยง    พระพุทธเจ้าข้า”
           “ก็สิ่งใดไม่เที่ยง    สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข”
            “เป็นทุกข์    พระพุทธเจ้าข้า”
            “ก็สิ่งใดไม่เที่ยง    เป็นทุกข์    มีความแปรผันเป็นธรรมดา    ควรหรือที่จะพิจารณาเห็นสิ่งนั้นว่า    ‘นั่นของเรา    เราเป็นนั่น    นั่นเป็นอัตตาของเรา”
            “ข้อนั้นไม่ควรเลย    พระพุทธเจ้าข้า”
            “รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง”
            “ไม่เที่ยง    พระพุทธเจ้าข้า”
            “จักขุวิญญาณ    ฯลฯ    จักขุสัมผัส    ฯลฯ    แม้ความเสวยอารมณ์ที่เป็นสุขหรือทุกข์หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ที่เกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย    เที่ยงหรือไม่เที่ยง”
            “ไม่เที่ยง    พระพุทธเจ้าข้า”
            “ก็สิ่งใดไม่เที่ยง    สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข”
            “เป็นทุกข์    พระพุทธเจ้าข้า”
            “ก็สิ่งใดไม่เที่ยง    เป็นทุกข์    มีความแปรผันเป็นธรรมดา    ควรหรือที่จะพิจารณาเห็นสิ่งนั้นว่า    ‘นั่นของเรา    เราเป็นนั่น    นั่นเป็นอัตตาของเรา”
            “ข้อนั้นไม่ควรเลย    พระพุทธเจ้าข้า”    ฯลฯ
            “ชิวหาเที่ยงหรือไม่เที่ยง”
            “ไม่เที่ยง    พระพุทธเจ้าข้า”    ฯลฯ
            “ชิวหาวิญญาณ    ฯลฯ    ชิวหาสัมผัส    ฯลฯ    แม้ความเสวยอารมณ์ที่เป็นสุขหรือทุกข์หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย    เที่ยงหรือไม่เที่ยง”
            “ไม่เที่ยง    พระพุทธเจ้าข้า”
            “ก็สิ่งใดไม่เที่ยง    สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข”
            “เป็นทุกข์    พระพุทธเจ้าข้า”
             “ก็สิ่งใดไม่เที่ยง    เป็นทุกข์    มีความแปรผันเป็นธรรมดา    ควรหรือที่จะพิจารณาเห็นสิ่งนั้นว่า    ‘นั่นของเรา    เราเป็นนั่น    นั่นเป็นอัตตาของเรา”
            “ข้อนั้นไม่ควรเลย    พระพุทธเจ้าข้า”
            “อานนท์    อริยสาวกผู้ได้สดับเห็นอยู่อย่างนี้    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในจักขุ    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในจักขุวิญญาณ    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในจักขุสัมผัส    ฯลฯ    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในความเสวยอารมณ์ที่เป็นสุขหรือทุกข์หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย    เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัดเพราะคลายกำหนัด    จิตย่อมหลุดพ้น    เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว    ก็รู้ว่า    ‘หลุดพ้นแล้ว’รู้ชัดว่า    ‘ชาติสิ้นแล้ว    อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว    ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว    ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกต่อไป”
               สังขิตตธัมมสูตรที่ ๓ จบ



ขอบคุณภาพจาก http://www.bloggang.com
บันทึกการเข้า
บุญที่้ข้าพเจ้าได้ทำวันนี้ ขออุทิศให้แก่ บิดาและน้องชายที่ล่วงลับ มารดาที่ยังมีชีวิตอยู่