ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: กาลามสูตรมีมากกว่า 10 ข้อ!!!  (อ่าน 3240 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29288
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
กาลามสูตรมีมากกว่า 10 ข้อ!!!
« เมื่อ: ธันวาคม 12, 2011, 06:47:32 am »
0
ที่มาของรูปครับ http://www.our-teacher.com/our-teacher/01-Dhamma/02-Html/44.htm

กาลามสูตรมีมากกว่า 10 ข้อ!!!

กาลามสูตร เป็นพระสูตรหนึ่งที่ดังมากของพระไตรปิฏกครับ คนที่ไม่ค่อยจะสนใจศาสนาพุทธ ก็ รู้จักบทนี้ ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับ สิ่งที่ไม่ควรเชื่อ 10 ประการ

จริงๆแล้ว กาลามสูตรได้สอนไว้มากกว่า หลักไม่ควรเชื่อ 10 ประการ แต่ได้สอนถึงหลักที่ควรเชื่อไว้ด้วย รวมไปจนถึงว่า ถ้ายังพิสูจน์ไม่ได้ ควรทำอย่างไรดี ลองมาอ่านกันดูนะครับ


************************************************

ที่มา

สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปถึง ณ เกสปุตตนิคม ของ ชาวกาลามะ ในแคว้นโกศล ทีนี้ ชาวกาลามะก็ได้ไปเข้าเฝ้า แต่ว่า ได้แสดงอาการต่างๆกันไป เพราะว่า ยังไม่เคยนับถือกันมาก่อน และ ชาวกาลามะได้ทูลถามพระพุทธเจ้า เป็นใจความว่า

พระองค์ผู้เจริญ มี สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มาที่เมือง แล้วก็กล่าวว่า คำสอนของลัทธิตนถูกต้อง แล้วก็เปรียบเทียบ ดูถูก ดูหมิ่น ชักจูงให้ไม่เชื่อในลัทธิอื่น ซึ่งต่อมา ก็มีสมณพรามหณ์อีกพวก มากล่าวถึง คำสอนของลิทธิตนว่าถูก แล้วก็ไป เปรียบเทียบ ดูถูก ดูหมิ่ม ชักจูงให้ไม่เชื่อในลัิทธิอื่น ที่นี้ พวกข้าพระองค์สงสัยว่า พวกไหนพูดจริง พวกไหนพูดเท็จ


************************************************

หลักไม่พึ่งเชื่อเพราะเหตุ 10 ประการ

ทีนี้พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสตอบไปว่า เป็นการสมควรแล้วที่ท่านทั้งหลาย จะสงสัยเคลือบแคลง แล้วท่านก็สอนว่า

    อย่าปลงใจเชื่อ โดยการฟัง(เรียน) ตาามกันมา
    อย่าปลงใจเชื่อ โดยการถือสืบๆ กันมา
    อย่าปลงใจเชื่อ โดยการเล่าลือ
    อย่าปลงใจเชื่อ โดยการอ้างตำรา
    อย่าปลงใจเชื่อ โดยตรรก
    อย่าปลงใจเชื่อ โดยอนุมาน
    อย่าปลงใจเชื่อ โดยการคิดตรงตามแนวเหตุผล
    อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฏีของตน
    อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อ
    อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านนี้เป็นครูของเรา


ทีนี้พวกเราทั้งหลาย ก็จะจดจำกันแค่นี้ แล้วก็จำเอาไปเถียงกัน แต่ว่า จริงๆพระพุทธเจ้า ท่านได้สอนต่อครับ

ที่มาของรูปครับ http://supercoolschool.typepad.com/blog/2007/03/what_i_believe_.html

************************************************

หลักพึงเชื่อ


พระพุทธเจ้า ท่านสอนต่อ เกี่ยวกับหลักพึงเชื่อ มีใจความตามนี้ครับ

ถ้าเป็นสิ่งที่เป็นโทษ ไม่ดี คนดีๆเค้าิติเตียน ไม่มีประโยชน์ ทำแล้วเป็นทุกข์ ก็อย่าทำ แต่ถ้า เป็นสิ่งที่ดี คนดีสรรเสริญ มีประโยชน์ ทำแล้วเป็นสุข ก็ให้ทำ

ข้างล่างนี้เป็นสำนวนแบบเต็มๆครับ ลองอ่านดูได้

เมื่อใด ท่านทั้งหลายรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล ธรรมเหล่านี้เป็นโทษ ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนติเตียน ธรรมเหล่านี้ใครยึดถือปฏิบัติถ้วนถึงแล้วแล้ว จะเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์ เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายพึงละเสีย

เมื่อใด ท่านทั้งหลายรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนสรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ใครยึดถือปฏิบัติถ้วนถึงแล้วแล้ว จะเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายพึงถือปฏิบัติบำเพ็ญ


************************************************

ถ้ายังไม่มีความรู้พอจะตัดสินได้หล่ะ


ในกรณีที่ผู้ฟังยังไม่มีความรู้มากพอที่จะตัดสินสิ่งนั้นๆ พระพุทธเจ้า ท่านก็สอนไว้เหมือนกันครับ ว่าควรจะทำตัวอย่างไร เช่นเรื่อง ความเชื่อในเรื่อง ชาิตินี้ชาติหน้า โดยมีใจความดังนี้ครับ

ถ้ายังสงสัยว่า ทำอะไร ก็ให้ทำดีไปก่อน เพราะจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจ ไม่ว่าจะได้ผลตามมาอย่างไร ถ้าผลแห่งกรรมมี เค้าย่อมได้รับผลดีนั้น ถ้าผลกรรมไม่มี เขาก็ไม่มีอะไรให้กังวล

ข้างล่างนี้เป็นสำนวนแบบเต็มๆครับ ลองอ่านดูได้

กาลามชนทั้งหลาย อริยสาวกนั้น ผู้มีจิตปราศจากเวรอย่างนี้ มีจิตปราศจากความเบียดเบียนอย่างนี้ มีจิตไม่เศร้าหมองอย่างนี้ มีจิตบริสุทธิ์อย่างนี้ ยอ่มได้ประสบความอุ่นใจถึง 4 ประการ ตั้งแต่ในปัจจุบันนี้แล้ว คือ

ถ้าปรโลกมีจริง ผลวิบากกรรมที่ทำไว้ดีทำไว้ชั่วมีจริง การที่ว่า่ เมื่อเราแตกกายทำลายขันธ์ไปแล้ว จะเข้าถึงสุคติโลกสรรค์ ก็ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ นี้เป็นความอุ่นใจประการที่ 1 ที่เขาได้รับ

ถ้าปรโลกไม่มี ผลวิบากกรรมที่ทำไว้ดีทำไว้ชั่วไม่มี เราก็ครองตนอยู่โดยไม่มีทุกข์ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน เป็นสุขอยู่แต่ในชาติปัจจุบันนี้แล้วว นี้เป็นความอุ่นใจประการที่ 2 ที่เขาได้รับ

ก็ถ้าเมื่อคนทำความชั่วก็เป็นอันทำไซร้ เรามิได้คิดการชั่วร้ายต่อใครๆ ที่ไหนทุกข์จักมาถูกต้องเราผู้มิได้ทำบาปกรรมเล่า นี้เป็นความอุ่นใจประการที่ 3 ที่เขาไ้ดรับ

ก็ถ้าเมื่อคนทำความชั่ว ก็ไม่ชื่อว่าเป็นอันทำไซร้ ในกรณีนี้ เราก็มองเห็นตนเป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งสองด้าน เป้นเป็นความอุ่นใจประการที่ 4 ที่เขาไดรับ


************************************************

พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ครอบคลุมดีแล้วในทุกๆเรื่องครับ ดังนั้นเวลาเราจะอ้างกาลามสูตรในครั้งต่อๆไปก็ควรจะอ้างให้ครอบคลุม ไม่ใช่เอามาแต่บางท่อน



อ้างอิงนะครับ สรุปใจความจาก หนังสือ พุทธธรรม (ฉบัับเดิม) แต่งโดย พระพรหมคุณาภรณ์
ที่มา http://trang82.wordpress.com/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 04, 2012, 01:32:47 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ