ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พรหม ที่ปรากฏใน พระไตรปิฏก มีกี่พรหม คะ  (อ่าน 18098 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

sunee

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 301
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
พรหม ที่ปรากฏใน พระไตรปิฏก มีกี่พรหม คะ
« เมื่อ: พฤศจิกายน 22, 2011, 06:37:30 pm »
0
อยากทราบ พรหม ที่ปรากฏในพระไตรปิฏก มีกี่พรหม และ กี่ประเภท คะ
พรหม เหล่านี้ได้บรรลุ เป็นพระอริยะบุคคลด้วยหรือไม่ คะ

  :c017: :25: :88: :58:
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29288
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: พรหม ที่ปรากฏใน พระไตรปิฏก มีกี่พรหม คะ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 22, 2011, 07:43:29 pm »
0
 
(รูปาวจรภูมิ) 

        ในพรหมโลก ผู้ที่เกิดเป็นพรหม มีอยู่ ๒ ประเภท คือ
         มีรูปร่างกาย (ขันธ์ ๕) อย่างมนุษย์หรือเทวดา เรียกว่า “รูปพรหม” กับ
         พรหมที่ไม่มีรูปมีแต่จิตวิญญาณ (นามขันธ์ ๔) เรียกว่า “อรูปพรหม”

         
          ผู้ที่จะไปเกิดเป็นพรหมจะต้องได้ ฌาน ซึ่งถือว่าเป็นบุญ ที่มีกำลังแรงมาก ถ้าฌานไม่เสื่อม ชาติหน้าจะต้องไปเกิด เป็นพรหมแน่นอน ถือเป็น “ครุกรรม” คือกรรมหนักที่เป็นฝ่ายดี พรหมที่มีรูป หรือ รูปพรหม มี ๑๖ ชั้น ดังนี้

           
           
          ได้แก่ ผู้ที่เจริญสมถกรรมฐานจนบรรลุปฐมฌาน โดยมีองค์ฌาน ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข และ เอกัคคตา  โดยแบ่งลักษณะการได้ฌานออกเป็น ๓ ระดับ คือ
     ปฐมฌานอย่างอ่อน
     ปฐมฌานอย่างกลาง และ
     ปฐมฌานอย่างแก่กล้า

 
          ดังนั้น ผู้ที่ได้ปฐมฌานจึงไปเกิดได้ ๓ ภูมิ ด้วยกันตามกำลังของฌานที่ได้ คือ
 
๑. พรหมปาริสัชชาภูมิ 
          พรหมที่เกิดในภูมินี้ เกิดด้วยอำนาจของปฐมฌาน ที่มีกำลังอ่อน เป็นพรหมที่ไม่มีอำนาจพิเศษอะไร จัดอยู่ในประเภทพรหมที่ เป็นบริวาร คอยรับใช้พรหมที่เป็นหัวหน้า คือ ท้าวมหาพรหม มีอายุ ๑ ใน ๓ มหากัป
๒. พรหมปุโรหิตาภูมิ 
          พรหมที่เกิดในภูมินี้เกิดด้วยอำนาจของฌาน ที่มีกำลังปานกลาง เป็นพรหมที่ปรึกษา ในกิจการงานของพรหมที่เป็นหัวหน้า คือ ท้าวมหาพรหม มีอายุ ๑ ใน ๒ ของมหากัป
๓. มหาพรหมาภูมิ
          พรหมที่เกิดในภูมินี้เกิดด้วยอำนาจของฌานที่มีกำลังแก่กล้า เป็นพรหมที่เป็นใหญ่เป็นหัวหน้า ปกครองพรหมในชั้นปฐมฌานภูมิทั้งหมด มีอายุ ๑ มหากัป

           
ที่ตั้งของปฐมฌานภูมิ ๓
          พรหมทั้ง ๓ ชั้นนี้ ตั้งอยู่กลางอากาศในระดับเดียวกัน ห่างจากเทวดาชั้นสูงสุด คือ ปรนิมมิตวสวัตดี ประมาณ ๕,๕๐๘,๐๐๐ โยชน์ มีวิมาน สวนดอกไม้ และสระโบกขรณี อันล้วนด้วย รัตนะทั้ง ๗ มีรัศมีแวววาวสวยงามยิ่ง ถึงอย่างไรก็ดี เมื่อโลกถูกทำลายด้วยไฟ น้ำ หรือลม ปฐมฌานภูมินี้ ย่อมถูกทำลายไปด้วยทุกครั้ง

           
           
          ได้แก่ ผู้ที่เจริญสมถกรรมฐาน จนบรรลุทุติยฌาน หรือตติยฌาน ซึ่งมีจิตที่ละเอียดกว่าปฐมฌาน
   สำหรับทุติยฌาน องค์ฌานจะลดลงเหลือเพียง ๔ คือ วิจาร ปีติ สุข และ เอกัคคตา
   ผู้ที่ได้ตติยฌาน องค์ฌานลดลงเหลือ ๓ คือ ปีติ สุข และ เอกัคคตา
   พรหมในทุติยฌานภูมินี้ เป็นพรหมที่มีรัศมีประจำกาย แบ่งออกเป็น ๓ ระดับ เช่นเดียวกับปฐมฌานภูมิ คือ มีกำลังอ่อน ปานกลาง และแก่กล้า


      ดังนั้น ผู้ที่ได้ทุติยฌาน และตติยฌาน จะไปเกิดในทุติยฌานภูมิ ๓ เช่นเดียวกัน เพราะอำนาจของวิตกและวิจารนั้นใกล้เคียงกันมาก ในทุติยฌานภูมินี้ แบ่งออกเป็น ๓ ภูมิ คือ
           
๑. ปริตตาภาภูมิ
          พรหมที่เกิดในภูมินี้จะมี รัศมีไม่สว่างรุ่งโรจน์นัก เกิดด้วยอำนาจ ของทุติยฌานที่มีกำลังอ่อน เป็นพรหมที่เป็นบริวาร คอยรับใช้ พรหมที่เป็นหัวหน้า คือ อาภัสสรพรหม มีอายุ ๒ มหากัป
๒. อัปปมาณาภาภูมิ
          พรหมที่เกิดในภูมินี้จะ มีรัศมีรุ่งโรจน์หาประมาณมิได้ เกิดด้วยอำนาจของทุติยฌานที่มีกำลังปานกลาง มีหน้าที่ให้คำปรึกษา ในกิจการงานของอาภัสสรพรหม มีอายุ ๔ มหากัป 
๓. อาภัสสราภูมิ 
          พรหมที่เกิดในภูมินี้จะ มีรัศมีแผ่ซ่านออกจากร่างกาย เกิดด้วยอำนาจ ของทุติยฌานที่มีกำลังแก่กล้า เป็นพรหมที่เป็นใหญ่เป็นหัวหน้า อยู่ในชั้นทุติยฌานภูมิ ๓ มีอายุ ๘ มหากั

           
ที่ตั้งของทุติยฌานภูมิ ๓
          ทุติยฌานภูมิ ๓ นี้ ตั้งอยู่กลางอากาศ สูงจากปฐมฌานภูมิขึ้นมาประมาณ ๕,๕๐๘,๐๐๐ โยชน์ มีวิมาน ดอกไม้ และสระโบกขรณี ที่สวยงามประณีตยิ่งกว่าปฐมฌานภูมิ ๓

           
           
        ได้แก่ ผู้ที่เจริญสมถกรรมฐานจนบรรลุจตุตถฌาน เป็นฌานที่ประณีตกว่าทุติยฌาน และตติยฌาน องค์ฌานจะลดลงเหลือ ๒ คือ สุข และ เอกัคคตา เป็นพรหมที่มีรัศมีกายสวยงาม แบ่งออกเป็น ๓ ระดับ คือ กำลังอ่อน ปานกลาง และแก่กล้า แบ่งออกเป็น ๓ ภูมิ คือ
           
๑. ปริตตสุภาภูมิ
          พรหมที่เกิดในภูมินี้จะ มีรัศมีสวยงามไม่มากนัก เกิดขึ้นด้วยอำนาจของจตุตถฌานที่มีกำลังอ่อน เป็นพรหมที่เป็นบริวารคอยรับใช้ พรหมที่เป็นหัวหน้า คือ สุภกิณหาพรหม มีอายุ ๑๖ มหากัป
๒. อัปปมาณสุภาภูมิ 
          พรหมที่เกิดในภูมินี้จะ มีรัศมีสวยงามหาประมาณมิได้ เกิดขึ้นด้วยอำนาจของจตุตถฌานที่มีกำลังปานกลาง เป็นพรหมที่ให้คำปรึกษา ในกิจการงานของพรหมที่เป็นหัวหน้า คือ สุภกิณหาพรหม มีอายุ ๓๒ มหากัป
๓. สุภกิณหาภูมิ
          พรหมที่เกิดในภูมินี้จะ มีรัศมีสวยงามทั่วร่างกาย เกิดขึ้นด้วยอำนาจของจตุตถฌาน ที่มีกำลังแก่กล้า เป็นพรหมที่เป็นใหญ่เป็นหัวหน้า ปกครองพรหมในชั้นตติยฌานภูมิ ๓ ทั้งหมด มีอายุ ๖๔ มหากัป

           
ที่ตั้งของตติยฌานภูมิ ๓
          ตติยฌานภูมิ ๓ นี้ ตั้งอยู่กลางอากาศห่างจากทุติยฌานภูมิ ๕,๕๐๘,๐๐๐ โยชน์ ตั้งอยู่ในระดับเดียวกันทั้ง ๓ ภูมิ ประกอบด้วยรัตนะทั้ง ๗ พรั่งพร้อมด้วยวิมาน สวน สระโบกขรณี และต้นกัลปพฤกษ์

 
ที่มา http://www.buddhism-online.org/Section06B_10.htm
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29288
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: พรหม ที่ปรากฏใน พระไตรปิฏก มีกี่พรหม คะ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: พฤศจิกายน 22, 2011, 07:54:31 pm »
0


          ได้แก่ ผู้ที่เจริญสมถกรรมฐาน จนบรรลุปัญจมฌาน เป็นฌานที่ประณีตกว่าจตุตถฌาน มีองค์ฌาน ๒ คือ อุเบกขา และ เอกัคคตา แบ่งออกเป็น ๗ ภูมิ ซึ่งเป็นที่เกิดของพระอนาคามีบุคคล ๕ ภูมิ เรียกว่า สุทธาวาสภูมิ ๕ อีก ๒ ภูมิ เป็นที่เกิดของอริยบุคคล และผู้ที่ยังไม่ได้เป็นอริยบุคคลได้ตามสมควร คือ
         
๑. เวหัปผลาภูมิ
          เป็นภูมิที่มีผลอันไพบูลย์ พ้นจากอันตรายใด ๆ คือ เมื่อ โลกถูกทำลาย ด้วยไฟ ปฐมฌานภูมิ ๓ จะถูกทำลายหมด เมื่อคราว โลกถูกทำลายด้วยน้ำ ปฐมฌานภูมิ ๓ และทุติยฌานภูมิ๓ จะถูกทำลายหมด เมื่อ โลกถูกทำลายด้วยลม ปฐมฌานภูมิ ๓ ทุติยฌานภูมิ ๓ และตติยฌานภูมิ ๓ จะถูกทำลายหมด ซึ่ง เวหัปผลาภูมินี้จะพ้นจากอันตรายทั้ง ๓ ขณะที่โลกถูกทำลาย พรหมในภูมินี้ มีอายุ ๕๐๐ มหากัป


๒. อสัญญสัตตาภูมิ
          พรหมที่เกิดในภูมินี้จะมีแต่ รูปขันธ์อย่างเดียว ไม่มีนามขันธ์ เรียกว่า พรหมลูกฟัก มีลักษณะเหมือนหุ่น หรือพระพุทธรูป จะมีอริยาบถท่าทางต่าง ๆ กัน ขึ้นอยู่ที่ว่าตอนตาย จะอยู่ในลักษณะท่าทางอย่างไร ถ้าตายในลักษณะนั่งหรือยืน เมื่อไปเกิดในพรหมชั้นนี้ จะต้องนั่งหรือยืนอยู่อย่างนั้น ๕๐๐ มหากัป เท่าอายุ แล้วนามขันธ์ก็จะเกิดขึ้น เพื่อนำไปเกิดในภพใหม่ชาติใหม่ต่อไป

         
ที่ตั้งของเวหัปผลาภูมิ และอสัญญสัตตาภูมิ
          เวหัปผลาภูมิ และอสัญญสัตตาภูมิ ทั้ง ๒ นี้ ตั้งอยู่ท่ามกลางอากาศ ในระดับเดียวกัน ห่างจากตติยฌานภูมิ ๕,๕๐๘,๐๐๐ โยชน์ มีสวนดอกไม้ สระโบกขรณี และต้นกัลปพฤกษ์

         

          สุทธาวาสภูมิ เป็นภูมิของพระอริยบุคคล คือ พระอนาคามี และ พระอรหันต์ ที่บริสุทธิ์จากกามราคะ นอกจากนั้น ยังจะต้องเป็นผู้ที่ได้ปัญจมฌานด้วย มี ๕ ภูมิ คือ อวิหาภูมิ อตัปปาภูมิ สุทัสสาภูมิ สุทัสสีภูมิ และอกนิฏฐาภูมิ

          ผู้ที่เกิดในสุทธาวาสภูมิแล้ว จะไม่เกิดซ้ำภูมิอีก จะเกิดสูงขึ้นไปตามลำดับ แต่ละภูมิตั้งอยู่ในอากาศ แต่ละชั้นไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเหมือนอย่างปฐมฌานภูมิ ทุติยฌานภูมิ หรือ ตติยฌานภูมิ ซึ่งแต่ละภูมิในสุทธาวาสนี้ มีระดับสูงห่างจากกันระหว่างภูมิ ชั้นละ ๕,๕๐๘,๐๐๐ โยชน์
         
๑. อวิหาภูมิ
          พรหมที่เกิดในภูมินี้ จะต้องเป็นผู้มีสัทธินทรีย์แก่กล้า กว่าอินทรีย์อย่างอื่น ในอินทรีย์ ๕ (สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ และปัญญินทรีย์) จะยึดมั่นในสถานที่ และทรัพย์สมบัติของตน อย่างไม่เสื่อมคลาย คือ เป็นภูมิที่ไม่ละทิ้งสถานที่ของตนแม้เวลาเพียงเล็กน้อย จนกว่าจะหมดอายุขัย คือ ๑,๐๐๐ มหากัป
          ผู้ที่เกิดในอวิหาภูมินี้ จะต้องเกิดด้วยกำลังของศรัทธาเป็นตัวนำ นับว่าเป็นผู้มีคุณวิเศษ ในบวรพุทธศาสนา เมื่อดับขันธ์สิ้นแล้ว จะอุบัติเกิดขึ้นในสุทธาวาสชั้นที่สูงขึ้น หรือถ้าบำเพ็ญเพียรสำเร็จ เป็นพระอรหันต์ก็จะดับขันธ์ เข้าสู่พระปรินิพพานในภูมินี้


๒. อตัปปาภูมิ
          เป็นที่สถิตย์ของพระอนาคามีบุคคล ผู้ไม่มีความเดือดร้อน เป็น ภูมิ ที่สูงขึ้นไปต่อจากอวิหาภูมิ ๕,๕๐๘,๐๐๐ โยชน์ ผู้ที่เกิดในภูมินี้ ย่อมจะเข้าฌาน สมาบัติหรือผลสมาบัติอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้จิตเร่าร้อนจากนิวรณธรรม เพราะเป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นผู้ที่มีวิริยะ (วิริยินทรีย์) หรือความเพียรแก่กล้า กว่าอินทรีย์อื่น ๆ ในอินทรีย์ ๕ เมื่อสิ้นอายุขัย ๒,๐๐๐ มหากัป แล้วจะอุบัติเกิดขึ้นในสุทธาวาสชั้นที่สูงขึ้น หรือถ้าบำเพ็ญเพียรสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ก็จะดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพานในภูมินี้

๓. สุทัสสาภูมิ
           เป็นที่สถิตย์ของพระอนาคามีบุคคล ผู้ที่มีการเห็นชัดเจนแจ่มใส บริบูรณ์ด้วยประสาทจักขุ ทิพพจักขุ ธัมมจักขุ และปัญญาจักขุ เป็นผู้ที่เห็น ภัยในวัฏฏสงสาร อุตสาหะในการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ที่มีสติ (สตินทรีย์) แก่กล้ากว่าอินทรีย์อย่างอื่น เมื่อสิ้นอายุขัย ๔,๐๐๐ มหากัปแล้ว ก็จะอุบัติเกิดขึ้นในสุทธาวาสชั้นที่สูงขึ้น หรือถ้าบำเพ็ญเพียรสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ก็จะดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพานในภูมินี้


๔. สุทัสสีภูมิ
          เป็นที่สถิตย์ของพระอนาคามีบุคคล ผู้ที่มีการเห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง กว่าสุทัสสาภูมิ ในประสาทจักขุ ทิพพจักขุ และปัญญาจักขุ ส่วนธัมมจักขุ นั้น มีกำลังเสมอกันกับสุทัสสาภูมิ เมื่อเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ก็จะมีวิริยะในการเจริญวิปัสสนากรรมฐานที่มีสมาธิ (สมาธินทรีย์) แก่กล้ากว่าอินทรีย์อย่างอื่น เมื่อดับขันธ์สิ้นอายุขัย ๘,๐๐๐ มหากัป แล้วจะอุบัติเกิดขึ้นในสุทธาวาสชั้นที่สูงขึ้น หรือถ้าบำเพ็ญเพียรสำเร็จ เป็นพระอรหันต์จะดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพานในภูมินี้

5. อกนิฏฐาภูมิ
          เป็นสุทธาวาสชั้นสูงสุดเป็นยอดภูมิของพระอริยบุคคล ซึ่งพระอริยบุคคลทั้งหลาย ที่อยู่ในพรหมโลกจะต้องสำเร็จ เป็นพระอรหันต์แน่นอนในภูมิ นี้ พระอนาคามีที่จะต้องใช้ความเพียร เพื่อให้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ จะเป็นผู้ที่มีปัญญา (ปัญญินทรีย์) แก่กล้ากว่าอินทรีย์อื่น ทุกพระองค์จะเสวยอริยผล จนกว่าจะสิ้นอายุขัย ๑๖,๐๐๐ มหากัป เมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วจะเข้าสู่พระนิพพาน ณ ที่นี้

 
ทุสสะเจดีย์
         
          ในอกนิฏฐาภูมินี้ มีพระเจดีย์องค์หนึ่ง ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นพรหมโลก แสดงให้เห็นถึงการเคารพนับถือ ในบวรพระพุทธศาสนา เจดีย์ที่ประดิษฐานอยู่นี้มีชื่อว่า ทุสสะเจดีย์ หรือพระเจดีย์ผ้าขาว เป็นที่บรรจุเครื่องแต่งกาย ของพระโพธิสัตว์เจ้า สมัยที่ทรงออกผนวชแสวงหาวิโมกขธรรม

          โดยอกนิฏฐพรหม ได้นำเครื่องไตรจีวรมาถวายแทน แล้วเอาผ้าขาวที่พระองค์ทรงครองอยู่นั้น ออกจากพระวรกายแล้วมอบให้แก่พรหม พรหมก็ได้รับผ้าขาวนั้น ค่อยประคองพามา จนถึงอกนิฏฐสุทธาวาสพรหม เป็นเจดีย์ที่อกนิฏฐพรหมได้เนรมิตขึ้น เป็นพระเจดีย์แก้วที่มีรัศมีงามสุกใสยิ่งนัก สูง ๙๖,๐๐๐ วา ซึ่งเป็นที่บรรจุผ้าขาวทรงแห่งองค์พระโพธิสัตว์เจ้า เป็นที่สักการะบูชาของพรหมในภูมินี้

          วันหนึ่ง ๆ จะมีพรหมมาบูชาสักการะไม่ขาดสาย นับเป็นเทวสถานที่สำคัญ ทางพระพุทธศาสนา ของพรหมโลกในการที่จะน้อมระลึกถึง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
         
          พรหมโลกตั้งแต่ชั้นที่ ๑ ถึงชั้นที่ ๑๖ ดังกล่าวมาแล้วเป็นรูปพรหม หรือพรหมที่มีรูปเป็นทิพย์ มนุษย์ธรรมดาสามัญไม่สามารถจะมองเห็นได้ จะเห็นได้ก็โดยทิพย์วิสัยเท่านั้น


ที่มา http://www.buddhism-online.org/Section06B_11.htm
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 23, 2011, 10:02:38 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29288
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: พรหม ที่ปรากฏใน พระไตรปิฏก มีกี่พรหม คะ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: พฤศจิกายน 22, 2011, 08:06:58 pm »
0


          อรูปภูมิ เป็นภูมิที่อยู่ของพรหมที่ไม่มีรูปร่าง เพราะเห็นโทษของการมีรูปร่าง อัตภาพร่างกายว่า เป็นไปด้วยทุกข์โทษนานาประการ จากการถูกทำร้าย ถูกประหาร มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน เป็นต้น จึงขวนขวายในการเจริญสมถภาวนา เพื่อปรารถนาที่จะไม่มีรูปร่างกาย
          เมื่อบรรลุถึงอรูปฌานสิ้นชีพแล้ว จึงได้มาบังเกิดในอรูปภูมิ เป็นภูมิที่สูงสุด มีแต่นามคือจิตวิญญาณอย่างเดียว ไม่มีรูปร่างกาย ผู้ที่จะมาเกิดในภูมินี้ เป็นผู้ที่ได้เจริญในรูปฌานมาก่อน ในอรูปภูมิซึ่งเป็นแดนจิตวิญญาณนี้ มี ๔ ภูมิ คือ
         
๑. อากาสานัญจายตนภูมิ
           ผู้ที่เกิดในภูมินี้จะต้องเจริญสมถกรรมฐานจนได้ปัญจม ฌาน มาก่อนแล้ว มาเจริญอรูปฌานที่ ๑ คือ อากาสานัญจายตน ฌาน กำหนดเอาอากาศที่อยู่ในปฏิภาคนิมิตมาเป็นอารมณ์ โดย ภาวนาว่า “อากาศมีไม่สิ้นสุด” จนสำเร็จอรูปฌานที่ ๑ คือ อากาสานัญจายตนฌาน เมื่อสิ้นชีวิตลงก็จะมาเกิดในอากาสานัญจายตนภูมิ นี้ ซึ่ง มีแต่นาม ไม่มีรูป มีอายุเสวยในพรหมสมบัติ ๒๐,๐๐๐ มหากัป

         
๒. วิญญานัญจายนตนภูมิ
          เป็นภูมิที่อยู่ของพรหม คือ วิญญาณัญจายตนพรหมผู้ ซึ่งได้อรูปฌานที่ ๒ คือ วิญญาณัญจายตนฌาน ด้วยการพิจารณา จิตวิญญาณที่เข้าไปรู้ อากาศไม่มีที่สิ้นสุดในอากาสานัญจายตนฌาน ภูมินี้อยู่ห่างไกลจากอากาสานัญจายตนภูมิ ๕,๕๐๘,๐๐๐ โยชน์ เป็นภูมิที่มีความสุขประณีตละเอียดกว่า อากาสานัญจายตนภูมิ เสวยในพรหมสมบัติ ๔๐,๐๐๐ มหากัป
         
๓. อากิญจัญญายตนภูมิ
          เป็นภูมิที่อยู่ของพรหม คือ อากิญจัญญายตนพรหม ผู้ซึ่งได้อรูปฌานที่ ๓ คือ อากิญจัญญายตนฌาน ด้วยการพิจารณา ความไม่มีอะไร คือ ไม่มีทั้งอากาสและวิญญาณ ซึ่งเป็นอารมณ์ของอรูปฌานที่ ๑ และอรูปฌานที่ ๒ ภูมินี้อยู่ห่างไกลจากวิญญาณัญจายตนภูมิ ๕,๕๐๘,๐๐๐ โยชน์ เป็นภูมิที่มีความสุขประณีตละเอียดกว่า วิญญาณัญจายตนภูมิ เสวยในพรหมสมบัติ ๖๐,๐๐๐ มหากัป


           ผู้ที่ไปเกิดอยู่ในภูมินี้ ได้แก่ อาฬารดาบสกาลามโคตร ผู้ซึ่งเป็นครูที่สอนการทำฌานสมาบัติ ให้แก่พระโพธิสัตว์ ก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว ก็คิดที่จะไปโปรดอาจารย์ผู้นี้ แต่เมื่อส่องทิพพจักขุญาณแล้ว ก็ทรงประจักษ์ว่า ท่านอาฬารดาบสผู้นี้ ได้ดับขันธ์ไปแล้วเมื่อ ๗ วัน ก่อนที่พระองค์ จะตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ เข้าสู่ความเป็นอรูปพรหม คือ อากิญจัญญายตนภูมิ นี้

๔. เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ
          เป็นภูมิที่อยู่ของพรหม คือ เนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ผู้ซึ่งได้อรูปฌานที่ ๓ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ด้วยการพิจารณาสัญญาที่เข้าไปรู้ ในบัญญัติอารมณ์ว่า มีก็ใช่ ไม่มีก็ใช่ อุปมาเสมือนกับ น้ำมันที่ทาบาตร จะว่าบาตรนั้น มีน้ำมันอยู่ก็ไม่ใช่ หรือไม่มีน้ำมันอยู่ก็ไม่ใช่ เพราะเทออกมาไม่ได้ ซึ่งเป็นฌานที่สูงสุด ภูมินี้จะอยู่ห่างไกลจากอากิญจัญญายตนภูมิ ๕,๕๐๘,๐๐๐ โยชน์ เป็นภูมิที่มีความสุขประณีตละเอียดกว่ าอากิญจัญญายตนภูมิ เสวยในพรหมสมบัติ ๘๔,๐๐๐ มหากัป


          ผู้ที่ไป เกิดอยู่ในภูมินี้ได้แก่ อุทกดาบสรามบุตร ซึ่งเป็นครูสอนฌานสมาบัติ ให้แก่พระพุทธองค์ ก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่นเดียวกับ อาฬารดาบส เมื่อพระองค์คิดจะไปแสดงธรรม ก็ได้ทราบโดยทิพพจักขุว่า อุทกดาบส ได้สิ้นชีพไปแล้ว เมื่อภพค่ำนี้เอง อุบัติเป็นอรูปพรหม ในเนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ นี้
         
          ทั้งหมดคือเรื่องราวของสังสารวัฏ ที่เราจะต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่ำไปใน ๓๑ ภูมิ จนกว่าจะ ประหานกิเลสโดยสิ้นเชิง บรรลุพระอรหันต์ จึงจะจบชีวิตปิดสังสารวัฏได้ และ คงจะเป็นคำตอบได้ดี สำหรับคนที่เข้าใจว่า “สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ” และคงจะมีคนอีกจำนวนไม่น้อยทีเดียว ที่เข้าใจอย่างนี้ ถ้าจะช่วยกันชี้แจงความจริง ให้ทราบก็จะเป็นบุญกุศลไม่น้อยทีเดียว


(ภาพสมมุติ)
   
๑.ยุคันธร   ๒.อีสินธร   ๓.กรวิก   ๔.สุทัสสนะ   ๕.เนมินทร   
๖.วินัตตถะ   ๗.อัสสกรรณ   ซึ่งเป็นภูเขาทิพย์

ที่มา http://www.buddhism-online.org/Section06B_12.htm
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 23, 2011, 10:04:08 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29288
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: พรหม ที่ปรากฏใน พระไตรปิฏก มีกี่พรหม คะ
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: พฤศจิกายน 22, 2011, 08:13:08 pm »
0

เรื่อง พรหม มีอยู่ใน
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=12&A=0&Z=237
และในอรรถกถา
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=1&p=3#%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A1

เรื่อง สุทธาวาส มีอยู่ใน
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=11&A=5599&w=%CA%D8%B7%B8%D2%C7%D2%CA
และอรรถกถา
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=11&i=221&p=6#%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%BA%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%8D%E0%B8%BA%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%93%E0%B8%BA%E0%B8%93%E0%B8%99%E0%B8%B2



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 23, 2011, 10:08:52 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29288
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: พรหม ที่ปรากฏใน พระไตรปิฏก มีกี่พรหม คะ
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2011, 10:26:42 am »
0
อยากทราบ พรหม ที่ปรากฏในพระไตรปิฏก มีกี่พรหม และ กี่ประเภท คะ
พรหม เหล่านี้ได้บรรลุ เป็นพระอริยะบุคคลด้วยหรือไม่ คะ

  :c017: :25: :88: :58:

พรหม ผู้ประเสริฐ,
       เทพในพรหมโลก เป็นผู้ไม่เกี่ยวข้องด้วยกาม มี ๒ พวก คือ
           รูปพรหมมี ๑๖ ชั้น
           อรูปพรหมมี ๔ ชั้น;
       ดู พรหมโลก;
       เทพสูงสุดหรือพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาพราหมณ์


พรหมโลก ที่อยู่ของพรหม
       ตามปกติหมายถึง รูปพรหม ซึ่งมี ๑๖ ชั้น (เรียกว่า รูปโลก) ตามลำดับดังนี้
           ๑. พรหมปาริสัชชา
           ๒. พรหมปุโรหิตา
           ๓. มหาพรหมา
           ๔. ปริตตาภา
           ๕. อัปปมาณาภา
           ๖. อาภัสสรา
           ๗. ปริตตสุภา
           ๘. อัปปมาณสุภา
           ๙. สุภกิณหา
           ๑๐. อสัญญีสัตตา
           ๑๑. เวหัปผลา
           ๑๒. อวิหา
           ๑๓. อตัปปา
           ๑๔. สุทัสสา
           ๑๕. สุทัสสี
           ๑๖. อกนิฏฐา
;

       นอกจากนี้ยังมีอ อรูปพรหม ซึ่งแบ่งเป็น ๔ ชั้น (เรียกว่า อรูปโลก) คือ
           ๑. อากาสานัญจายตนะ
           ๒. วิญญาณัญจายตนะ
           ๓. อากิญจัญญายตนะ
           ๔. เนวสัญญานาสัญญายตนะ


สุทธาวาส ที่อยู่ของท่านผู้บริสุทธิ์ คือ ที่เกิดของพระอนาคามี
       ได้แก่ พรหม ๕ ชั้นที่สูงสุดในขั้นรูปาวจร คือ  อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา


ที่มา พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)


        ขอให้คุณสุนีย์อ่านให้เข้าใจนะครับ โดยเฉพาะเรื่อง สุทธาวาสภูมิ ๕ เพราะภูมินี้เป็นที่อยู่ของอริยบุคคลในชั้นอนาคามีและอรหันต์ แต่ไม่ได้หมายความว่า แดนนิพพานจะอยู่ชั้นนี้นะครับ
        พรหมชั้นสุทธาวาสนี้มีอายุขัยที่แน่นอน อรหันต์ที่อยู่ชั้นนี้แค่เสวยผลกรรมฝ่ายกุศลเท่านั้น เมื่อสิ้นอายุขัยก็จะปรินิพพาน

         :49:
     
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

อัจฉริยะ

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 123
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: พรหม ที่ปรากฏใน พระไตรปิฏก มีกี่พรหม คะ
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2011, 10:41:43 am »
0
พรหมพุทธแท้ที่สำคัญนี้  ขอแนะนำสามท่าน คือ

          ๑)  ฆฏิการพรหม

          พรหมท่านนี้  ก่อนที่จะมาเกิดเป็นพรหม ท่านเกิดในสมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ   มีชื่อว่า ฆฏิการะ เป็นคนวรรณะต่ำ  มีอาชีพปั้นหม้อ  ในครั้งนั้น พระพุทธเจ้าของเรา บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ มีชื่อว่า  โชติปาละมาณพ

          ท่าน ฆฏิการะ ได้ฟังธรรมในสำนักของพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ จนได้บรรลุเป็นพระอนาคามีบุคคล แต่ไม่ได้ออกบวชเพราะต้องเลี้ยงดูบิดามารดา 

          ส่วนโชติปาละมาณพ ได้ออกบวชในสำนักของพระพุทธเจ้ากัสสปะ  ได้ บำเพ็ญสมณธรรมจนบรรลุวิปัสสนาญาณในขั้น "อนุโลมญาณ" แล้วจึงหยุด (เพราะผู้จะเป็นพระพุทธเจ้า จะไม่เป็นพระอริยสงฆ์สาวกในสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง)  และเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก 

          เมื่อทั้งสองท่านได้กระทำกาละ (คือ ตาย) แล้ว  ฆฏิการมาณพ ก็ได้อุบัติในชั้นสุทธาวาสพรหมโลก  เป็นพรหมอนาคามี  (ส่วนโชติปาละมาณพ ในชาติสุดท้ายก็คือพระพุทธเจ้าของเรา)

          ในคราวที่พระโพธิสัตว์สิทธัตถะเสด็จออกผนวช  ฆฏิการพรหมผู้นี้ ได้นำเอาบาตรและจีวรของบรรพชิตมาถวายแด่พระโพธิสัตว์   และได้นำผ้าภูษาที่พระโพธิสัตว์ทรงเปลื้องออก ไปบรรจุในเจดีย์ ประดิษฐานในพรหมโลก  มีชื่อว่า ทุสสะเจดีย์

          ขอเสริมเนื้อหาตรงนี้ว่า   ชื่อ ทุสสะเจดีย์ นี้ เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นภายหลัง ในคัมภีร์ วิสุทธชนวิลาสินี อรรถกถาแห่งขุททกนิกาย พุทธวงศ์  ไม่ปรากฏชื่อเจดีย์นี้  แต่ได้กล่าวว่า ฆฏิการพรหม ได้นำผ้าทรงของพระโพธิสัตว์ ไปที่พรหมโลก แล้วสร้างเจดีย์ที่สำเร็จด้วยรัตนะ  ขนาด ๑๒ โยชน์ขึ้น   แล้วนำผ้านั้นประดิษฐานในเจดีย์     

          ดังนั้น คำว่า ทุสสะเจดีย์ จึงเป็นคำที่เรียกขึ้นในภายหลัง  ตามลักษณะของเจดีย์ในพรหมโลก ที่ประดิษฐานผ้าทรงของพระโพธิสัตว์นั่นเอง (ทุสสะเจดีย์ แปลว่า เจดีย์ที่บรรจุผ้า)

          เรื่องของฆฏิการพรหมนี้  ปรากฏในฆฏิการสูตร มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ข้อที่ ๔๐๓


       ๒) สหัมบดีพรหม

          พระพรหมท่านนี้ ก็เป็นพรหมอนาคามี และเป็นผู้ใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้า และพระพุทธศาสนามาก  บ่อยครั้งที่ท่านจะมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า  ตามที่เราทราบกันดีว่า ท่านเป็นผู้ที่มาทูลอาราธนาให้พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม  แต่มีพระสูตรหนึ่ง ในสังยุตตนิกาย ที่ผู้เขียนอ่านแล้วรู้สึกประทับใจ คือ สหัมบดีพรหม  ได้ มาแก้ทิฏฐิของนางพราหมณีคนหนึ่ง ที่ชอบบูชาพระพรหมด้วยอาหารต่างๆ ให้เลิกเสีย แล้วหันมาถวายทานแด่พระอรหันต์ผู้เป็นยิ่งกว่าพรหม ดังปรากฏใน พรหมเทวสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ข้อที่  ๕๖๓

          เนื้อหาย่อ ๆ ก็มีอยู่ว่า นางพราหมณีคนหนึ่ง มีบุตรชื่อว่า พรหมเทวะ  ได้ออกบวชในสำนักของพระพุทธเจ้า ได้ปฏิบัติธรรมจนบรรลุเป็นพระอรหันต์  ส่วนนางพราหมณีผู้เป็นแม่ ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่เคยทำบุญใส่บาตรกับพระภิกษุสงฆ์ แต่ชอบทำพิธีถวายอาหารแด่พระพรหมอยู่เสมอ

          ครั้งหนึ่ง พระพรหมเทวะ เที่ยวบิณฑบาตในเวลาเช้า เข้ามาในเรือนของนางพราหมณีผู้เป็นมารดา  แต่นางพราหมณีก็ไม่ถวายแม้ข้าวสักกระบวยหนึ่ง มัวแต่วุ่นอยู่กับการทำพิธีถวายอาหารพระพรหม

          สหัมบดีพรหมเห็นเรื่องนี้แล้ว จึงคิดว่าจะทำให้นางเกิดความสังเวช ทำนองจะให้เห็นความไร้สาระของพิธีกรรมที่ทำอยู่         นางจะได้เลิกทิฏฐิผิด และหันมานับถือพระพุทธศาสนา  คิด ดังนั้น ท่านจึงได้หายตัวจากพรหมโลก มาปรากฏที่เบื้องหน้าของนางพราหมณี แล้วกล่าวกับนางพราหมณี ว่า.... (ขอยกเนื้อความมาจากพระไตรปิฎก)

 

          ดูก่อนนางพราหมณี    ท่านถือการบูชาด้วยก้อนข้าวแก่พรหมใด  มั่นคงเป็นนิตย์  พรหมโลกของพรหมนั้นอยู่ไกลจากที่นี้


          ดูก่อนนางพราหมณี  ภักษาของพรหม ไม่ใช่เช่นนี้  ท่านไม่รู้จักทางของพรหม  ทำไมจึงบ่นถึงพรหม.


          ดูก่อนนางพราหมณ์    ก็ท่านพระพรหมเทวะของท่านนั้น    เป็นผู้หมดอุปธิกิเลส  ถึงความเป็นอติเทพ  ไม่มีกิเลสเป็นเครื่องกังวล  มีปกติขอ  ไม่เลี้ยงดูผู้อื่น


          ท่านพระพรหมเทวะที่เข้าสู่เรือนของท่าน เพื่อบิณฑบาต  เป็นผู้สมควรแก่บิณฑะที่บุคคลพึงนำมาบูชา  ถึงเวท มีตนอบรมแล้ว    สมควรแก่ทักษิณาทานของมนุษย์ และเทวดาทั้งหลาย  ลอยบาปเสียแล้ว  อันตัณหาและทิฐิไม่ฉาบทาแล้ว  เป็นผู้เยือกเย็น  กำลังเที่ยวแสวงหาอาหารอยู่.


          อดีตอนาคตไม่มีแก่ท่านพระพรหมเทวะนั้น   ท่านพระพรทมเทวะเป็นผู้สงบระงับ    ปราศจากควัน    ไม่มีทุกข์     ไม่มีความหวัง  วางอาชญาในปุถุชนผู้ยังมีความหวาดหวั่นและในพระขีณาสพผู้มั่นคงแล้ว


          ขอท่านพระพรหมเทวะนั้นจงบริโภคบิณฑบาตอันเลิศที่สำหรับบูชาพรหมของท่าน.

 

          ท่านพระพรหมเทวะซึ่งเป็นผู้มีเสนามารไปปราศแล้ว   มีจิตสงบระงับ   ฝึกตนแล้ว  เที่ยวไปเหมือนช้างตัวประเสริฐ  ไม่หวั่นไหว  เป็นภิกษุมีศีลดี   มีจิตพ้นวิเศษแล้ว   ขอท่านพระพรหมเทวะนั้น   จงบริโภคบิณฑบาตอันเลิศที่สำหรับบูชาพรหมของท่าน.


          ท่านจงเป็นผู้เลื่อมใสในท่านพระพรหมเทวะนั้น      เป็นผู้ไม่หวั่นไหว  ตั้งทักษิณาไว้ในท่านผู้เป็นทักษิเณยยบุคคล


          ดูก่อนนางพราหมณี  ท่านเห็นมุนีผู้มีโอฆะอันข้ามแล้วจงทำบุญ    อันจะนำความสุขต่อไปมาให้.


          ท่านจงเป็นผู้เลื่อมใสในท่านพระพรหมเทวะนั้น เป็นผู้ไม่หวั่นไหว   ตั้งทักษิณาไว้ในท่านผู้เป็นทักษิเณยยบุคคล


          ดูก่อนนางพราหมณี  ท่านเห็นมุนีผู้มีโอฆะอันข้ามแล้ว    ได้ทำบุญอันจะนำความสุขต่อไปมาให้แล้ว.


ในอรรถกถาพรหมเทวสูตรได้กล่าวถึงความคิดของท่านสหัมบดีพรหมไว้อย่างน่าสนใจ ว่า

         

 

          "นางพราหมณีนั้น  ให้พระมหาขีณาสพผู้เป็นอัครทักขิไณยบุคคลเห็นปานนี้   นั่งแล้ว  มิได้ถวายอาหารแม้เพียงข้าวยาคูกระบวยหนึ่ง   คิดว่า เราจักให้มหาพรหมบริโภค   ดุจทิ้งตาชั่งเสียแล้วใช้มือชั่ง    ดุจทิ้งกลองเสียแล้วประโคมท้อง   ดุจทิ้งไฟเสียแล้วเป่าหิ่งห้อย    เที่ยวทำพลีแก่ภูต   เราจักไปทำลายมิจฉาทิฏฐิของนาง  ยกนางขึ้นจากทางแห่งอบาย  จะกระทำโดยวิธีให้นางหว่านทรัพย์๘๐  โกฏิ  ลงในพระพุทธศาสนา  แล้วขึ้นสู่ทางสวรรค์."

 

 

          หมายความว่า ท่านสหัมบดีพรหม เห็นนางพราหมณีไม่ถวายอาหารแด่พระอรหันต์ขีณาสพผู้เป็นยอดแห่งทักขิเณยยบุคคล (ยอดแห่งผู้ควรรับถวายทาน)  แต่กลับไปสนใจแต่จะถวายอาหารแด่พระพรหม การทำอย่างนี้ เท่ากับทิ้งสิ่งมีประโยชน์ ไปคว้าเอาสิ่งไม่มีประโยชน์  เหมือนคนทิ้งตาชั่ง แล้วเอามือมาชั่งน้ำหนักแทน  เหมือน คนทิ้งกลอง แล้วเอามือตีท้อง หวังจะให้เกิดเสียงดังแทนกลอง เหมือนคนทิ้งคบเพลิง ทิ้งไฟ แล้วไปเป่าหิ่งห้อย หวังจะให้เกิดแสงสว่างแทนคบเพลิง

 

          หลังจากนั้นท่านสหัมบดีพรหมจึงได้ไปกล่าวกับนางพราหมณี  ซึ่งเนื้อหาโดยสรุปก็คือ ท่านบอกว่า  การที่นางพราหมณีทำเช่นนี้ ไม่ถูกต้อง  เพราะพระพรหมทั้งหลายนั้นอยู่ห่างไกลจากโลก แล้วพระพรหมก็ไม่ได้กินอาหารอย่างที่นางกำลังทำเพื่อบูชาอยู่

 

          แล้วจึงบอกว่า ขอให้นางพราหมณีถวายอาหารบิณฑบาตแด่พระพรหมเทวะแทน จะดีกว่า เพราะพระพรหมเทวะนั้น  เป็นยอดแห่งพรหม เป็นผู้ไม่มีกิเลส เป็นผู้ถึงเวท คือบรรลุอริยสัจ ถึงที่สุดทุกข์แล้ว

 

 

 

          เมื่อ อ่านเรื่องท่านสหัมบดีพรหมได้มาให้สติแก่นางพราหมณีนี้ ทำให้น่าพิจารณาได้ว่า การที่มนุษย์ทั้งหลาย ไปมัวเที่ยวแสวงหา เที่ยวบูชาพระพรหมอยู่นั้น  นับว่าเป็นการทิ้งสิ่ง ที่เป็นประโยชน์ ไปคว้าเอาสิ่งไม่มีประโยชน์ เพราะสิ่งที่เหนือกว่าพรหม คือธรรมะ คือพระรัตนตรัยนั้น เป็นสิ่งยอดสุดอยู่แล้ว  คนกลับไม่สนใจ

          ท่านสหัมบดีพรหม ในฐานะที่เป็นพระพรหมองค์หนึ่ง จึงเหมือนกับมาเตือนว่า  พรหมทั้งหลายเขาไม่ได้กินอาหารที่คนบูชาอย่างนี้ แล้วผู้ที่เหนือกว่าพรหมทั้งหลายก็มีอยู่  คือพระอรหันต์ทั้งหลาย และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นต้น นั่นเอง

         

 

          ๓) สนังกุมารพรหม

 

          ท่านสนังกุมารพรหมนี้  เป็นพระพรหมที่มีลักษณะแปลกกว่าพรหมองค์อื่น คือมีรูปลักษณะเป็นเด็ก ไว้ศีรษะเกล้าจุก ๕ จุก  เนื่องจากว่า ในสมัยโบราณนานไกล  สนังกุมารพรหม  แม้เมื่อสมัยเป็นเด็ก ไว้จุก ๕ จุก ก็ได้ปฏิบัติสมาธิจนได้ฌาน ได้บังเกิดยังพรหมโลก   

 

          คำว่า สนังกุมาร แปลว่า  เด็กโบราณ , เด็กเก่าแก่   ก็เพราะในสมัยก่อน ท่านเป็นเด็ก นั่นเอง

 

          ผู้เขียนยังไม่พบหลักฐานว่า สนังกุมารพรหมเป็นพระอนาคามีด้วยหรือไม่ แต่ที่แน่นอนก็คือ ท่านเป็นพรหมพุทธองค์หนึ่ง  เมื่อถึงวันอุโบสถ (วันพระ) ๑๕ ค่ำ  ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในสุธัมมาเทวสภา  พวกเทวดาจะมาฟังโอวาทธรรมจากพระอินทร์บ้าง จากเทวดาผู้เป็นปราชญ์ เป็นอริยบุคคลบ้าง   และสนังกุมารพรหม  ก็จะมาที่สุธัมมาเทวสภา  บางครั้งก็มากล่าวธรรมให้พวกเทวดาฟัง บางครั้งก็อนุโมทนาการแสดงธรรมของพระอินทร์ หรือของเทวดา เป็นต้น

 

          มี พระสูตรหนึ่ง ชื่อ สนังกุมารสูตร (พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ข้อที่ ๖๐๖)ได้กล่าวถึงสนังกุมารพรหม มาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า และกล่าวธรรมภาษิตบทหนึ่ง พระพุทธเจ้าก็ทรงพอพระทัยในพระธรรมภาษิตนั้น  (คือ ทรงเห็นด้วยกับธรรมภาษิตนั้น ว่ามีความถูกต้อง เข้ากันได้กับคำสอนของพระองค์) ธรรมภาษิตนั้น มีใจความว่า

 

 

                             ขตฺติโย เสฏฺโฐ ชเนตสฺมึ    เย โคตฺตปฏิสาริโน

                             วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน           โส เสฏฺโฐ เทวมานุเสติ ฯ

 

(แปลว่า)                           กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุด   

                                      ในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร

                                       แต่ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
                                       เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในเทวดาและมนุษย์.

ธรรมภาษิตนี้มีความหมายว่า   ในกลุ่มคนทั่วไป ที่ยังยึดติดกันเรื่องวรรณะ เรื่องโคตร คือชาติตระกูลนั้น  เขาก็จะยอมรับกันว่า กษัตริย์ก็เป็นผู้ประเสริฐที่สุด   แต่ถ้าใครก็ตาม ถึงพร้อมด้วยวิชชา คือความรู้ดี และจรณะ คือความประพฤติดี   (นี่คือความหมายในระดับล่างสุด เพราะความหมายในระดับสูง หมายถึงผู้ได้วิชชา ๘ และจรณะ ๑๕ อันเป็นองค์คุณของพระอรหันต์)  ย่อมประเสริฐที่สุด ในหมู่เทวดาและมนุษย์

 

          ธรรมภาษิตนี้ เป็นการยืนยันหลักการของพระพุทธศาสนาที่สำคัญ ก็คือ  พระพุทธศาสนา จะเน้นที่ศักยภาพของมนุษย์ในการพัฒนาตนเองให้เป็นผู้มีวิถีชีวิตที่ประเสริฐ  มากกว่าเหตุปัจจัยภายนอกเช่นชาติตระกูล หรือยศถาบรรดาศักดิ์     และยังบอกอีกด้วยว่า   ความเป็นกษัตริย์หรือคนวรรณะสูง  ก็เป็นที่ยกย่องกันเฉพาะในกลุ่มคนที่ยังติดเรื่องชาติชั้นวรรณะ  แต่ผู้ใด พัฒนาตนเองได้สูงสุด ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ แล้ว   เขาเป็นผู้ประเสริฐ ทั้งในหมู่ของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย   คือแม้เทวดา ก็ยังต้องเคารพบูชา

 

         

          พรหม ที่เป็นชาวพุทธยังมีอีกหลายท่าน ที่ยกมาแสดงนี้ก็เฉพาะท่านที่มีชื่อปรากฏบ่อยในพระไตรปิฎก และมีเนื้อหาที่น่าสนใจ แต่อย่างไรก็ตาม   การที่นำเรื่องพรหมพุทธมาแสดงนี้  ผู้เขียนไม่ได้มีจุดประสงค์ให้ชาวพุทธ  หันไปอ้อนวอนเคารพบูชาท่านที่เป็นพรหมพุทธเหล่านี้ แทน ท้าวชปจร. แต่อย่างใด  แต่ให้เป็นข้อพิจารณาว่า   พรหมพุทธนั้น ท่านเป็นพระพรหม เป็นเทพประเภทที่คนเชื่อถือกันมากว่ายิ่งใหญ่  แต่ท่านเหล่านี้  ก็ไม่ได้ถือว่าตัวท่านยิ่งใหญ่พิเศษมากมายอะไร  ท่านก็ยังถือธรรมะเป็นสิ่งสูงสุด เคารพบูชาพระรัตนตรัย   ให้ความสำคัญกับพระธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้า มากกว่าอย่างอื่น

 

          ข้อแตกต่างของพรหม(แบบ)พราหมณ์ กับพรหม (แบบ)พุทธ ก็คือ

         

พรหมพราหมณ์

          - มีการอ้อนวอนขอร้องให้ท่านช่วยบันดาลโน่นบันดาลนี่ (แต่ไม่ได้ปรากฏเป็นผลสำเร็จอะไร)

 

          - เชื่อว่าท่านยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นผู้คอยบังคับ ลิขิตควบคุมชีวิตมนุษย์  (ซึ่งก็ไม่จริงอีกเช่นเดียวกัน)

 

พรหมพุทธ

          - ไม่ต้องไปอ้อนวอนอะไร  เพราะท่านก็เป็นเพื่อนร่วมสังสารวัฏฏเหมือนกันกับเรา

 

          - ท่านให้ความสำคัญกับธรรมะ และยกธรรมะเหนือกว่าสิ่งอื่น  มนุษย์ที่ปฏิบัติตามธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็เหมือนกับพระพรหม ไม่แตกต่างอะไรกันเลย

 

          - ถ้ามนุษย์มีความเห็นผิดจากหลักธรรม (เช่นกรณีมารดาพระพรหมเทวะ) ท่านจะลงมาช่วยชี้แนะแก้ไขให้ความเข้าใจธรรมะอย่างถูกต้อง

 

          ซึ่งแน่นอนว่า คุณลักษณะของพรหมพุทธ  เป็นคนละเรื่อง และแตกต่างอย่างยิ่งเลย กับท้าวชปจร. ที่ไม่สนใจธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า  มัวแต่วุ่นวายกับเรื่องพิธีการ พิธีกรรมอะไรก็ไม่รู้

 

          ดังนั้น  ต่อ ให้ ท้าวชปจร. จะมีจริงก็ตาม ก็เป็นไปไม่ได้อย่างยิ่งที่จะเป็นอรหันต์ตามที่คนแต่งเขียนเอาไว้ เพราะไม่สนใจธรรมะเลย แตกต่างกับพรหมพุทธที่ท่านเป็นอนาคามี ที่ให้ความสำคัญกับธรรมะมากกว่าอย่างอื่น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 23, 2011, 10:52:31 am โดย อัจฉริยะ »
บันทึกการเข้า

sunee

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 301
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: พรหม ที่ปรากฏใน พระไตรปิฏก มีกี่พรหม คะ
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2011, 03:13:09 pm »
0
ขอบคุณ มากคะ มีเนื้อเรื่อง ที่ยาวมากคะ จะอ่านก่อนนะคะ

 :25: :c017:
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29288
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: พรหม ที่ปรากฏใน พระไตรปิฏก มีกี่พรหม คะ
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2011, 08:10:00 pm »
0

 แถมให้คุณสุนีย์ เผื่อจะเอาไปทำวิทยานิพนธ์ :93:
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ