นครปริศนาใต้มหาสมุทร
อภิมหาอุทกภัยที่เพิ่งผ่านพ้นไป ทำให้ส่อเค้าว่าในอนาคตเมืองไทยเราอาจจมอยู่ใต้น้ำอย่างถาวร ซึ่งก็มิใช่เรื่องประหลาดผิดธรรมชาติแต่อย่างใด เพราะอดีตกาลนั้นมีหลายนครที่จมอยู่ใต้สมุทรมาแล้ว และหนำซ้ำยังเป็นนครที่มีอารยธรรมสูงส่งน่าอัศจรรย์ คอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียลโดยผมไอแสค อาศิระ และทีมงานนิตยสารต่วย’ตูนพิเศษ จึงขอนำเรื่องและภาพของนครใต้สมุทรเหล่านี้มาเสนอครับ
จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ทำให้เรารู้ว่าในยุคน้ำแข็ง (Ice Age) ช่วงท้ายๆนั้นระดับน้ำในมหาสมุทรอยู่ต่ำกว่าที่เป็นเดี๋ยวนี้มาก ก็ลองจินตนาการถึงภาพภูเขาน้ำแข็งสูง 3 กิโลเมตร ที่ปกคลุมอยู่ทางตอนเหนือของทวีปยุโรปและอเมริกาดูซิครับว่าจะมีปริมาณเป็นน้ำมากมายมหาศาลเพียงใด น้ำแข็งขั้วโลกนี้เริ่มต้นละลายเมื่อ 21,000 ปีก่อนโน้น และสิ้นสุดการละลายราว 10,000 ปีที่ผ่านมาโบราณสถานใต้น้ำที่ปกคลุมด้วยส่ิงมีชีวิตใต้ทะเล.
ผลของการนี้ทำให้เมืองมั่งคั่งชายฝั่งทะเลค่อยๆ จมอยู่ใต้ระดับน้ำที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมบริเวณดินแดนที่ถูกทะเลกลืนกินพอๆกับพื้นที่ยุโรปบวกกับประเทศจีน ประวัติศาสตร์ของดินแดนเหล่านี้ถูกลบทิ้งไปจากพิภพ และเรื่องราวของพวกเขาก็ยากที่จะสำรวจค้นคว้า เพราะมหาสมุทรนั้น “ลึกล้นสุดคณนา”
เมืองที่สาบสูญไปใต้สมุทรซึ่งโด่งดังที่สุดได้แก่ “แอตแลนติส (Atlantis)” มีจารึกที่บันทึกถึงนครนี้ไว้มากมายกว่านครอื่นใด โดยเฉพาะหนังสือ2 เล่ม “ติมาอีอูส (Timaeus)” กับ “ไครติอัส (Critias)” ที่เพลโต (Plato) ปราชญ์กรีกเขียนไว้ในปี 360 ก่อน ค.ศ. เขากล่าวถึงแอตแลนติสในฐานะนครที่มีความก้าวหน้าสูงส่ง มีกำแพงเมืองล้อมเป็นชั้นๆ และรุ่งเรืองสมัย 9,000 ปีก่อนเขาเกิด มีวังใหญ่ของกษัตริย์
เพลโตยังระบุว่ามีแสนยานุภาพทัพเรือที่พิชิตดินแดนอื่นๆ ทั่วโลก และที่สำคัญคือเขากล่าวว่าแอตแลนติสก็มีความสัมพันธ์กับโลกอื่นมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง โดยเทพแห่งสมุทร “โพไซดอน” สร้างแอตแลนติสขึ้นมา ทั้งนี้ในสายตาของมนุษย์โลกแล้ว ผู้มาจากดวงดาวอื่นก็ดูสูงส่งดุจเทพเจ้านั่นเองซากเมืองใต้น้ำที่โยนากูนิ.
ตำนานกล่าวว่าเทพโพไซดอนได้ประสบพบสาวงามบนโลกอนงค์หนึ่ง จากนั้นเธอก็ตั้งครรภ์ เทพแห่งสมุทรจึงได้สร้างแอตแลนติสขึ้นสำหรับทายาทได้ครอบครอง ครั้งต่อมาเมืองนี้ได้พ่ายแพ้ต่อนครเอเธนส์ (Athens) จึงได้เกิดมหาอุทกภัยขึ้นถล่มนครนี้จนจมหายไปภายใน 1 วันกับ 1 คืนเท่านั้น แต่บางตำนานก็กล่าวว่ามิได้เกิดภัยพิบัติอันใด หากเกิดจากน้ำมือชาวแอตแลนติสตะหากเพลโต นักปราชญ์ผู้จารึกเรื่องราวของแอตแลนติส.
หนังสือของเพลโตบ่งชี้ว่าที่ตั้งของแอตแลนติสอยู่เบื้องหน้าเสาหลักของเฮอร์คิวลิส (Pillars fo Hercules) ผู้รู้บางคนบอกว่าตำแหน่งดังกล่าวก็คือช่องแคบยิบรอลต้า (Gibralta) ในปัจจุบันนั่นเอง ทั้งนี้เมื่อผ่านพ้นทะเลเมดิเตอร์เรเนียนออกมาสู่มหาสมุทรแอตแลนติสอันไพศาลก็จะพบกับหมู่เกาะบาฮามา (Bahamas) เรียงรายเป็นสายโซ่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของฟลอริดา
ซึ่งที่นี่เองในปี 1968 เจ. แมนสัน วาเลนไทน์ (J.Manson Valentine) นักโบราณคดีเชื่อมั่นว่าเขาได้พบบางส่วนของแอตแลนติสในลักษณะที่เป็นชั้นหินน่าทึ่งอยู่นอกชายฝั่งเกาะบิมินิ (Bimini Island) บริเวณนั้นน้ำลึกเพียง 4 ถึง 6 เมตร ทำให้เห็นแนวหินได้ชัดเจน แต่แรกคิดกันว่าเป็นเพียงหินชายหาดธรรมดา
ครั้นแล้วจึงสังเกตเห็นว่ามันเป็นหินชายหาด (beach rock) ที่วางตั้งบนหินชายหาดอีกที่หนึ่ง โดยมีลิ่มหินเป็นสลักยึดไว้ให้มั่นคง นี่ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ หากจากมือมนุษย์และเมื่อพินิจต่อไปก็สันนิษฐานได้ว่ามันถูกก่อขึ้นเพื่อกันคลื่น
ดังนั้น ภายในแนวหินยาว 100 เมตรนี้ก็คือท่าเรือนั่นเอง แล้วก็ยังพบต่อไปถึงสิ่งก่อสร้างน่าอัศจรรย์ใจอีกหลายอย่างทั้งถนนทางเข้าอาคารที่ถูกปกคลุมด้วยปะการัง ซึ่งมนุษย์ยุคนั้นไม่สามารถสร้างสรรค์ขึ้นได้เป็นไปได้ไหมว่า ซากชายฝั่งเกาะบิมินินั้นก็คือแอตแลนติสที่สาบสูญไปและถนนที่พบนั้นอาจนำไปสู่อาคารอื่นๆของเมือง
โดกุ หุ่นมนุษย์ที่ใส่ชุดฟอร์มปริศนา.
กระทั่งปี ค.ศ.2000 นักสำรวจสมุทร พอลีนา เซลิทสกี้ (Paulina Zelitsky) ได้ค้นพบแนวหินที่วางเรียงเป็นสมมาตร ใต้ทะเลทางตะวันตกของคิวบา จมลึกเกือบ 1 กิโลเมตร จึงต้องใช้เครื่องโซนาร์สำรวจ แล้วก็ได้ผลว่ามีอาคารหินขนาดมหึมาถึง 80 แห่งก่อตั้งด้วยหินบล็อกสี่เหลี่ยมซ้อนกัน
แต่หลายก้อนก็เป็นแท่งกลมวางซ้อนเป็นระเบียบสูงถึง 5-6 เมตรก็มี เห็นชัดว่ามีลักษณะเป็นซากของถนน อาคาร อุโมงค์ และพีระมิดจากหินลาวาภูเขาไฟที่จมอยู่บริเวณใกล้เคียงทำให้ทดสอบได้ว่าซากเหล่านั้นมีอายุกว่า 6,000 ปี หรือว่าเมืองนี้ก็คือแอตแลนติสเมื่อ 10,000 ปีก่อนโน้นที่เพลโตรจนาไว้
ทั้งคิวบาและหมู่เกาะบาฮามาอยู่บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา (Bermuda Triangle) ที่กินเนื้อที่กว่า 500,000 ตารางไมล์ และเป็นที่ลือลั่นจากปรากฏการณ์สนามแม่เหล็กดึงดูดเครื่องบินและเรือต่างๆให้อันตรธานไปอย่างไร้ร่องรอย เป็นไปได้ไหมว่าสาเหตุแท้จริงเกิดจากอุปกรณ์บางอย่างของมนุษย์จากโลกอื่นที่มาตั้งฐานอยู่ ณ แอตแลนติส ก่อนจะละทิ้งที่มั่นสุดท้ายนี้ไปยังมีเมืองอื่นของมนุษย์นอกโลกอีกไหมที่จมอยู่ใต้สมุทร?แอตแลนติส เป็นเมืองที่หลายคนเชื่อว่ามีอยู่จริงและจมอยู่ใต้ผืนน้ำ.
โยนากูนิ (Yonaguni) เกาะเล็กๆทางตะวันตกของญี่ปุ่นอาจเป็นอีกคำตอบ ปี 1987 คิฮาชิโร อาราตาเกะ (Kihachiro Aratake) นักดำน้ำญี่ปุ่นได้จ๊ะเอ๋เข้ากับสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมาที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ความลึก 20 เมตรจากฝั่งสมุทร กล่าวกันว่าเป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของโบราณคดีใต้น้ำเลยเชียวแหละ
ลักษณะอาคารที่พบเป็นแบบพีระมิด 5 ชั้น ฐานกว้างขนาด 2 สนามฟุตบอล มีช่องเป็นมุมฉากให้เดินเข้าไปได้อย่างสบายจนถึงปลายทางที่มีบันไดหินขนาดยักษ์เรียงซ้อนกันเข้ามุม 90 องศาอย่างสมบูรณ์ แน่นอนว่าเกิดจากฝีมือมนุษย์
เพราะได้พบทั้งอุปกรณ์แกะสลัก และแท่งหินที่มีการสลักเสลาไว้ มีช่องอุโมงค์ที่คุณสามารถดำลอดเข้าไปได้ มีใบหน้ามนุษย์ขนาดความสูง 8 เมตรสลักไว้บนผนังหินคล้ายกับหินสลักบนเกาะอีสเตอร์ แต่มองอีกทีก็เป็นแบบสฟิงซ์ที่เฝ้าพิทักษ์พีระมิดอียิปต์มากกว่า ทั้งหมดทั้งมวลนี้จมอยู่ตั้งแต่การละลายของยุคน้ำแข็งหลังสุดแนวหินนอกชายฝั่งเกาะบิมินิ.
มีซากฟอสซิลของมนุษย์ที่โยนากูนิ ซึ่งน่าจะเป็นผู้ที่อาศัยอยู่บนเกาะนี้ ทว่าเขาจะสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ขึ้นได้หรือ เพราะช่วงนั้นเรายังเป็นคนป่าอาศัยถ้ำและล่าสัตว์ไปวันๆเท่านั้นเอง จะเอาเทคโนโลยีอันใดมาก่อสร้างอาคารมหึมาเยี่ยงนี้ได้ นักโบราณคดีบางคนจึงเชื่อว่าน่าจะมีร่องรอยของมนุษย์นอกโลกมาช่วยสร้างสรรค์ให้
แล้วก็น่าประหลาดที่สิ่งก่อสร้างอัศจรรย์นี้ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก บริเวณที่ขนานนามกันว่า “สามเหลี่ยมมังกร” (Dragon’s Triangle) โดยไม่ไกลจากทางใต้ของญี่ปุ่นได้เกิดปรากฏการณ์ที่ละม้ายคล้ายกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา นั่นคือเครื่องบินที่ผ่านได้อันตรธานไปจากท้องฟ้า และเรือก็สาบสูญไปจากท้องน้ำโดยไร้ร่องรอย ยิ่งกว่านั้นทางการญี่ปุ่นยังออกคำเตือนว่าอย่าบินข้ามอาณาเขตนี้หรือแล่นเรือให้ห่างๆเข้าไว้ มิฉะนั้นอาจเกิดอันตรายขึ้นแก่คุณได้
ตำนานโบราณของญี่ปุ่นสืบเนื่องถึงปัจจุบันได้กล่าวถึง “ทะเลมังกร (Dragon Sea)” ไว้หลายเรื่องเกี่ยวกับการที่มีวัตถุลึกลับพุ่งขึ้นจากใต้ทะเลและโผบินขึ้นไปในอากาศ โดยตำนานโบราณจะอ้างว่าเป็นอสุรสัตว์ที่มีปีกและพ่นไฟจากปากได้ แต่ตำนานทันสมัยจะพูดถึงการปรากฏของยานที่มีเครื่องยนต์กลไก
แท่งหินที่เรียงเป็นชั้นแบบพีระมิดที่โยนากูนิ.
ย้อนไปปี ค.ศ. 1803 มีตำนานหนึ่งเล่าถึงชายหาดตอนเหนือของญี่ปุ่นว่ามียานประหลาดขนาดใหญ่รูปกลมถูกคลื่นซัดมาชายฝั่ง เมื่อชาวประมงเข้าไปดูภายในยานก็ได้พบสาวสวยวัยเยาว์ที่พูดภาษาซึ่งพวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน เธอกอดกล่องใบหนึ่งไว้แน่นโดยไม่ยอมให้ใครแตะกล่อง
กล่าวกันว่ากล่องใบนั้นบรรจุศีรษะของชายที่เธอรัก ตำนานดังกล่าวนี้รู้จักกันในชื่อ “อู สุโร บูเน่” หรือ “เรือที่ว่างเปล่า” และเป็นปริศนามาช้านานว่าเรือลำนี้มาจากแห่งหนใด สาวลึกลับนั้นเป็นผู้ใด เธอและยานลำนั้นมาจากดวงดาวไกลโพ้นใช่หรือไม่
มีรูปปั้นลักษณะหนึ่งเรียกกันว่า “โดกุ (Dogu)” เป็นหุ่นมนุษย์ที่ใส่ชุดฟอร์มอันมีหมวกโลหะครอบหัว บางตัวสวมแว่นตา หัวเข็มขัดกลมประหลาด รวมทั้งสายรัด เมื่อมองเผินๆก็เหมือนกับชุดของมนุษย์อวกาศยังไงยังงั้น นักโบราณคดีได้จัดทำแค็ตตาล็อกของโดกุไว้เป็นจำนวนถึง 15,000 ลักษณะ โดกุเหล่านี้สร้างไว้ตั้งแต่สมัยโจมอนอันเป็นยุคประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ราว 14,000 ถึง 300 ปีก่อน ค.ศ.
ตำนานที่มาพร้อมโดกุกล่าวว่าพวกเขาลงมาจากท้องฟ้าและสั่งสอนวิชาการให้มนุษย์โบราณไว้หลายเรื่อง เป็นไปได้ไหมว่า “โดกุ” เหล่านี้แหละคือผู้สร้างสรรค์นครใต้น้ำแห่งโยนากูนิไว้
นักประดาน้ำกำลังสำรวจเมืองโบราณ.
เรื่องของนครใต้สมุทรที่มีร่องรอยว่าสร้างสรรค์ขึ้นโดยผู้มาจากนอกโลกนั้นยังมีอีกครับ เช่น เมืองวานากุ (Wanaku) ที่จมอยู่ใต้ทะเลสาบติติกากา (Lalk Titikaca) แห่งเปรู ที่ทีมงานอิตาลีได้ดำลงไปสำรวจเมื่อสิงหาคม 2000 และได้พบนครโบราณใต้ความลึก 30 กว่าเมตร
รายละเอียดของนครนี้เป็นอย่างใดนั้นติดตามชมได้ทางทรูวิชั่น ช่อง HISTORY ชื่อเรื่อง Underwater Worlds ครับผม.ภาพมุมกว้างของเมืองโบราณแห่งโยนากูนิ.
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
http://www.thairath.co.th/column/life/sundayspecial/235917