พิมพ์

[kosol]

คือ สงสัย ถ้าเป็นพระที่ภาวนากรรมฐาน แล้ว เรื่องของ โลก ๆ สังคม ๆ อะไรประมาณนี้ สมควรที่จะใช้ facebook หรือไม่ครับ คือ ยกพวกพระที่เรียนหนังสือ ออกไปอันนี้ยกให้นะครับ แต่พระที่สอนกรรมฐานและ
เป็นครูอาจารย์ นี้สมควรหรือไม่ครับ

 

[pimpa]

ไม่เห็นด้วยคะ เพราะ face book น่าจะเหมาะกับพระนักเผยแผ่ คำสอน เช่นพระนักพัฒนา พระนักเทศน์ จัดงานเข้าค่าย อบรมจริยธรรม เช่น พระมหาสมปอง เป็นต้น คะ

  ส่วนพระอาจารย์ ฝ่ายกรรมฐาน วิปัสสนา แล้ว การใช้ facebook Hi5 เป็นต้น พวกนี้ควรให้เป็นหน้าที่ของพวกลูกศิษย์ทำแทน เองนะคะ ยิ่งท่านต้องรับอ่านจดหมาย ท่านก็จะเว้นจากการภาวนา ส่วนตัวของท่าน คะ

 ่จึงไม่เห็นด้วยกับการ ที่พระอาจารย์ฝ่ายกรรมฐาน ไม่ควรใช้ facebook คะ

 

[raponsan]

ถ้าจะกล่าวรวมๆ ก็คือ การใช้โซเชียลเน็ทเวิร์ค
 หากใช้ในกิจการเผยแพร่ศาสนา ผู้ใช้มีสัมมาทิฏฐิ มีสัมมาสติ
 เดินอยู่ในอริยมรรค ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

 เทคโนโลยี่ถึงแม้จะเป็นดาบสองคม แต่ถ้ารู้จักควบคุม ก็น่าจะมีคุณอนันต์
 ไม่อยากให้ไปเทียบกับพระป่า เนื่องจากพระในสายวิปัสสนาธุระมีจริตวาสนาต่างกัน

 การสืบสานพุทธศาสนาให้ยั้งยืนต่อไป ต้องดูสังคมแวดล้อมด้วยครับ
 การนำวัดไปอยู่ใกล้ๆชุมชน กับการให้ชุมชนมาอยู่ใกล้ๆวัด อย่างไหนมีผลดีมากกว่ากัน
 คนเข้าห้างกับคนเข้าวัด อย่างไหนมีจำนวนมากกว่ากัน

 ปัจจุบันวัดไม่ใช่ศูนย์กลางของชุมชนเหมือนสมัยโบราณ
 ดังนั้น จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องนำธรรมะไปอยู่ใกล้คนหมู่มาก เพื่อให้สะดวกในการเข้าถึงได้ง่าย
   
 

[ชมพู่]

เห็นด้วยกับ การใช้บริการเว็บ แต่ไม่เห็นด้วยกับ การมี facebook คะ
เพราะ สามารถใช้ email และ เว็บ ติดต่อได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเข้าไปเจาะกลุ่มบุคคล คะ

 สำหรับ พระอาจารย์ฝ่ายกรรมฐาน คิดว่า เว็บ ก็ยังไม่น่าจะต้องจับเลยคะ
 แต่ให้ ลูกศิษย์ ปฏิบัติการแทนน่าจะดีกว่า คะ

 คือ พระอาจารย์ ไม่ต้อง ให้เป็นหน้าที่ ศิษย์ ทำงานประสานงานแทนคะ



 

[nongyao]

ไม่ทราบว่าเราลองเข้าไปดูถ้อยวาจาของพระอาจารย์แต่ละท่านหรือยังค่ะ ก่อนที่จะลงความเห็นว่าควรหรือไม่ควร ในส่วนของพระนักเทศน์จะเป็นการอนุโลมและประคับประครองจิตใจ  ในส่วนของพระกรรมฐานโดยเฉพาะสายมัชณิมา คือทางสายกลาง นอกจากจะประคับประครองจิตใจแล้ว ยังส่งเสริมและปรารถนาให้ผู้คนหันมาปฏิบัติภาวนาชำระจิตให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีก เป็นแนวทางที่พวกเราสามารถใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวและสังคมได้ ในส่วนตัวปรารถนาให้ท่านใช้  เพราะเวลาเรามีปัญหาจิตของเราจะส่งความรู้สึกว่าทุกข์มากหรือน้อยออกไปในคำพูดและความนึกคิด  พระในสายกรรมฐานท่านจะสามารถสัมผัสกับพลังจิตของแต่ละคนได้ เคยสังเกตุไหมบางคำตอบสะกิดความรู้สึกเราได้ นั้นเพราะพลังจิตที่ถูกส่งออกมาบวกกับความปรารถนาดีจากใจจริง ถามตัวเองซิ คุณไม่ต้องการแบบนี้ แล้วคุณต้องการแบบหลอกตัวเองไปวัน ๆ อยู่อีกหรือ

[kobyamkala]

อาจารย์ สอนกรรมฐาน ควรใช้ Facebook คะ ถ้าต้องการเผยแผ่ คะ

แต่ ตัวพระอาจารย์ เองไม่ต้องใช้คะ ให้คณะศิษย์ทำงานให้แทนก็ดีนะคะ

 เพราะการที่ลง facebook นั้นมีผลกระทบนะคะ เพราะอาจจะเกิดกรรมแก่ผู้ที่ใช้ facebook ได้คะ

เพราะอาจจะมีการกล่าววาจาปรามาส พระอาจารย์ได้โดยตรง คะ

  เช่นกรณีที่ มีอยู่ในขณะนี้ ก็มีพระคุณเจ้าใช้ สื่ออินเตอร์เน๊ต เผยแผ่พระธรรม และเป็นไปในทางที่ก่อความไม่สงบก็หลายรูปแล้วนะคะ

  ถ้าหากต้องการแจ้งข่าวสาร ก็ให้ ทีมคณะศิษย์ดำเนินการแทนก็ได้คะ

  ส่วนพระอาจารย์ที่สอนกรรมฐาน นั้นนาน ๆ ไปท่านก็จะไม่สามารถตอบข่าวสาร ที่มีจำนวนมากขึ้นได้คะ ดูเช่นพระอาจารย์ ก็ได้คะ 3 เดือนกว่า แล้วนะคะ ที่ท่านตอบจดหมาย หรือ กระทู้ไม่ทันคะ ซึ่งนาน ๆ ไป ก็จะทำไม่ทันมากขึ้นอีกคะ เพราะสื่อพวกนี้เข้าถึงพระอาจารย์ ผู้สอนได้เร็ว พอ ๆ กับ โทรศัพท์ คะและการแก้ปัญหาด้วยการตอบจดหมาย หรือ โพสต์ นั้นต้องมีทักษะ ด้านการพิมพ์ และ ความชำนาญในการใช้ เทคโนโลยี ซึ่งที่เห็นมาในฝ่าย สอนกรรมฐานวิปัสสนา โดยตรงยังไม่เห็นรูปไหน เก่ง ด้านคอมพิวเตอร์ คะ

 

[noppadol]

ก็เห็นด้วยครับ สำหรับเว็บบอร์ด และ email นี้ก็น่าจะเกินกำลังของพระอาจารย์แล้วนะครับ
ถ้าเป็น facebook ก็ขอให้เป็นหน้าที่ของ ทีมงาน มัชฌิมา หรือ ศิษย์ทำแทนเถอะครับ
อันนี้ถ้าหมายถึง facebook ของพระอาจารย์นะครับ

 ส่วนถ้าเป็น facebook ของพระวิปัสสนาจารย์ ฝ่ายกรรมฐาน แล้วผมเชื่อว่า พระวิปัสสนาจารย์ฝ่าย
กรรมฐาน น่าจะไม่ใช่เรื่องของสื่อ คอมพิวเตอร์ หรือ อินเตอร์เน็ตกันนะครับ

 

[ธัมมะวังโส]

ส่วนตัวก็ไม่ได้ ต้องการใช้ สักอย่าง ที่ผ่านมา 1 พรรษาอาตมามีความสุขมาก เพราะไม่ต้องรับทราบความทุกข์ของใครต่อใคร ไม่ต้องพูด ไม่ต้องสอน ไม่ต้องนำ ไม่ต้องชี้แจง ไม่ต้องพิมพฺ์ และ ไม่ต้องรับผิดชอบ ใครต่อใคร ซึ่งก็เป็นชีวิตที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลก อีกส่วนหนึ่ง

 แต่ท่านสมาชิก ทั้งหลายต้องการอย่างไร กันละ แค่ลำพังจดหมายตอนนี้มีอยู่ 2000 กว่าฉบับเข้าไปแล้ว
ยังไม่นับกระทู้ที่เจาะจงให้พระอาจารย์ตอบกันอีก และข้อความส่วนตัวอีกเป็น 100 เลยนะจ๊ะ พระอาจารย์จึงไม่แจก เบอร์โทรศัพท์ ให้กับบุคคลทั่วไปเพราะว่า จะเป็นการรบกวนเวลาในการภาวนากันอย่างมากนะจ๊ะ

 เพื่อเป็นเผยแผ่ พระกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ ให้กับ วัดราชสิทธาราม คณะ 5 ก็คงดำเนินการต่อในเรื่องเว็บ และ จดหมายก็จะเลือกตอบเท่าที่จำเป็นนะจ๊ะ

 สรุป ก็คงต้องใช้กันต่อไป อย่างจำเป็น โดยไม่ให้กระทบกับการภาวนา นะจ๊ะ

 เจริญธรรม

 

[เสกสรรค์]

น่าจะต้องพิจารณา ไปตามเหตุ ตามปัจจัยประกอบด้วยนะครับ
ส่วนพระวิปัสสนาจารย์ ผมว่า เราก้ไม่ต้องไปก้าวก่ายท่าน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ครูอาจารย์ท่านกล่าวดีกว่าครับ

 

[konsrilom]

ส่วนตัวก็ไม่ได้ ต้องการใช้ สักอย่าง ที่ผ่านมา 1 พรรษาอาตมามีความสุขมาก เพราะไม่ต้องรับทราบความทุกข์ของใครต่อใคร ไม่ต้องพูด ไม่ต้องสอน ไม่ต้องนำ ไม่ต้องชี้แจง ไม่ต้องพิมพฺ์ และ ไม่ต้องรับผิดชอบ ใครต่อใคร ซึ่งก็เป็นชีวิตที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลก อีกส่วนหนึ่ง

 พระอาจารย์ อย่าตัดช่องน้อยแต่พอตัว นะคะ

 ยังมีศิษย์ ที่ต้องพึ่งพิงธรรมะ อยู่ที่รอการสอนสั่ง อยู่คะ

 

[นัยนา]

ส่วนตัว มองว่า เว็บกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ มีข้อดี คือ มีพระอาจารย์ฝ่ายกรรมฐาน มาตอบโดยตรง
ซึ่งเว็บที่มีชื่อเสียงนั้น ไม่มี พระอาจารย์มาตอบ มีแต่ผู้ดำเนินกิจกรรมเว็บเป็นผู้ตอบ การที่ได้รับคำตอบ
โดยตรง ก็เหมือนเราได้สนทนากับพระอาจารย์

 

[เสกสรรค์]

ผมว่า ทำต่อไปเถอะครับ คืออยากให้มีการเผยแผ่ ในเชิงรุก คือ ใช้ social network ให้เป็นประโยชน์ครับ
แต่บุคคลที่จะเข้าถึงธรรม นั้นอยู่ที่บารมีวาสนา ด้วยครับ ผมเอง ก็รู้จักได้อ่านศึกษา ธรรมะ ก็ระบบ internet
นี้ละครับ ที่ทำให้ได้ศึกษา พระธรรมกันบ้างครับ

 ดีครับ เห็นด้วย อย่างยิ่ง

 

[ธัมมะวังโส]

ก็ขอตอบว่า ไม่ควรใช้ เลยสักอย่าง...... ถ้า ไม่มีเหตผล ที่สมควร

ดังนั้น ตอนนี้ www.madchim.org ก็มี facebook และ twitter ด้วยนะ

มีเพื่ออะไร .... ทุกท่านไปหาคำตอบ ให้ด้วย

ก็ คิดว่าตามความเหมาะสม โดยส่วนตัวไม่อยากพิมพ์ หรือ ตอบอะไร ใคร ๆ ทั้ง นั้น นะจ๊ะ

4 เดือนที่ผ่านมา อาตมาชอบมาก เพราะไม่ต้องมารับทราบปัญหา ของทุกท่าน

 เจริญธรรม