ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: คนไทยใช่กบเฒ่า? เถรวาทvs.ลัทธิอาจารย์(10)  (อ่าน 2102 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29299
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


คนไทยใช่กบเฒ่า? เถรวาทvs.ลัทธิอาจารย์(10)
คอลัมน์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต ป.ธ.๙)

การที่พระไทยไม่เอากาลามสูตรมาสอนนั้น ก็มองได้ 2 อย่าง คือ หนึ่ง ไม่สอนเพราะไม่ซื่อ คือกลัวว่า ถ้าเอากาลามสูตรไปสอนชาวบ้าน เดี๋ยวเขาจะไม่ยอมเชื่อตัวพระที่สอนนั้นอีกต่อไป ตัวพระเองไม่ซื่อตรงตามหลัก ก็เลยเก็บไว้เฉยๆ ไม่ยอมสอน แล้วก็ สอง ไม่สอนเพราะไม่รู้ คือเพราะไม่รู้จักกาลามสูตร ไม่ได้ศึกษาพระไตรปิฎกจริงจัง ก็เลยไม่เคยพบเคยเห็นกาลามสูตร


ถ้าว่าตามคุณสุจิตต์ วงษ์เทศ พูดคล้ายๆ กับว่าพระไทยนั้นไม่ซื่อ จึงไม่เอากาลามสูตรมาสอน ถูกไหม

พระนวกะ : กลัวคนจะฉลาดเกิน

พระพรหมคุณาภรณ์ : นั่นสิ ตัวเหตุมันคืออะไรแน่ ที่จริงนั้น เหตุอาจจะไม่ใช่แค่ 2 อย่างที่พูดไปแล้ว สองอย่างนั้นอาจจะเป็นเพียงข้อปลีกย่อยเท่านั้น

การที่พระไทยไม่เอากาลามสูตรมาสอนนั้น บางทีจะมาจากเหตุผลอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุตัวจริง คือ ดังที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า พระพุทธศาสนา โดยเฉพาะแบบเถรวาทนี้ ไม่มีการบังคับศรัทธา เพราะถือปัญญาเป็นใหญ่ ให้ศรัทธาเป็นเรื่องย่อย มันก็เลยเป็นวิถีชีวิต เป็นวัฒนธรรมที่ปล่อยกันตลอดมา ทำนองว่าคุณจะเอาอย่างไรก็แล้วแต่จะศรัทธาหรือไม่ คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ ฉันไม่ว่าอะไร สภาพอย่างนี้กลายเป็นเรื่องธรรมดา (เหมือนกับว่าคนไทยนี้ได้ถือกาลามสูตรกันอยู่แล้วกลายๆ หรือว่ากาลามสูตรได้ซึมซ่านเข้าไปอยู่ในวิถีชีวิตไทยเป็นปกติอยู่แล้ว)

เมื่อเรื่องเป็นอย่างที่ว่ามานี้ พระไทยพบกาลามสูตร ถึงแม้ได้อ่าน ก็ผ่านๆ ไป ไม่สะดุด ไม่ตื่นใจ เพราะไม่เห็นแปลกอะไรนักหนา ก็เป็นเรื่องธรรมดาๆ อย่างนั้นกันอยู่แล้ว ก็เลยไม่ใส่ใจอะไรกับกาลามสูตร (ยิ่งมาในยุคที่อยู่กับนิทาน เอาแค่ตำนานและอานิสงส์ ก็เลยยิ่งไม่สนใจ หรือไม่อ่านไปถึง)

ทีนี้หันไปดูฝรั่ง ก็น่าจะรู้กันดีอยู่แล้วว่าประวัติศาสตร์ของเขาเป็นอย่างไร ศาสนาของเขาเอาศรัทธาเป็นใหญ่ ถึงขั้นบังคับศรัทธา แล้วก็บังคับกันตั้งแต่ขั้นฆ่าฟันสังหารบุคคลจนถึงทำสงครามศาสนา อย่างน้อยก็ตั้งพันปีที่เขาอยู่ใต้การบังคับอย่างนั้น

ฝรั่งเป็นมาอย่างนี้ พอมาเจอกาลามสูตรก็ตื่นตะลึงว่า อะไรกันนี่ ศาสนาอย่างนี้ก็มีด้วยหรือ บอกว่าไม่ต้องเชื่อ ไม่เคยเห็นที่ไหนเลย ศาสนามีแต่บอกว่าต้องเชื่ออย่างนั้นอย่างนี้ แต่นี่กลับห้ามว่าอย่าเพิ่งเชื่อนะ

ยิ่งตอนนั้น ฝรั่งเพิ่งถอนตัวพ้นออกมาได้จากการบังคับของศาสนา เข้ามาอยู่ในยุคตื่นหรือนิยมวิทยาศาสตร์ (scientism) ก็ถึงขั้นอัศจรรย์บอกว่า โอ? พุทธศาสนานี่เป็นอย่างวิทยาศาสตร์

ฝ่ายคนไทย พอฝรั่งซึ่งเคยถูกศรัทธาบังคับเพิ่งหลุดออกมาแสวงปัญญากันใหญ่ แล้วตื่นใจสนใจกาลามสูตร ก็เลยตื่นไปด้วย ทั้งที่ตัวเองนั้น เรื่องศรัทธาก็เรื่อยเฉื่อย จะเชื่อหรือไม่ก็ไม่ว่า ไม่มีใครกดดันบังคับกีดกั้น จนกลายเป็นคนขี้เกียจสงสัย ไปๆ มาๆ ปัญญาก็ไม่ใฝ่หา ศรัทธาก็ไม่เอาไหน ถึงจะตื่นกาลามสูตรไปกับฝรั่ง ก็แทบไม่ตื่นในการแสวงปัญญา

พระไทยไม่ซื่อ หรือว่าไม่รู้

หันกลับมาดูกันอีก ในเรื่องที่ว่า พระไทยเรานี่ ทำไมไม่สอนกาลามสูตร เอาเฉพาะประเทศไทยนะ อย่าไปว่าประเทศอื่นเขา ประเทศเถรวาทด้วยกันก็อย่าเพิ่งไปว่าเขา ต้องดูกันให้ชัดก่อน


ที่มา http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXlOVEV4TURFMU5RPT0=
ขอบคุณภาพจาก http://www.watnyanaves.net/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ